🌼ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น🌼
เห็นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็ขึ้นอยู่กับจิตขณะนั้นว่าเป็นอย่างไร เมื่อเห็นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เช่น เห็นเป็นดอกไม้ ตามประเด็นคำถาม เป็นกุศล ก็ได้ เช่น ระลึกไปในการบูชาพระรัตนตรัย เป็นอกุศลก็ได้ เช่น ติดข้องบ้าง ไม่พอใจบ้าง หรือ เห็นผิด ว่าเที่ยง ยั่งยืน บ้าง เป็นต้น แต่สำหรับพระอรหันต์แล้ว ไม่มีทั้งกุศล ไม่มีทั้งอกุศล เมื่อเห็นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด จิตของท่านไม่หวั่นไหวไปด้วยกิเลสใดๆ เลย ก็เป็นกิริยาจิต
🌾ดังนั้น ชีวิตประจำวันของผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่นั้น ก็ยากที่จะพ้นไปจากอกุศล ถ้าเป็นเพียงความติดข้องยินดีพอใจ โดยที่ไม่มีความเห็นผิดเกิดร่วมด้วย นั่นก็เป็นโลภะ ที่ไม่ประกอบด้วยความเห็นผิด แต่เมื่อใดที่เห็นผิดว่า สิ่งนั้น เที่ยง ยั่งยืน ก็เป็นความเห็นผิด ขณะนั้น มีทั้งโลภะ มีทั้งความเห็นผิด🌾
เวลาที่เห็นดอกไม้ขณะนั้นมีความเห็นผิดไหมครับ
สวนสมเด็จย่า ๘๔
สวนข้างเซนลาด☘🌴🌿🌳🌱
โลภะก็เป็นธรรมด้วย โทสะก็เป็นธรรม ทุกอย่างก็เป็นธรรม ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้นการฟังก็เหมือนกับการเตือนให้ไม่ลืม ไม่ว่าจะเกิดโทสะถ้าระลึกได้ ขณะนั้นเป็นลักษณะของสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ฟังจนกระทั่งความเข้าใจว่าทุกอย่างเป็นธรรมจรดกระดูกคือไม่ลืม จึงสามารถที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมถูกต้องยิ่งขึ้นได้
ฟังจนเข้าใจว่า ทุกอย่างเป็นธรรมจรดกระดูก
กำลังคิดตลอดชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่มีเราเพราะเป็นจิตแต่ละประเภท ขณะนี้ก็มีสิ่งที่ปรากฏ ฟังเมื่อวานนี้ ฟังวันนี้ ฟังต่อไปอีก ๑๐ ปี ฟังต่อไปอีก ๑๐ ชาติ ความเข้าใจของสิ่งที่ปรากฏจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นว่าเป็นแต่เพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่งในเมื่อสามารถที่จะรู้ความต่างกันของนามธรรมและรูปธรรม ปัญญาก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นได้ สามารถจะรู้ว่านามธรรมไม่ใช่รูปธรรม เมื่อรู้อย่างนี้ นามธรรมอื่นในชีวิตประจำวันก็มี เช่น โกรธ ฟังมาแล้วว่าเป็นนามธรรม และก็เวลาที่ฟังน้อย พอโกรธเกิดขึ้น ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ว่าเป็นธรรมเพราะว่ามีความเข้าใจที่น้อยมาก แต่ว่าถ้ามีความเข้าใจที่เพิ่มขึ้น มั่นคงขึ้นว่าโกรธไม่มีใครต้องการให้เกิดเลย มีใครต้องการให้โกรธเกิดบ้างหรือเปล่า แต่โกรธเกิดแล้วเพราะเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้นก็สามารถที่จะเข้าใจถึงความจริงของสภาพธรรมแต่ละอย่าง ไม่ใช่เฉพาะลักษณะที่โกรธ แต่ถ้ามีความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นก็จะรู้ว่าตลอดชาติ แต่ว่าแต่ละชาติก็เป็นลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่างที่มีปัจจัยปรุงแต่งเกิดแล้วก็ดับไป ไม่เหลือเลยสักอย่างเดียว ไม่มีอะไรที่เหลือ ตอนเป็นเด็กสนุกมาก คนที่ไปนมัสการสังเวชนียสถานที่อินเดียก็กลับมาแล้ว มีอะไรเหลือบ้างในขณะเห็นเดี่ยวนี้มีแต่สิ่งที่ปรากฏแล้วก็ดับ แล้วก็ขณะที่ได้ยินสิ่งที่ปรากฏทางตานี่ไม่เหลือแต่ว่ามีเสียงที่ปรากฏแล้วก็ดับ เพราะฉะนั้นโลภะติดข้องในสิ่งที่ไม่เหลือ ไม่มีอะไรเหลือเลย เพียงติดข้องในสิ่งนั้นที่ปรากฏ หรือว่าในขณะที่จิตคิดถึงเรื่องราวต่างๆ เท่านั้นเอง แต่ตามความเป็นจริงก็คือว่าไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างจากไปเมื่อจิตขณะสุดท้ายเกิดแล้วดับทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ แต่แม้ขณะนี้เอง สิ่งใดก็ตามที่ปรากฏ สิ่งนั้นเกิดแล้วดับ ไม่เหลืออะไรเลยจนกว่าจะเข้าใจความจริง จนกว่าจะประจักษ์แจ้งก็ค่อยๆ ฟังไปนี่คือการอบรม
จิตเป็นจิตไม่ใช่เรา จิตกำลังเห็นเพราะจิตเป็นสภาพรู้ ฟังอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ในขณะที่กำลังเห็นค่อยๆ เข้าใจเพราะสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาปรากฎเพราะมีธาตุชนิดหนึ่งหรือว่ามีสภาพธรรมชนิดหนึ่งกำลังเห็นสิ่งนั้น ไม่ใช่เรา ฟังจนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจเห็นที่กำลังเห็น นั่นคือสติปัฏฐาน ไม่ต้องใช้ชื่อแต่ว่ามีสิ่งที่ปรากฏจริงๆ และก็กำลังรู้ค่อยๆ เข้าใจสิ่งนั้น ค่อยๆ เข้าใจทีละเล็กทีละน้อย ไม่ได้คิดใช่ไหม เป็นชื่อเป็นคำเท่านั้นแต่มีลักษณะของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังเห็น
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาค
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
คิดนึก มีจริง เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่ว่าจะคิดดีหรือไม่ดี ก็ตาม เกิดขึ้นเป็นไปตามการสะสมของแต่ละบุคคล ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ห้ามไม่ได้ เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป แม้แต่สภาพธรรมบาปกรรม การกระทำที่ไม่ดีทั้งหลาย ต้องเนื่องมาจากสภาพจิตที่ไม่ดี ก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เมื่อเกิดแล้ว ก็สะสมสืบต่ออยู่ในจิต ต่อไป เพราะตราบใดที่ยังต้องมีการเวียนว่ายตายเกิด ก็ยังมีเหตุปัจจัยให้สภาพธรรมเกิดขึ้นเป็นไปอย่างไม่ขาดสาย ซึ่งไม่มีคนนั้น คนนี้ ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน มีแต่สภาพธรรมเท่านั้น ทุกขณะ หาความเป็นสัตว์เป็นบุคคล ไม่ได้ ที่เคยยึดถือว่า เป็นเรา แท้ที่จริงแล้ว ก็คือ จิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต) และรูป สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร เท่านั้น
จึงต้องอาศัยการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม ต่อไป ด้วยความไม่ประมาทในแต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง และจะต้องลืมไม่ได้เลยว่า สิ่งที่มีจริงทั้งหลายทั้งปวงนั้น เป็นอนัตตา คือ ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น
Photo cr. Beautiful Amazing World
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาค
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
หนทางเดียว ที่จะทำให้มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังมี กำลังปรากฏตามความเป็นจริง นั้น ต้องฟังพระธรรม ต้องศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงด้วยความตั้งใจจริงๆ เพราะพระธรรมทั้งหมดนั้นแสดงให้ผู้ฟังผู้ศึกษาได้เข้าใจตามความเป็นจริง และสภาพธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงนั้น มีจริงในชีวิตประจำวัน ไม่ต้องไปทำอะไรที่ผิดปกติขึ้นมาในการที่จะรู้ธรรม ต้องเป็นปกติจริงๆ ไม่ใช่ผิดปกติ
การนั่งสมาธิ ไม่ใช่การปฏิบัติธรรม เพราะการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องของการถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ด้วยสติ และปัญญา ซึ่งขณะที่มีการระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ก็มีพร้อมทั้งศีล สมาธิ (ที่ตั้งมั่นชอบในอารมณ์ที่สติระลึกตรงลักษณะ) และปัญญา
พระธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้โดยละเอียดโดยประการทั้งปวง รวมถึงเรื่องสมาธิด้วย แต่ไม่ได้สอนให้ไปทำ หรือไปฝึกสมาธิ แต่ทรงแสดงธรรมตามความเป็นจริงเนื่องจากว่า สมาธิ มีทั้งสัมมาสมาธิ และมิจฉาสมาธิ มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะเมื่อว่าโดยสภาพธรรมแล้ว สมาธิเป็นเอกัคคตาเจตสิก เป็นสภาพธรรมที่ตั้งมั่นในอารมณ์ ขึ้นอยู่กับว่าจะเกิดกับจิตประเภทใด
ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง จะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าอะไรเป็นสัมมาสมาธิ อะไรเป็นมิจฉาสมาธิ ก็จะเป็นเหตุให้ประพฤติปฏิบัติผิด พอกพูนความติดข้องความไม่รู้และความเห็นผิดให้หนาแน่นยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้น จึงสำคัญที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจจริงๆ ซึ่งหนทางที่ถูกต้อง เป็นรากฐานที่สำคัญในการรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง
Photo cr. Beautiful Amazing World
-"เห็นเป็นเห็น" เพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ใช่คิดว่าเราเห็น
-นอกจากสิ่งที่มีจริงในขณะนี้แล้ว สิ่งอื่นไม่มี สิ่งที่มีจริงสั้นมาก ชั่วขณะที่ปรากฏ ไม่มีเราเลย
-"มาคนเดียวอยู่คนเดียว ไปคนเดียว" มีญาติพี่น้องหรือเปล่า (มีเพราะจำ) หรือมีเพียงสิ่งที่กำลังปรากฏ? กำลังเห็น เห็นคนเดียวหรือเปล่า?
-ไฟ ๓ กอง คือ โลภะ โทสะ โมหะ
-ธรรมะต้องตรง ถ้าไม่ตรงไม่ใช่ธรรม เป็นอคติ เป็นทางที่ไม่ควรไป
บ้านธัมมะ ๑๐ และ ๑๗ ธ.ค. ๕๑
-การที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ก็ด้วยการฟังคำสอนของพระองค์ (ฟังไว้ เข้าใจไว้ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไว้)
-ฟังธรรมเพื่อเข้าใจความจริงว่าเป็นธรรมะแต่ละหนึ่ง ไม่ใช่เรา
-ไม่มี แล้วมี แล้วหามีไม่ (อนิจจัง) ทุกอย่างในชีวิตตรงกับคำนี้ เห็นขณะนี้ ถ้าไม่เกิด จะมีเห็นไหม เห็นแล้วก็ดับไป สภาพธรรมรวดเร็วมาก ไม่เที่ยง จากไม่มี แล้วมี แล้วหามีไม่ เกิดดับรวดเร็วมาก เหมือนนายมายากล เหมือนว่าสภาพธรรมนั้นไม่ดับเลย
สนทนาธรรมวันวิสาขบูชา ๑ มิ.ย. ๕๘
🌿ทาน คือ การให้ การไม่ติดข้องในวัตถุที่ให้ ให้เพื่อสละอกุศล คือ ความตระหนี่
🌾การให้ คือ น้ำใจของจิตที่ดี ไม่เห็นแก่ตัว ถึงแม้ว่าให้ ก็ไม่รู้ว่าไม่ใช่เราที่ให้ แต่เป็นสิ่งที่มีจริง
🍃ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้รับ ให้ได้ทุกอย่าง จนถึงสูงสุด คือ ให้ได้เข้าใจความจริง
🌱ทานเป็นส่วนหนึ่งของธรรมฝ่ายดี คือ สามารถสละสิ่งที่ติดข้อง เพื่อประโยชน์ของผู้อื่น
🌳ไม่ให้เพราะมีกิเลส ให้ได้เฉพาะสิ่งที่ไม่ติดข้อง
🌲คิดที่จะค่อยๆ ละกิเลสบ้างหรือเปล่า
🌴เรามีแต่ความต้องการและติดข้องตั้งแต่เกิดและจะติดข้องต่อไป มีมากเกินพอหรือเปล่า ให้อะไรไปบ้าง ก็คงไม่มากเพราะยังติดข้องอยู่
🌵ถ้าไม่สามารถสละวัตถุได้ อะไรๆ ก็ละไม่ได้ โดยเฉพาะความติดข้องว่าเป็นเรา
🍀กิเลสมีไหม มีแน่ จะให้หมดไปดีไหม ดี แต่ต้องมีเหตุ คือ ฟังพระธรรมให้เข้าใจ พระธรรมเท่านั้นที่จะทำให้หมดกิเลส
สนทนาธรรมที่สวนสามพราน ๑๑ มี.ค. ๕๘
ยังเป็นคนมักโกรธ แต่เดี๋ยวนี้ความผูกโกรธสั้นลงมากและมักระลึกได้หลังจากนั้นไม่นานว่า ผู้ที่มาว่าเรานั้นมีพระคุณมาก ไม่เช่นนั้น เราอาจไม่มีโอกาสได้แลเห็นอกุศลของตนเอง ... ซึ่งมองเห็นได้ยาก
ธรรมทัศนะ
ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ