[เล่มที่ 12] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 1
๔. โสณทัณฑสูตร
โสณทัณฑสูตร 178/1
เสด็จนครจัมปา 179/1
โสณทัณฑพราหมณ์เข้าเฝ้า 180/2
พระพุทธคุณ 182/4
พราหมณบัญญัติ 186/9
อ้างอังคกมาณพ 192/13
โสณทัณฑพราหมณ์แสดงตนเป็นอุบาสก 196/15
โสณทัณฑพราหมณ์ทูลความประสงค์ของตน 197/16
อรรถกถาโสณทัณฑสูตร 18
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 12]
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 1
๔. โสณทัณฑสูตร
[๑๗๘] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้.
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จจาริกไปในอังคชนบทพร้อม ด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ประมาณ ๕๐๐ รูปเสด็จถึงนครจัมปา. ได้ทราบว่า สมัยนั้นพระองค์ประทับอยู่ใกล้ขอบสระโบกขรณีคัคครา ในนครจัมปา.
เสด็จนครจัมปา
[๑๗๙] ก็สมัยนั้น พราหมณ์โสณทัณฑะ ครองนครจัมปา ซึ่งคับคั่งด้วยประชาชน และหมู่สัตว์ อุดมด้วยหญ้า ด้วยไม้ ด้วยน้ำ สมบูรณ์ ด้วยธัญญาหาร ซึ่งเป็นราชสมบัติ อันพระเจ้าแผ่นดินมคธจอมเสนา พระนามว่า พิมพิสาร พระราชทานปูนบําเหน็จให้เป็นส่วนพรหมไทย พราหมณ์ และคฤหบดีชาวนครจัมปา ได้สดับข่าวว่า พระสมณโคดมศากยบุตร ทรงผนวชจากศากยสกุล เสด็จจาริกไปในอังคชนบท พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูปเสด็จถึงนครจัมปา ประทับอยู่ใกล้ขอบสระโบกขรณี ชื่อ คัคครา ในนครจัมปา เกียรติศัพท์อันงาม ของพระโคดมพระองค์นั้น ขจรไปแล้ว ดังนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้โลก เป็นสารถีฝึกคนที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นพระศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จําแนกพระธรรม พระองค์ทรงทําโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัด ด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 2
สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์ให้รู้ตาม ทรงแสดงธรรม งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ก็การเห็นพระอรหันต์ทั้งหลาย เห็นปานนั้นย่อมเป็นการดีแล ดังนี้ ครั้งนั้นพราหมณ์และคฤหบดี ชาวนครจัมปา ออกจากนครจัมปารวมกันเป็นหมู่ๆ พากันไปยังสระโบกขรณีคัคครา.
โสณทัณฑพราหมณ์เข้าเฝ้า
[๑๘๐] สมัยนั้น พราหมณ์โสณทัณฑะนอนกลางวันอยู่ ณ ปราสาทชั้นบน ได้เห็นพราหมณ์และคฤหบดี ชาวนครจัมปา ออกจากนครจัมปารวมกันเป็นหมู่ๆ พากันไปยังสระโบกขรณีคัคครา จึงเรียกที่ปรึกษามาถามว่า พราหมณ์และคฤหบดี ชาวนครจัมปา ออกจากนครจัมปารวมกันเป็นหมู่ๆ ไปยังสระโบกขรณีคัคครา ทําไมกัน. ที่ปรึกษาบอกว่า เรื่องมีอยู่ขอรับ พระสมณโคดมศากยบุตร ทรงผนวชจากศากยสกุล เสด็จจาริกไปในอังคชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป เสด็จถึงนครจัมปา ประทับอยู่ใกล้ขอบสระโบกขรณีคัคครา ในนครจัมปา เกียรติศัพท์อันงามของพระองค์ ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบ ทรงถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้โลก ทรงเป็นสารถีฝึกคนที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นพระศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จําแนกพระธรรม พราหมณ์และคฤหบดีเหล่านั้น พากันไปเฝ้าพระโคดมพระองค์นั้น. โสณทัณฑะกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น ท่านจงไปหาเขาแล้วบอกเขาอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลาย พราหมณ์โสณทัณฑะสั่งว่า ขอให้ท่าน
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 3
ทั้งหลายจงรอก่อน พราหมณ์โสณทัณฑะจะไปเฝ้าพระสมณโคดมด้วย. ที่ปรึกษารับคําแล้วไปหาพราหมณ์และคฤหบดี ชาวนครจัมปา แล้วบอกตามคําสั่งว่า พราหมณ์โสณทัณฑะสั่งว่า ขอท่านทั้งหลายจงรอก่อน พราหมณ์โสณทัณฑะจะไปเฝ้าด้วย.
[๑๘๑] สมัยนั้น พวกพราหมณ์ต่างเมืองประมาณ ๕๐๐ คน พักอยู่ในนครจัมปาด้วยกรณียกิจบางอย่าง. เขาได้ทราบว่า พราหมณ์โสณทัณฑะจักไปเฝ้าพระสมณโคดม จึงพากันเข้าไปหาแล้วถามว่า ได้ทราบว่า ท่านจักไปเฝ้าพระสมณโคดมจริงหรือ. โสณทัณฑะตอบว่า ท่านผู้เจริญ เราคิดว่าจักไปเฝ้าพระสมณโคดมจริง พวกพราหมณ์กล่าวว่า อย่าเลย ท่านโสณทัณฑะท่านไม่ควรไปเฝ้าพระสมณโคดม ถ้าท่านไป ท่านจะเสียเกียรติยศ เกียรติยศของพระสมณโคดม จักรุ่งเรือง ด้วยเหตุนี้แหละ ท่านจึงไม่ควรไป พระสมณโคดมต่างหากควรจะเสด็จมาหาท่าน อนึ่ง ท่านเป็นอุภโตสุชาต ทั้งฝ่ายมารดาและบิดา มีครรภ์เป็นที่ถือปฏิสนธิหมดจดดีตลอด ๗ ชั่วคน ไม่มีใครจะคัดค้านติเตียนได้ ด้วยการกล่าวอ้างถึงชาติ เพราะเหตุนี้ ท่านจึงไม่ควรไปเฝ้าพระสมณโคดม พระสมณโคดมต่างหากควรจะเสด็จมาหาท่าน อนึ่ง ท่านเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก....อนึ่ง ท่านเป็นผู้คงแก่เรียน ทรงจํามนต์ รู้จบไตรเพท พร้อมทั้งคัมภีร์นิฆัณฑุ คัมภีร์เกตุภะ พร้อมทั้งประเภทอักษร มีคัมภีร์อิติหาส เป็นที่ห้า เป็นผู้เข้าใจตัวบท เป็นผู้เข้าใจไวยากรณ์ ชํานาญในคัมภีร์โลกายตะ และมหาปุริสลักษณะ อนึ่ง ท่านมีรูปงาม น่าดู น่าเลื่อมใส ประกอบด้วยผิวพรรณผุดผ่องยิ่งนัก มีวรรณะคล้ายพรหม มีรูปร่างคล้ายพรหม น่าดู น่าชมไม่น้อย อนึ่ง ท่านเป็นผู้มีศีล มีศีลยั่งยืน ประกอบด้วยศีลยั่งยืน อนึ่ง ท่านเป็นผู้มีวาจาไพเราะ มีสําเนียงไพเราะ ประกอบด้วยวาจาของชาวเมือง สละสลวย
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 4
หาโทษมิได้ ให้ผู้ฟังเข้าใจเนื้อความได้ชัด อนึ่ง ท่านเป็นอาจารย์และปาจารย์ ของชนหมู่มาก สอนมนต์แก่มาณพถึง ๓๐๐ คน มาณพเป็นอันมากต่างทิศ ต่างชนบท ผู้ต้องการมนต์ ใคร่จะเรียนมนต์ ในสํานักของท่านพากันมา อนึ่ง ท่านเป็นคนแก่เฒ่า เป็นผู้ใหญ่ล่วงกาลผ่านวัยมาโดยลําดับ ส่วนพระสมณโคดมเป็นคนหนุ่ม และบวชแต่ยังหนุ่ม อนึ่ง ท่านเป็นผู้อันพระเจ้าแผ่นดินมคธ จอมเสนา พระนามว่า พิมพิสาร ทรงสักการะเคารพนับถือ บูชา นอบน้อม อนึ่ง ท่านเป็นผู้อันพราหมณ์โปกขรสาติ สักการะเคารพนับถือ บูชา นอบน้อม อนึ่ง ท่านครองนครจัมปา ซึ่งคับคั่งด้วยประชาชนและหมู่สัตว์ อุดมด้วยหญ้า ด้วยไม้ ด้วยน้ำ สมบูรณ์ด้วยธัญญาหาร ซึ่งเป็นราชสมบัติอันพระเจ้าแผ่นดินมคธ จอมเสนา พระนามว่าพิมพิสาร พระราชทานปูนบําเหน็จให้เป็นส่วนพรหมไทย เพราะเหตุนี้แหละ ท่านจึงไม่ควรไปเฝ้าพระสมณโคดม พระสมณโคดมต่างหาก ควรจะเสด็จมาหาท่าน ดังนี้.
พระพุทธคุณ
[๑๘๒] เมื่อพวกพราหมณ์กล่าวอย่างนี้แล้ว พราหมณ์โสณทัณฑะได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลาย ถ้าอย่างนั้น ขอพวกท่านจงฟังข้าพเจ้าบ้าง เรานี้แหละควรไปเฝ้าพระโคดมพระองค์นั้น พระโคดมไม่ควรเสด็จมาหาเรา ได้ทราบว่า พระสมณโคดมเป็นอุภโตสุชาต ทั้งฝ่ายพระมารดาและพระบิดา มีพระครรภ์ที่ทรงถือปฏิสนธิหมดจดดีตลอด ๗ ชั่วคน ไม่มีใครจะคัดค้านติเตียนได้ ด้วยการกล่าวอ้างถึงพระชาติ เพราะเหตุนี้แหละ พระโคดมจึงไม่ควรเสด็จมาหาเรา ที่ถูกเรานี้แหละควรจะไปเฝ้าพระองค์ ได้ทราบว่า พระสมณโคดม ทรงสละพระญาติหมู่ใหญ่ออกทรงผนวช ทรง
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 5
สละเงินและทองเป็นอันมาก ทั้งที่อยู่ในพื้นดิน ทั้งที่อยู่ในอากาศ ออกทรงผนวช พระองค์กําลังหนุ่ม มีพระเกศาดําสนิท ทรงพระเจริญด้วยปฐมวัย ออกทรงผนวชเป็นบรรพชิต เมื่อพระมารดาและพระบิดาไม่ทรงปรารถนาให้ทรงผนวช มีพระพักตร์อาบด้วยน้ำพระเนตรทรงกันแสงอยู่ พระองค์ทรงปลงพระเกศาและพระมัสสุ ทรงครองผ้ากาสาวพัสตร์ เสด็จออกผนวชเป็นบรรพชิต พระองค์มีพระรูปงาม น่าดู น่าเลื่อมใส ประกอบด้วยพระฉวีวรรณผุดผ่องยิ่งนัก มีพระวรรณะคล้ายพรหม มีพระรูปคล้ายพรหม น่าดูน่าชมไม่น้อย พระองค์เป็นผู้มีศีล มีศีลอันประเสริฐ มีศีลเป็นกุศล ประกอบด้วยศีลเป็นกุศล พระองค์มีพระวาจาไพเราะ มีพระสําเนียงไพเราะ ประกอบด้วยวาจาของชาวเมือง สละสลวย หาโทษมิได้ ให้ผู้ฟังเข้าใจเนื้อความได้ชัด พระองค์เป็นอาจารย์และปาจารย์ของคนหมู่มาก พระองค์สิ้นกามราคะแล้ว เลิกประดับประดาตกแต่งแล้ว พระองค์เป็นกรรมวาที เป็นกิริยวาที ไม่ทรงมุ่งร้ายแก่พวกพราหมณ์ พระองค์ทรงผนวชจากสกุลสูง คือ สกุลกษัตริย์อันไม่เจือปน พระองค์ทรงผนวชจากสกุลมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก ชนต่างรัฐต่างชนบทพากันมาทูลถามปัญหากะพระองค์ เทวดาหลายพันมอบชีวิตถึงพระองค์เป็นสรณะ พระเกียรติศัพท์อันงามของพระองค์ ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้โลก ทรงเป็นสารถีฝึกคนที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นพระศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้ทรงจําแนกพระธรรม ดังนี้ พระองค์ทรงประกอบด้วยมหาปุริลักษณะ ๓๒ ประการ พระองค์มีปกติกล่าวเชื้อเชิญ เจรจาผูกไมตรี ช่างปราศรัย พระพักตร์ไม่สยิ้ว เบิกบาน มีปกติตรัส
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 6
ก่อน พระองค์เป็นผู้อันบริษัท ๔ สักการะเคารพนับถือ บูชา นอบน้อมเทวดา และมนุษย์จํานวนมากเลื่อมใสในพระองค์ยิ่งนัก พระองค์ทรงพํานักอยู่ในหมู่บ้าน หรือในนิคมใดในหมู่บ้าน หรือในนิคมนั้น ไม่มีอมนุษย์เบียดเบียนมนุษย์ พระองค์ทรงเป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะและทรงเป็นคณาจารย์ได้รับยกย่องว่า เป็นยอดของเจ้าลัทธิเป็นอันมาก สมณพราหมณ์เหล่านี้ รุ่งเรืองยศด้วยประการใดๆ แต่พระสมณโคดมไม่อย่างนั้น ที่แท้พระสมณโคดมรุ่งเรืองพระยศ ด้วยวิชชาและจรณสมบัติอันยอดเยี่ยม พระเจ้าแผ่นดินมคธจอมเสนา พระนามว่า พิมพิสาร พร้อมทั้งพระโอรส และพระมเหสี ทั้งราชบริพารและอํามาตย์ ทรงมอบชีวิต ถึงพระองค์เป็นสรณะ พระเจ้าปเสนทิโกศล พร้อมทั้งพระโอรส และพระมเหสีทั้งราชบริพารและอํามาตย์ทรงมอบชีวิต ถึงพระองค์เป็นสรณะ พราหมณ์โปกขรสาติพร้อมทั้งบุตรและภรรยา ทั้งบริวารและอํามาตย์ มอบชีวิต ถึงพระองค์เป็นสรณะ พระองค์เป็นผู้อันพระเจ้าแผ่นดินมคธจอมเสนา พระนามว่า พิมพิสาร ทรงสักการะเคารพนับถือ บูชา นอบน้อมพระองค์ เป็นผู้อันพระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงสักการะเคารพนับถือ บูชานอบน้อม พระองค์เป็นผู้อันพราหมณ์โปกขรสาติ ทรงสักการะเคารพนับถือ บูชานอบน้อม พระองค์เสด็จถึงนครจัมปา ประทับอยู่ ณ ขอบสระโบกขรณีคัคครา ในนครจัมปา สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง มาสู่เขตบ้านของเรา ท่านเหล่านั้นจัดว่า เป็นแขกของเรา และเป็นแขกอันเราควรสักการะเคารพนับถือ บูชานอบน้อม พระสมณโคดมเสด็จถึงนครจัมปา ประทับอยู่ ณ ขอบสระโบกขรณีคัคครา ในนครจัมปา พระองค์ทรงเป็นแขกของพวกเรา และเป็นแขกที่เราควรสักการะเคารพนับถือ บูชานอบน้อม เพราะเหตุฉะนี้แหละ พระองค์จึงไม่ควรเสด็จมาหาเรา ที่ถูกเราต่างหากควรจะไปเฝ้าพระองค์ ข้าพเจ้า
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 7
ทราบพระคุณของพระโคดมเพียงเท่านี้ แต่พระโคดมไม่ใช่มีพระคุณเพียงเท่านี้ ความจริงพระองค์ มีพระคุณหาประมาณมิได้.
[๑๘๓] เมื่อพราหมณ์โสณทัณฑะกล่าวอย่างนี้แล้ว พราหมณ์เหล่านั้น ได้กล่าวว่า ท่านโสณทัณฑะกล่าวชม พระสมณโคดมถึงเพียงนี้ ถึงหากพระโคดมพระองค์นั้น จะประทับอยู่ไกลจากที่นี้ตั้งร้อยโยชน์ ก็ควรแท้ ที่กุลบุตรผู้มีศรัทธาจะไปเฝ้า แม้จะต้องนําเสบียงไปก็ควร. พราหมณ์โสณทัณฑะกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น เราทั้งหมดจักไปเฝ้าพระสมณโคดม. ลําดับนั้น พราหมณ์โสณทัณฑะ พร้อมด้วยคณะพราหมณ์หมู่ใหญ่ ไปถึงสระโบกขรณีคัคครา. เมื่อผ่านพ้นราวป่าไปแล้ว ได้เกิดปริวิตกขึ้นอย่างนี้ว่า ถ้าเราจะถามปัญหากะพระสมณโคดม หากพระองค์จะพึงตรัสกะเราอย่างนี้ว่า พราหมณ์ปัญหาข้อนี้ ท่านไม่ควรถามอย่างนั้น ที่ถูกควรจะถามอย่างนี้ ดังนี้ ชุมนุมชนนี้จะพึงดูหมิ่นเราได้ ด้วยเหตุนั้นว่า พราหมณ์โสณทัณฑะเป็นคนเขลา ไม่ฉลาด ไม่อาจถามปัญหาโดยแยบคาย กะพระสมณโคดมได้ ผู้ที่ถูกชุมนุมชน ดูหมิ่นพึงเสื่อมยศ ผู้เสื่อมยศก็เสื่อมจากโภคสมบัติ เพราะได้ยศเราจึงมีโภคสมบัติ ถ้าพระสมณโคดมจะพึงตรัสถามปัญหากะเรา และเราแก้ไม่ถูกพระทัย ถ้าพระองค์จะพึงตรัสกะเราอย่างนี้ว่า พราหมณ์ปัญหาข้อนี้ ท่านไม่ควรแก้อย่างนั้น ที่ถูกควรจะแก้อย่างนี้ ดังนี้ ชุมนุมชนนี้จะพึงดูหมิ่นเราได้ ด้วยเหตุนั้นว่า พราหมณ์เป็นคนเขลาไม่ฉลาด ไม่อาจแก้ปัญหาให้ถูกพระทัยพระสมณโคดมได้ ผู้ที่ถูกชุมนุมชนดูหมิ่น พึงเสื่อมยศ ผู้เสื่อมยศ ก็พึงเสื่อมโภคสมบัติ เพราะได้ยศเราจึงมีโภคสมบัติ อนึ่ง เราเข้ามาใกล้ถึงเพียงนี้แล้ว ยังมิได้เฝ้าพระสมณโคดม จะกลับเสียชุมนุมชนนี้ จะพึงดูหมิ่นเราได้ ด้วยเหตุนั้นว่า พราหมณ์โสณทัณฑะเป็นคน-
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 8
เขลาไม่ฉลาด กระด้างด้วยมานะ เป็นคนขลาด ไม่อาจเข้าเฝ้าพระสมณโคดมได้ เข้ามาใกล้ถึงเพียงนี้แล้ว ยังไม่ทันเฝ้าพระสมณโคดม ไฉนจึงกลับเสีย ผู้ที่ถูกชุมนุมชนดูหมิ่น พึงเสื่อมยศ ผู้เสื่อมยศก็พึงเสื่อมโภคสมบัติ เพราะได้ยศ เราจึงได้โภคสมบัติ.
[๑๘๔] ลําดับนั้น พราหมณ์โสณทัณฑะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. ฝ่ายพราหมณ์และคฤหบดีชาวนครจัมปา บางพวกก็ถวายอภิวาท บางพวกก็ปราศรัย บางพวกก็ประนมอัญชลีไปทางพระผู้มีพระภาคเจ้า บางพวกก็ประกาศชื่อและโคตร บางพวกก็นิ่งอยู่ แล้วต่างก็นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งๆ . ได้ยินว่า ในขณะนั้น พราหมณ์โสณทัณฑะ นั่งครุ่นคิดถึงแต่เรื่องนั้นว่า ถ้าเราจะพึงถามปัญหากะพระสมณโคดม หากพระองค์จะพึงตรัสกะเราอย่างนี้ว่า พราหมณ์ปัญหาข้อนี้ ท่านไม่ควรถามอย่างนั้น ที่ถูกควรจะถามอย่างนี้ดังนี้ ชุมนุมชนนี้จะพึงดูหมิ่นเรา ด้วยเหตุนั้นว่า พราหมณ์โสณทัณฑะเป็นคนเขลา ไม่ฉลาด ไม่อาจถามปัญหาโดยแยบคาย กะพระสมณโคดมได้ ผู้ที่ถูกชุมนุมชนดูหมิ่น พึงเสื่อมยศ ผู้เสื่อมยศก็พึงเสื่อมโภคสมบัติ เพราะได้ยศ เราจึงมีโภคสมบัติ ถ้าพระสมณโคดมจะพึงตรัสถามปัญหากะเรา ถ้าเราแก้ไม่ถูกพระทัย ถ้าพระองค์จะพึงตรัสกะเราอย่างนี้ว่า พราหมณ์ปัญหาข้อนี้ ท่านไม่ควรแก้อย่างนี้ ที่ถูกควรจะแก้อย่างนี้ ดังนี้ชุมนุมชนนี้จะพึงดูหมิ่นเราได้ ด้วยเหตุนั้นว่า พราหมณ์โสณทัณฑะเป็นคนเขลา ไม่ฉลาด ไม่อาจแก้ปัญหา ให้ถูกพระทัยพระสมณโคดมได้ ผู้ที่ถูกชุมนุมชนดูหมิ่นพึงเสื่อมยศ ผู้เสื่อมยศก็พึงเสื่อมโภคสมบัติ เพราะได้ยศ เราจึงมีโภคสมบัติ ถ้า
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 9
กระไร ขอพระสมณโคดมพึงตรัสถามปัญหากะเรา ในเรื่องไตรวิชาอันเป็นของอาจารย์ของเรา เราจะพึงแก้ให้ถูกพระทัยของพระองค์ได้เป็นแน่.
[๑๘๕] ลําดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทราบความคิดในใจ ของพราหมณ์โสณทัณฑะด้วยพระหฤทัย แล้วทรงดําริว่า พราหมณ์โสณทัณฑะนี้ ลําบากใจตัวเองอยู่ ถ้ากระไร เราพึงถามปัญหาเขา ในเรื่องไตรวิชาอันเป็นของอาจารย์ของเขา. ต่อแต่นั้น จึงได้ตรัสถามพราหมณ์โสณทัณฑะว่า ดูก่อน พราหมณ์ บุคคลผู้ประกอบด้วยองค์เท่าไร พวกพราหมณ์จึงบัญญัติว่า เป็นพราหมณ์ และเมื่อเขาจะกล่าวว่า เราเป็นพราหมณ์ ก็พึงกล่าวได้โดยชอบ ทั้งไม่ต้องถึงมุสาวาทด้วย. พราหมณ์โสณทัณฑะดําริว่า เราได้ประสงค์จํานงหมาย ปรารถนาว่าไว้แล้วว่า ถ้ากระไร ขอพระสมณโคดมพึงตรัสถามปัญหากะเรา ในเรื่องไตรวิชาอันเป็นของอาจารย์ของเรา เราพึงแก้ให้ถูกพระทัยของพระองค์ได้ เป็นแน่นั้น เผอิญพระองค์ก็ตรัสถามปัญหากะเรา ในเรื่องไตรวิชาอันเป็นของอาจารย์ของเรา เราจักแก้ปัญหาให้ถูกพระทัยได้ เป็นแน่ทีเดียว
พราหมณ์บัญญัติ
[๑๘๖] ลําดับนั้น พราหมณ์โสณทัณฑะจึงเผยอกายขึ้น เหลียวดูชุมนุมชนแล้ว กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ บุคคลประกอบด้วยองค์ ๕ ประการ พวกพราหมณ์ย่อมบัญญัติว่า เป็นพราหมณ์ และเมื่อเขาจะกล่าวว่า เราเป็นพราหมณ์ ก็พึงกล่าวได้โดยชอบ ทั้งไม่ต้องถึงมุสาวาทด้วยองค์ ๕ ประการ เป็นไฉน ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ บุคคลผู้เป็นพราหมณ์ในโลกนี้
๑. เป็นอุภโตสุชาต ทั้งฝ่ายมารดาและบิดา มีครรภ์เป็นที่ถือปฏิสนธิ
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 10
หมดจดดีตลอด ๗ ชั่วคน ไม่มีใครจะคัดค้านติเตียนได้ ด้วยการกล่าวอ้างถึงชาติ
๒. เป็นผู้คงแก่เรียน ทรงจํามนต์รู้จบไตรเพท พร้อมทั้งคัมภีร์นิฆัณฑุ คัมภีร์เกตุภะ พร้อมทั้งประเภทอักษร มีคัมภีร์อิติหาสเป็นที่ ๕ เป็นผู้เข้าใจตัวบท เป็นผู้เข้าใจไวยากรณ์ ชํานาญในคัมภีร์โลกายตะ และมหาปุริสลักษณะ
๓. เป็นผู้มีรูปงาม น่าดู น่าเลื่อมใส ประกอบด้วยผิวพรรณผุดผ่องยิ่งนัก มีวรรณะคล้ายพรหม มีรูปร่างคล้ายพรหม น่าดูน่าชมไม่น้อย
๔. เป็นผู้มีศีล มีศีลยั่งยืน ประกอบด้วยศีลยั่งยืน
๕. เป็นบัณฑิต มีปัญญาเป็นที่ ๑ หรือที่ ๒ ของพวกปฏิคาหก ผู้รับบูชาด้วยกัน
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ บุคคลประกอบด้วยองค์ ๕ เหล่านี้แล พวกพราหมณ์ย่อมบัญญัติว่า เป็นพราหมณ์ และเมื่อเขาจะกล่าวว่า เราเป็นพราหมณ์ ก็พึงกล่าวได้โดยชอบ ทั้งไม่ต้องถึงมุสาวาทด้วย.
[๑๘๗] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อน พราหมณ์ บรรดาองค์ทั้ง ๕ เหล่านี้ ยกเสียองค์หนึ่งแล้ว บุคคลประกอบด้วยองค์ เพียง ๔ อาจจะบัญญัติว่า เป็นพราหมณ์ได้หรือไม่ และเมื่อเขาจะกล่าวว่า เราเป็นพราหมณ์ พึงกล่าวได้โดยชอบ ทั้งไม่ต้องถึงมุสาวาทด้วย. พราหมณ์โสณทัณฑะทูลว่า ได้ พระโคดมผู้เจริญ บรรดาองค์ทั้ง ๕ เหล่านี้ ยกวรรณะเสียก็ได้ เพราะวรรณะจักกระทําอะไรได้ ด้วยเหตุว่าบุคคลผู้เป็นพราหมณ์
๑. เป็นอุภโตสุชาต ทั้งฝ่ายมารดาและบิดา มีครรภ์เป็นที่ถือ
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 11
ปฏิสนธิหมดจดดีตลอด ๗ ชั่วคน ไม่มีใครจะคัดค้านติเตียนได้ ด้วยการกล่าวอ้างถึงชาติ
๒. เป็นผู้คงแก่เรียน ทรงจํามนต์ รู้จบไตรเพท พร้อมทั้งคัมภีร์นิฆัณฑุ คัมภีร์เกตุภะ พร้อมทั้งประเภทอักษร มีคัมภีร์อิติหาสเป็นที่ ๕ เป็นผู้เข้าใจตัวบท เป็นผู้เข้าใจไวยากรณ์ ชํานาญในคัมภีร์โลกายตะ และมหาปุริสลักษณะ
๓. เป็นผู้มีศีล มีศีลยั่งยืน ประกอบด้วยศีลยั่งยืน
๔. เป็นบัณฑิต มีปัญญา เป็นที่ ๑ หรือที่ ๒ ของพวกปฏิคาหก ผู้รับบูชาด้วยกัน
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ บุคคลประกอบด้วยองค์ ๔ เหล่านี้แล พวกพราหมณ์ย่อมบัญญัติว่า เป็นพราหมณ์ และเมื่อเขาจะกล่าวว่า เป็นพราหมณ์พึงกล่าวได้โดยชอบ ทั้งไม่ต้องถึงมุสาวาทด้วย.
[๑๘๘] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อน พราหมณ์ บรรดาองค์ ๔ เหล่านี้ ยกเสียองค์หนึ่งแล้ว บุคคลประกอบด้วยองค์เพียง ๓ อาจบัญญัติว่าเป็นพราหมณ์ และเมื่อเขาจะกล่าวว่า เราเป็นพราหมณ์ พึงกล่าวได้โดยชอบ ทั้งไม่ต้องถึงมุสาวาทด้วย. พราหมณ์โสณทัณฑะทูลว่า ได้ พระโคดมผู้เจริญ บรรดาองค์ ๔ เหล่านี้จะยกมนต์เสียก็ได้ เพราะมนต์จักทําอะไรได้ ด้วยเหตุว่าบุคคลผู้เป็นพราหมณ์
๑. เป็นอุภโตสุชาต ทั้งฝ่ายมารดาและบิดา มีครรภ์เป็นที่ถือปฏิสนธิหมดจดดี ๗ ตลอดชั่วคน ไม่มีใครจะคัดค้านติเตียนได้ ด้วยการกล่าวอ้างถึงชาติ
๒. เป็นผู้มีศีล มีศีลยั่งยืน ประกอบด้วยศีลยั่งยืน
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 12
๓. เป็นบัณฑิต มีปัญญาเป็นที่ ๑ หรือที่ ๒ ของพวกปฏิคาหกผู้รับบูชาด้วยกัน
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ บุคคลผู้ประกอบด้วยองค์ ๓ เหล่านี้แล พวกพราหมณ์ย่อมบัญญัติว่าเป็นพราหมณ์ และเมื่อเขาจะกล่าวว่า เราเป็นพราหมณ์ ก็พึงกล่าวไว้ได้โดยชอบทั้งไม่ต้องถึงมุสาวาทด้วย.
[๑๘๙] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อน พราหมณ์ บรรดาองค์ ๓ เหล่านี้ ยกเสียองค์หนึ่งแล้ว บุคคลประกอบด้วยองค์เพียง ๒ อาจจะบัญญัติว่า เป็นพราหมณ์ได้หรือไม่ และเมื่อเขาจะกล่าวว่า เราเป็นพราหมณ์ก็พึงกล่าวได้โดยชอบ ทั้งไม่ต้องถึงมุสาวาทด้วย. พราหมณ์โสณทัณฑะทูลว่า ได้ พระโคดมผู้เจริญ บรรดาองค์ ๓ เหล่านี้ ยกชาติเสียก็ได้ เพราะชาติจักทําอะไรได้ ด้วยเหตุว่า บุคคลผู้เป็นพราหมณ์
๑. เป็นผู้มีศีล มีศีลยั่งยืน ประกอบด้วยศีลยั่งยืน
๒. เป็นบัณฑิต มีปัญญาเป็นที่ ๑ หรือที่ ๒ ของพวกปฏิคาหกผู้รับบูชาด้วยกัน
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ บุคคลประกอบด้วยองค์ ๒ เหล่านี้แล พวกพราหมณ์ย่อมบัญญัติว่าเป็นพราหมณ์ และเมื่อเขาจะกล่าวว่า เราเป็นพราหมณ์ก็พึงกล่าวได้โดยชอบ ทั้งไม่ต้องถึงมุสาวาทด้วย.
[๑๙๐] เมื่อพราหมณ์โสณทัณฑะทูลอย่างนี้แล้ว พราหมณ์เหล่านั้นได้กล่าวว่า ท่านโสณทัณฑะ อย่าได้กล่าวอย่างนั้นเลย ท่านโสณทัณฑะอย่าได้กล่าวอย่างนั้นเลย ท่านโสณทัณฑะกล่าวลบหลู่วรรณะ กล่าวลบหลู่มนต์ กล่าวลบหลู่ชาติ กล่าวคล้อยตามวาทะของพระสมณโคดมถ่ายเดียวเท่านั้น. ลําดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะพราหมณ์เหล่านั้นว่า ถ้าพวกท่านคิดอย่างนี้ว่า พราหมณ์โสณทัณฑะอ่อนการศึกษา พูดไม่ดี
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 13
มีปัญญาทราม และไม่สามารถจะโต้ตอบกับพระสมณโคดมในเรื่องนี้ได้ พราหมณ์โสณทัณฑะก็จงหยุดเสีย พวกท่านจงพูดกับเราเถิด แต่ถ้าพวกท่านคิดอย่างนี้ว่า พราหมณ์โสณทัณฑะเป็นพหูสูต พูดดี เป็นบัณฑิต และสามารถจะโต้ตอบกับพระสมณโคดมในเรื่องนี้ได้ พวกท่านจงหยุดเสีย พราหมณ์โสณทัณฑะจงโต้ตอบกับเรา.
[๑๙๑] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว พราหมณ์โสณทัณฑะได้กราบทูลว่า ขอพระโคดมผู้เจริญทรงหยุดเถิด ขอพระโคดมผู้เจริญทรงนิ่งเสียเถิด ข้าพระองค์เองจักโต้ตอบเขาโดยชอบแก่เหตุ แล้วจึงกล่าวกะพราหมณ์พวกนั้นว่า ท่านทั้งหลาย อย่าได้กล่าวอย่างนี้ๆ ว่า พราหมณ์โสณทัณฑะกล่าวลบหลู่วรรณะ กล่าวลบหลู่มนต์ กล่าวลบหลู่ชาติ กล่าวคล้อยตามวาทะของพระสมณโคดมถ่ายเดียว อย่างนี้เลย. ข้าพเจ้ามิได้กล่าวลบหลู่วรรณะ หรือมนต์ หรือชาติเลย
อ้างอังคกมาณพ
[๑๙๒] สมัยนั้น อังคกมาณพหลานของพราหมณ์โสณทัณฑะ นั่งอยู่ในชุมนุมชนนั้นด้วย. พราหมณ์โสณทัณฑะได้กล่าวกะพราหมณ์พวกนั้นว่า ท่านทั้งหลายนี้อังคกมาณพหลานของข้าพเจ้า พวกท่านเห็นหรือไม่ พราหมณ์พวกนั้นตอบว่า เห็นแล้วท่าน พราหมณ์โสณทัณฑะกล่าวต่อไปว่า อังคกมาณพเป็นคนมีรูปงาม น่าดู น่าเลื่อมใส ประกอบด้วยผิวพรรณผุดผ่องยิ่งนัก มีพรรณคล้ายพรหม มีรูปร่างคล้ายพรหม น่าดูน่าชมไม่น้อย ในชุมนุมชนนี้ยกพระสมณโคดมเสีย ไม่มีใครมีวรรณะเสมออังคกมาณพเลย อังคกมาณพเป็นผู้คงแก่เรียน ทรงจํามนต์ได้ รู้จบไตรเพท พร้อมทั้งคัมภีร์นิฆัณฑุ คัมภีร์เกตุภะ พร้อมทั้งประเภทอักษร มีคัมภีร์อิติหาส
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 14
เป็นที่ ๕ เป็นผู้เข้าใจตัวบท เป็นผู้เข้าใจไวยากรณ์ ชํานาญในคัมภีร์โลกายตะ และมหาปุริสลักษณะ ข้าพเจ้าเป็นผู้บอกมนต์แก่เธอ เธอเป็นอุภโตสุชาตทั้งฝ่ายมารดาและบิดา มีครรภ์เป็นที่ถือปฏิสนธิหมดจดดีตลอด ๗ ชั่วคน ไม่มีใครจะคัดค้านติเตียนได้ ด้วยการกล่าวอ้างถึงชาติ ข้าพเจ้ารู้จักมารดาและบิดาของเธอ ถึงอังคกมาณพจะพึงฆ่าสัตว์บ้าง จะพึงถือเอาสิ่งของที่เขามิได้ให้บ้าง จะพึงคบหาภริยาของบุคคลอื่นบ้าง จะพึงกล่าวเท็จบ้าง จะพึงดื่มน้ำเมาบ้าง ในเวลานี้ ฐานะเช่นนี้ วรรณะจักทําอะไรได้ มนต์จักทําอะไรได้ และชาติจักทําอะไรได้ ด้วยเหตุว่า บุคคลผู้เป็นพราหมณ์ เป็นผู้มีศีล มีศีลยั่งยืน ประกอบด้วยศีลยั่งยืน และเป็นบัณฑิต มีปัญญาเป็นที่ ๑ หรือที่ ๒ ของปฏิคาหกผู้รับบูชาด้วยกันบุคคลผู้ประกอบด้วยองค์ ๒ เหล่านี้แล พวกพราหมณ์ จะบัญญัติว่าเป็นพราหมณ์ก็ได้ และเมื่อเขาจะกล่าวว่าเราเป็นพราหมณ์ ก็จะพึงกล่าวได้โดยชอบ ทั้งไม่ถึงมุสาวาทด้วย.
[๑๙๓] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อน พราหมณ์ บรรดาองค์ ๒ นี้ยกเสียองค์หนึ่งแล้ว บุคคลผู้ประกอบด้วยองค์เพียง ๑ อาจจะบัญญัติว่า เป็นพราหมณ์ได้หรือไม่ และเมื่อเขาจะกล่าวว่า เราเป็นพราหมณ์ ก็พึงกล่าวได้โดยชอบ ทั้งไม่ต้องถึงมุสาวาทด้วย. พราหมณ์โสณทัณฑะกราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้อนี้ไม่ได้ เพราะว่าปัญญาอันศีลชําระให้บริสุทธิ์ และศีลอันปัญญาชําระให้บริสุทธิ์ ศีลมีในบุคคลใด ปัญญาก็มีในบุคคลนั้น ปัญญามีในบุคคลใด ศีลก็มีในบุคคลนั้น ปัญญาเป็นของบุคคลผู้มีศีล ศีลเป็นของบุคคลผู้มีปัญญา และนักปราชญ์ย่อมกล่าว ศีลกับปัญญาว่า เป็นยอดในโลก เหมือนบุคคลล้างมือด้วยมือ หรือล้างเท้าด้วยเท้า ฉะนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 15
[๑๙๔] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนพราหมณ์ ข้อนี้เป็นอย่างนั้น ข้อนี้เป็นอย่างนั้น ปัญญาอันศีลชําระให้บริสุทธิ์ ศีลอันปัญญาชําระให้บริสุทธิ์ ศีลมีในบุคคลใด ปัญญาก็มีในบุคคลนั้น ปัญญามีในบุคคลใด ศีลก็มีในบุคคลนั้น ปัญญาเป็นของบุคคลผู้มีศีล ศีลเป็นของผู้มีปัญญา และนักปราชญ์ย่อมกล่าวศีลกับปัญญาว่าเป็นยอดในโลก เหมือนบุคคลล้างมือด้วยมือ หรือล้างเท้าด้วยฉะนั้น ดูก่อนพราหมณ์ ศีลนั้นเป็นไฉน ปัญญานั้นเป็นไฉน. พราหมณ์โสณทัณฑะกราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พวกข้าพระองค์ มีความรู้เท่านี้เอง เมื่อเนื้อความมีเช่นไร ขอเนื้อความแห่งภาษิตนี้ จงแจ่มแจ้งแก่พระโคดมผู้เจริญเองเถิด.
[๑๙๕] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนพราหมณ์ ถ้าอย่างนั้นท่านจงฟัง จงตั้งใจให้ดี เราจักกล่าว. พราหมณ์โสณทัณฑะรับสนองพระพุทธพจน์แล้ว. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้กะพราหมณ์โสณทัณฑะว่า ดูก่อนพราหมณ์ พระตถาคตอุบัติขึ้นในโลกนี้เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบ ฯลฯ (พึงดูพิสดารในสามัญญผลสูตร) ดูก่อนพราหมณ์ ก็ภิกษุเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีลอย่างนี้แล. แม้ข้อนี้แล คือศีลนั้น. เข้าถึงปฐมฌานอยู่. เข้าถึงทุติยฌานอยู่. เข้าถึงตติฌานอยู่. เข้าถึงจตุตถฌานอยู่ ฯลฯ เธอนําเฉพาะน้อมเฉพาะจิตเพื่อญาณทัสสนะ ฯลฯ แม้ข้อนี้จัดอยู่ในปัญญา ของเธอ ฯลฯ เธอย่อมรู้ชัดว่า กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี. แม้ข้อนี้จัดอยู่ในปัญญาของเธอ. ดูก่อนพราหมณ์ นี้แลคือปัญญานั้น.
โสณทัณฑพราหมณ์แสดงตนเป็นอุบาสก
[๑๙๖] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว พราหมณ์โสณทัณฑะได้กราบทูลคํานี้กะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 16
ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ํา เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืด ด้วยคิดว่าผู้มีจักษุจักเห็นรูปดังนี้ ฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ขอถึงพระโคดมผู้เจริญพร้อมทั้งพระธรรม และพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ขอพระโคดมผู้เจริญจงทรงจําข้าพระองค์ว่า เป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณะอย่างมอบกาย ถวายชีวิตตั้งแต่วันนี้ เป็นต้นไป และขอพระโคดมผู้เจริญ ทรงรับภัตตาหารของข้าพระองค์ เพื่อเสวยในวันพรุ่งนี้ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับด้วยดุษณีภาพแล้ว ลําดับนั้น พราหมณ์โสณทัณฑะทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับนิมนต์แล้ว ลุกจากอาสนะ ถวายอภิวาทกระทําประทักษิณแล้วกลับ.
โสณทัณฑพราหมณ์ ทูลความประสงค์ของตน
[๑๙๗] ครั้นล่วงราตรีนั้นแล้ว พราหมณ์โสณทัณฑะ ได้ตกแต่งของเคี้ยวของฉันอันประณีต ในนิเวศน์ของตนเสร็จแล้ว ให้คนไปกราบทูลภัตตกาล แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ถึงเวลาแล้วภัตตาหารเสร็จแล้ว. ครั้งนั้นเป็นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตรและจีวร เสด็จเข้าไปยังนิเวศน์ของพราหมณ์โสณทัณฑะพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ แล้วประทับนั่ง ณ อาสนะที่เขาจัดไว้. พราหมณ์โสณทัณฑะ ได้อังคาสภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ด้วยของเคี้ยวของฉันอันประณีต ให้อิ่มหนําด้วยมือของตนเสร็จแล้ว.
[๑๙๘] ครั้งนั้น พราหมณ์โสณทัณฑะทราบแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยเสร็จแล้ว วางพระหัตถ์จากบาตรแล้ว จึงถือเอาอาสนะต่ํากว่า นั่ง
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 17
ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ถ้าข้าพระองค์กําลังอยู่ในท่ามกลางชุมนุมชน จะพึงลุกจากอาสนะ ถวายอภิวาทพระโคดมผู้เจริญ ชุมนุมชนนั้นจะพึงดูหมิ่นข้าพระองค์ ด้วยเหตุนั้นได้ ผู้ที่ถูกชุมนุมชนดูหมิ่นพึงเสื่อมยศ ผู้เสื่อมยศพึงเสื่อมจากโภคสมบัติ เพราะได้ยศ ข้าพระองค์จึงมีโภคสมบัติ ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ถ้าข้าพระองค์กําลังอยู่ในท่ามกลางชุมนุมชน จะพึงประคองอัญชลี ขอพระโคดมผู้เจริญ จงเข้า พระทัยว่า แทนการลุกจากอาสนะ ถ้าข้าพระองค์กําลังอยู่ในท่ามกลางชุมนุมชน จะพึงเปลื้องผ้าโพกออก ขอพระโคดมผู้เจริญจงเข้าพระทัยว่า แทนการอภิวาทด้วยศีรษะ ถ้าข้าพระองค์กําลังไปในยาน จะพึงลงจากยานแล้ว ถวายอภิวาทพระโคดม ชุมนุมชนนั้นจะพึงดูหมิ่นข้าพระองค์ด้วยเหตุนั้นได้ ผู้ที่ถูกชุมนุมชนดูหมิ่นย่อมเสื่อมยศ ผู้เสื่อมยศพึงเสื่อมจากโภคสมบัติ เพราะได้ยศ ข้าพระองค์จึงมีโภคสมบัติ ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ถ้าข้า พระองค์จะพึงไปในยาน จะพึงยกปฏักขึ้น ขอพระโคดมผู้เจริญ จงทรงเข้าพระทัยว่า แทนการลงจากยานของข้าพระองค์ ถ้าข้าพระองค์กําลังไปในยาน จะพึงลดร่มลง ขอพระโคดมผู้เจริญ จงทรงเข้าพระทัยว่า แทนการอภิวาท ด้วยศีรษะของข้าพระองค์ดังนี้.
ลําดับนั้น พระมีพระภาคเจ้าได้ทรงยังพราหมณ์โสณทัณฑะ ให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาแล้ว เสด็จลุกจากอาสนะ เสด็จกลับ ดังนี้แล.
จบโสณทัณฑสูตร ที่ ๔
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 18
อรรถกถาโสณทัณฑสูตร
เอวมฺเม สุตํฯ เปฯ องฺเคสูติ โสณทณฺฑสุติตํ
ในโสณทัณฑสูตรนั้น มีการพรรณนาตามลําดับบท ดังต่อไปนี้
บทว่า ในอังคชนบท มีความว่า ราชกุมารทั้งหลาย นามว่า อังคะ เป็นชาวชนบทที่มักเรียกกันอย่างนี้ ก็เพราะเป็นผู้มีรูปร่างน่าเลื่อมใส ชนบทแม้เดียวซึ่งเป็นที่อาศัยอยู่ของราชกุมารเหล่านั้น ท่านก็เรียกว่า อังคชนบท เพราะศัพท์เพิ่มเข้ามา. ในชนบทชื่อ อังคะ นั้น. บทว่า จาริก แม้ในชนบทนี้ ท่านมุ่งหมายเอาการเสด็จจาริกไม่รีบร้อน และการเสด็จจาริกประจำ ได้ยินว่า ในกาลนั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเล็งดูโลกธาตุทั้งหมื่นหนึ่งอยู่ โสณทัณฑพราหมณ์เข้าไปปรากฏในข่าย คือ พระญาณแล้ว. ลําดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพิจารณาอยู่ว่า พราหมณ์นี้ปรากฏในข่าย คือญาณของเรา พราหมณ์นี้มีอุปนิสัยหรือไม่หนอ ก็ได้ทอดพระเนตรเห็นว่า เมื่อเราไป ณ ที่นั้น พวกลูกศิษย์ของเขาจะพากันกล่าวสรรเสริญพราหมณ์ด้วยอาการ ๑๒ แล้ว จะไม่ยอมให้เขามายังสํานักของเรา แต่พราหมณ์นั้น จะทําลายวาทะของพวกลูกศิษย์เหล่านั้นเสียแล้ว กล่าวสรรเสริญเราด้วยอาการ ๒๙ แล้วเข้ามาหาเราแล้ว จักถามปัญหา ในที่สุดการเฉลยปัญหา เขาก็จักถึงสรณะ ดังนี้แล้ว พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ รูป เป็นบริวาร เสด็จไปสู่ชนบทนั้น. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาริกไปในอังคชนบท เสด็จถึงเมืองจัมปา ดังนี้.
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 19
บทว่า ที่ฝังแห่งสระโบกขรณีชื่อ คัคครา มีความว่า ในที่ไม่ไกลเมืองจัมปานั้น มีสระโบกขรณีเรียกชื่อกันว่า คัคครา เพราะพระมเหสีของพระราชาทรงพระนามว่า คัคครา ทรงขุดไว้ โดยรอบฝังสระนั้นมีป่าต้นจัมปาใหญ่ ประดับประดาด้วยดอกไม้ ๕ สี มีสีเขียวเป็นต้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับอยู่ในป่าต้นจัมปา ซึ่งมีกลิ่นหอมระรื่นด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้. ท่านมุ่งหมายเอาป่าต้นจัมปานั้น จึงกล่าวว่า ที่ฝังแห่งสระโบกขรณี ชื่อคัคครา.
ในบทนี้ว่า พระเจ้าพิมพิสารผู้ครองแคว้นมคธ มีเสนาใหญ่ พระราชาพระองค์นั้น ชื่อว่าผู้ครองแคว้นมคธ เพราะทรงเป็นผู้ใหญ่ของชาวแคว้นมคธ ชื่อว่ามีเสนาใหญ่ เพราะประกอบพร้อมด้วยเสนาใหญ่. บทว่า พิมฺพิ แปลว่า ทองคํา. เพราะฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่า พิมพิสารเพราะเป็นผู้มีผิวพรรณเช่นเดียวกันทองคําแท้. ชนเป็นอันมากมารวมกันเพราะเหตุนั้น ชื่อว่า หมู่. หมู่ชนในแต่ละทิศของชนเหล่านั้นมีอยู่ เพราะเหตุนั้น ชนเหล่านั้นชื่อว่ามีหมู่. ครั้งแรกชนเหล่านั้น มิได้เป็นคณะกันในภายในเมือง แต่ออกไปนอกเมืองแล้ว จึงรวมกันเป็นคณะ เพราะเหตุนั้นชื่อว่า รวมกันเป็นคณะ.
บทว่า เรียกที่ปรึกษามา ความว่า มหาอํามาตย์ผู้สามารถเฉลยปัญหาที่ถูกถามได้ เรียกว่า ขัตตะ (ที่ปรึกษา) เรียกที่ปรึกษาคนนั้นมา บทว่า อาคเมนฺตุ แปลว่า จงรอสักประเดี๋ยว หมายความว่า อย่าเพิ่งไป
บทว่า ผู้อยู่ต่างแดน ความว่า พราหมณ์ทั้งหลายผู้เกิดในแดนต่างๆ กัน คือ ในแดนมีแคว้นกาสี และแคว้นโกศล เป็นต้น คนละแห่งแดนเหล่านั้น เป็นที่อยู่อาศัยของพวกเขา หรือว่าพวกเขามาจากแดนนั้น เพราะฉะนั้น พราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่า ผู้อยู่ต่างแดน แห่งพราหมณ์ทั้ง
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 20
หลายผู้อยู่ต่างแดนกันเหล่านั้น. บทว่า ด้วยกรณียกิจบางอย่าง ความว่าได้ยินว่า พวกพราหมณ์ทั้งหลาย ในนครนั้น ประชุมกันด้วยกรณียกิจสองอย่างคือ เพื่อจะร่วมทําการบูชายัญ หรือเพื่อการสาธยายมนต์. และในคราวนั้นในนครนั้น ไม่มีการบูชายัญ. แต่พราหมณ์เหล่านั้น มาประชุมกันในสํานักของโสณทัณฑพราหมณ์ เพื่อสาธยายมนต์ ท่านกล่าวว่า ด้วยกรณียกิจบางอย่าง หมายเอา การสาธยายมนต์นั้น.
พราหมณ์เหล่านั้น ได้ทราบว่า การไปของโสณทัณฑพราหมณ์นั้น แล้วโสณทัณฑพราหมณ์นี้เป็นพราหมณ์ชั้นสูง และพราหมณ์เหล่าอื่นโดยมาก คิดว่าถึงสมณโคดม เป็นสรณะ โสณทัณฑพราหมณ์นี้เท่านั้นยังไม่ไป ถ้าเขานี้แหละจักไป เขาก็จักถูกมายาที่นําให้งงงวยของพระสมณโคดมทําให้หลงใหลแล้ว จักถึงพระโคดมเป็นสรณะแน่แท้ แต่นั้นไป สันนิบาตของพวกพราหมณ์ ที่ประตูเรือนของโสณทัณฑพราหมณ์ แม้นั้นก็จักไม่มี เอาเถอะ เราจะขัดขวางไม่ให้เขาไปได้ ดังนี้ ปรึกษากันแล้วจึงไปในที่นั้น. ท่านหมายเอาข้อนั้น จึงได้กล่าวคําเป็นต้นว่า ครั้งนั้นแล พราหมณ์ทั้งหลายดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ด้วยองค์แม้นี้ คือด้วยเหตุนี้. พวกพราหมณ์ครั้นกล่าวเหตุนั้นอย่างนี้แล้ว คิดอีกว่า ธรรมดาคนเมื่อเขากล่าวสรรเสริญตน ที่จะไม่ยินดีหามีไม่ เอาเถอะ พวกเราจะห้ามการไปของเขา ด้วยการกล่าวสรรเสริญเขา จึงกล่าวเหตุหลายอย่างเป็นต้นว่า ก็โสณทัณฑพราหมณ์ผู้เจริญ เป็นอุภโตสุชาต เป็นต้น.
บทว่า สองฝ่าย คือจากฝ่ายทั้งสอง คือจากมารดา และจากบิดา. โสณทัณฑพราหมณ์ผู้เจริญเป็นอุภโตสุชาต ทั้งฝ่ายมารดาทั้งฝ่ายบิดา อย่างนี้ คือมารดาของโสณทัณฑพราหมณ์ผู้เจริญ เป็นนางพราหมณี
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 21
มารดาของมารดา เป็นนางพราหมณี มารดาแม้ของมารดาของมารดานั้น ก็เป็นนางพราหมณี บิดาเป็นพราหมณ์ บิดาของบิดาเป็นพราหมณ์ บิดาแม้ของบิดาของบิดานั้น ก็เป็นพราหมณ์. บทว่า มีครรภ์ที่ถือปฏิสนธิหมดจดดี ความว่า ครรภ์เป็นที่ถือปฏิสนธิ คือ ท้องของมารดา หมดจดดี. แต่ในบทนี้ว่า สมเวปากินิยา คหณิยา ไฟธาตุอันเกิดจากกรรม ท่านเรียกว่า คหณี (ครรภ์เป็นที่ถือปฏิสนธิ) . ในบทว่า ตลอด ๗ ชั่วคนนี้ ความว่า บิดาของบิดาชื่อปิตามหะ (ปู่) ยุคแห่งปิตามหะ ชื่อปิตามหยุค. ประมาณของอายุท่านเรียกว่า ยุค. ก็คํานี้เป็นเสียงชื่อยุคเท่านั้น. แต่โดยความปิตามหะนั้นแหละ ชื่อปิตามหยุค บรรพบุรุษแม้ทั้งปวงเหนือขึ้นไปจากปิตามหะนั้น ท่านก็ใช้คลุมถึงด้วยปิตามหะ ศัพท์นี้แหละ เขาเป็นผู้มีครรภ์เป็นที่ถือปฏิสนธิ อันหมดจดดีตลอด ๗ ชั่วคน ด้วยประการฉะนี้. อีกประการหนึ่ง พราหมณ์ทั้งหลายแสดงว่า เขาเป็นผู้อันใครดูถูกไม่ได้ ไม่ถูกตําหนิ ด้วยการกล่าวอ้างถึงชาติ. บทว่า ผู้อันใครๆ ดูถูกไม่ได้ คือใครๆ ดูถูกไม่ได้ ได้แก่ ผลักไสไม่ได้ ว่าพวกท่านจักไล่เขาไปเสีย จะประโยชน์อะไรกับคนคนนี้ ดังนี้. บทว่า ไม่ถูกตําหนิ คือไม่ถูกติเตียน ได้แก่ไม่เคยที่จะได้รับคําด่า ว่า หรือติเตียนเลย. ถามว่า เพราะเหตุไร. แก้ว่า เพราะการกล่าวอ้างถึงชาติ. ความว่า เพราะถ้อยคําเห็นปานนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ เขาเป็นคนมีชาติต่ําทราม ดังนี้.
บทว่า ผู้มั่งคั่ง คือผู้เป็นใหญ่. บทว่า มีทรัพย์มาก คือ ประกอบพร้อมด้วยทรัพย์มากมาย. พราหมณ์ทั้งหลายแสดงว่า ก็ในเรือนของท่านผู้เจริญ มีทรัพย์มาก ราวกะฝุ่นและทรายในแผ่นดิน แต่พระสมณโคดมไม่มีทรัพย์ เที่ยวขอเขาพอเต็มท้อง เลี้ยงชีวิต. บทว่า มีโภคะมาก คือ มีเครื่องอุปโภคมาก ด้วยอํานาจแห่งกามคุณห้า. พวกพราหมณ์ทั้งหลายสําคัญอยู่ว่า
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 22
ชนทั้งหลายกล่าวคุณใดๆ พวกเราจะแสดงสิ่งที่มิใช่คุณอย่างเดียว ด้วยอํานาจเป็นปฏิปักษ์ต่อคุณนั้นๆ ดังนี้ จึงได้กล่าวอย่างนั้น.
บทว่า มีรูปสวย คือ มีรูปงามยิ่ง ได้แก่ มีรูปดียิ่งกว่าเหล่ามนุษย์อื่นๆ บทว่า น่าดู คือชื่อว่าน่าดู เพราะทําให้ไม่รู้จักอิ่มเอิบแก่ชนผู้ดูอยู่ แม้ตลอดวัน ชื่อว่าน่าเลื่อมใส เพราะให้เกิดความเลื่อมใสแห่งจิต ด้วยการดูนั่นแหละ. ความดีงาม ท่านเรียกว่า ความสวย ความที่ผิวพรรณเป็นของสวยงาม ชื่อว่า มีผิวพรรณสวยงาม ความว่า ประกอบด้วยวรรณสมบัตินั้น. แต่ท่านโบราณาจารย์ทั้งหลายกล่าวว่า ชนทั้งหลายเรียก สรีระ ว่า โปกขรวรรณะนั่นแหละว่า วรรณะ. ตามมติของท่านโบราณาจารย์เหล่านั้น วรรณะด้วยรูปร่าง ด้วยชื่อวรรณะรูปร่างความมีแห่งผิวพรรณและรูปร่าง เหล่านั้น ชื่อว่า ความมีผิวพรรณและรูปร่าง เขาประกอบด้วยความมีผิวพรรณและรูปร่างอย่างยิ่ง ด้วยประการฉะนี้ ความว่า ประกอบด้วยผิวพรรณ และสมบัติ แห่งสรีระสัณฐานอันบริสุทธิ์อย่างสูงสุด.
บทว่า มีผิวพรรณ ดังพรหม คือ มีผิวพรรณอันประเสริฐสุด ความว่า ประกอบพร้อมด้วยผิวพรรณประดุจทองคําอันประเสริฐสุด แม้ในบรรดาผู้มีผิวพรรณอันบริสุทธิ์ทั้งหลาย. บทว่า มีรูปร่างดังพรหม คือ ประกอบพร้อมด้วยรูปร่าง เช่นกับรูปร่างของท้าวมหาพรหม. บทว่า น่าดู น่าชมมิใช่น้อย คือ ช่องทางที่จะดูในรูปร่างของท่านผู้เจริญมิใช่เล็กน้อย คือมาก. พราหมณ์ทั้งหลายแสดงว่า อวัยวะน้อยใหญ่ของท่านแม้ทุกส่วนเป็นของน่าดู และอวัยวะน้อยใหญ่เหล่านั้นก็ใหญ่ด้วย ดังนี้.
ศีลของบุคคลนั้นมีอยู่ เหตุนั้นเขาชื่อว่า เป็นผู้มีศีล ศีลที่เจริญแล้ว คืองอกงามแล้ว ของบุคคลนั้นมีอยู่ เหตุนั้นเขาชื่อว่า เป็นผู้มีศีลอันเจริญแล้ว. บทว่า ด้วยศีลอันเจริญ คือ ด้วยศีลอันเจริญนั่นแหละ คือที่งอก
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 23
งามแล้ว. บทว่า มาถึงพร้อมแล้ว คือ ประกอบแล้ว. คํานี้เป็นไวพจน์ของ บทว่า มีศีลอันเจริญแล้ว. คําทั้งหมดนั้น ท่านกล่าวหมายเอาเพียงศีลห้าเท่านั้น.
ในบททั้งหลายมีบทว่า มีวาจางามเป็นต้น มีความว่าวาจาอันงาม คือ ดี ได้แก่ มีบทและพยัญชนะกลมกล่อมของบุคคลนั้น มีอยู่ เหตุนั้นเขาชื่อว่า มีวาจางาม. บทว่า มีสําเนียงไพเราะ คือสําเนียงอันไพเราะ คืออ่อนหวานของบุคคลนั้นมีอยู่ เหตุนั้น เขาชื่อว่า มีสําเนียงไพเราะ บทว่า สําเนียง ได้แก่ เสียงกังวาลที่เปล่งออก. วาจามีอยู่ในเมือง เพราะบริบูรณ์ด้วยคุณความดีเหตุนั้น จึงชื่อว่าเป็นของชาวเมือง. อีกประการหนึ่ง ชื่อว่า โปรี เพราะมีวาจา เช่นกับความที่หญิงชาวเมือง คือ หญิงชาวเมืองเป็นผู้ละเอียดอ่อน เพราะความที่ตนอยู่ในเมือง. ด้วยวาจาหญิงชาวเมืองนั้น. บทว่า วิสฺสายตฺถ ความว่า ไม่พร่า คือ เว้นจากโทษมีความชักช้าที่ตนเห็นแล้ว เป็นต้น.
บทว่า หาโทษมิได้ คือ เว้นจากการกลืนน้ำลาย. จริงอยู่ เมื่อใครๆ พูดอยู่ น้ำลายไหลเข้าหรือว่าน้ำลายไหลออก หรือว่าฟองน้ำลายกระเซ็นออกมา วาจาของผู้นั้นชื่อว่า ชุ่มด้วยน้ำลาย ความว่า วาจาที่ตรงกันข้ามกับวาจานั้น. บทว่า ให้รู้ใจความได้ คือสามารถให้รู้ใจความ ที่กล่าวได้ชัดเจนทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด.
บทว่า แก่แล้ว คือเป็นคนแก่ เพราะเป็นผู้คร่ําคร่าด้วยชรา. บทว่า เป็นผู้เฒ่า คือถึงขีดสุดแห่งความเจริญ ของอวัยวะน้อยใหญ่. บทว่า เป็นผู้ใหญ่ คือประกอบพร้อมด้วยความเป็นผู้ใหญ่โดยชาติ อธิบายว่า เกิดมานานแล้ว บทว่า ผ่านเวลามานาน คือล่วงเวลานาน อธิบายว่าล่วงเลยมาตั้ง ๒ - ๓ รัชกาลแล้ว. บทว่า ผ่านวัยแล้ว คือผ่านถึงปัจฉิม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 24
วัยแล้ว ส่วนที่สาม อันเป็นที่สุดแห่ง ๑๐๐ ปี ชื่อว่า ปัจฉิมวัย อีกนัยหนึ่ง บทว่า แก่แล้ว คือเก่าแก่ อธิบายว่า เป็นไปตามวงศ์สกุล ที่เป็นไปแล้วสิ้นกาลนาน. บทว่า เป็นผู้เฒ่า คือประกอบด้วยความเจริญด้วยคุณมีศีล และอาจาระ เป็นต้น. บทว่า เป็นผู้ใหญ่ คือ ประกอบพร้อมด้วยความเป็นผู้ใหญ่ด้วยสมบัติ. บทว่า ผ่านเวลามานาน คือเดินทางมา ได้แก่ มีปกติประพฤติไม่ล่วงละเมิดมารยาท มีวัตรจริยาเป็นต้น ของพวกพราหมณ์.บทว่า ผ่านวัยแล้ว คือ ผ่าน ถึงแม้ความเป็นผู้เจริญด้วยชาติ อันเป็นวัยสุดท้ายแล้ว.
บทว่า เมื่อพวกพราหมณ์กล่าวอย่างนี้แล้ว ความว่า เมื่อพวกพราหมณ์เหล่านั้น กล่าวอย่างนี้แล้ว โสณทัณฑพราหมณ์คิดว่า พวกพราหมณ์เหล่านี้ กล่าวสรรเสริญคุณของเราด้วยชาติ เป็นต้น แต่การที่เราจะยินดี ในการกล่าวสรรเสริญคุณของตน ไม่สมควรแก่เราเลย เอาเถอะ เราจะทําลายวาทะของพวกเขาเสีย แล้วให้พวกเขารู้ว่า พระสมณโคดมเป็นผู้ใหญ่ จะทําให้พวกเขาไปในที่นั้น ดังนี้ แล้วจึงกล่าวคําเป็นต้นว่า ท่านผู้เจริญ ถ้ากระนั้น ขอพวกท่านจงฟังคําของข้าพเจ้าบ้าง. โสณทัณฑพราหมณ์สําคัญเห็นคุณทั้งหลาย ที่ยิ่งกว่าคุณของตนว่า ในคุณเหล่านั้น คุณแม้เหล่าใด เช่นเดียวกับคุณของตนมีว่า อุภโตสุชาตเป็นต้น คุณแม้เหล่านั้น ก็เป็นคุณมีชาติสมบัติ เป็นต้น ของพระสมณโคดม ดังนี้ จึงได้ประกาศคุณเหล่านี้ เพื่อที่จะแสดงความที่พระผู้มีพระภาคเจ้า มีพระคุณยิ่งใหญ่โดยส่วนเดียว โดยแท้.
ก็โสณทัณฑพราหมณ์ เมื่อจะกําหนดแน่อย่างนี้ว่า พวกเรานั่นแหละควรไปเฝ้า จึงแสดงคํานี้ ในที่นี้ว่า ถ้ามีบุคคลที่ควรเข้าไปหา เพราะความเป็นผู้มีคุณใหญ่ เพราะฉะนั้น พวกเรานั่นแหละ ควรจะเข้าไปเฝ้าเพื่อทัศนา
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 25
พระโคดมผู้เจริญนั้น เปรียบเหมือนเมล็ดผักกาด เมื่อนําไปเทียบกับเขาสิเนรุ. รอยเท้าโค เมื่อนําไปเทียบกับมหาสมุทร. หยดน้ำค้าง เมื่อนําไปเทียบกับน้ำในสระใหญ่ ๗ สระ ก็เป็นของกะจิ๊ดริดคือเล็กน้อย ฉันใด คุณของพวกเรา เมื่อนําไปเทียบกับพระคุณ มีพระชาติสมบัติเป็นต้นของพระสมณโคดม เป็นของนิดหน่อยคือเล็กน้อย ฉันนั้น เพราะฉะนั้น พวกเรานั้นแหละ ควรไปเฝ้าพระโคดมผู้เจริญ.
บทว่า ทรงละหมู่พระญาติมากมาย คือ ทรงละตระกูลพระญาติแสนหกหมื่นอย่างนี้ คือ ฝ่ายพระมารดาแปดหมื่น ฝ่ายพระบิดาแปดหมื่น.
ในบทนี้ว่า อยู่ในดินและตั้งอยู่ในอากาศ ทรัพย์ที่เขาขุดสระโบกขรณี ที่ฉาบปูนเกลี้ยงในพระลานหลวง และในพระราชอุทยาน ใส่แก้ว ๗ ประการจนเต็ม แล้วฝังไว้ในแผ่นดิน ชื่อว่า ทรัพย์อยู่ในดิน. ส่วนทรัพย์ที่ตั้งไว้จนเต็มประสาทและป้อม เป็นต้น ชื่อว่า ตั้งอยู่ในอากาศ. ทรัพย์ที่ตกทอดมา ตามความหมุนเวียนแห่งตระกูล มีเพียงเท่านี้ก่อน. แต่ในวันที่พระตถาคตอุบัติขึ้นแล้ว นั่นแหละ มีขุมทรัพย์ ๔ ขุม คือ ขุมทรัพย์ชื่อสังขะ ๑ ชื่อเอละ ๑ ชื่ออุปปละ ๑ ชื่อปุณฑริกะ ๑ ผุดขึ้นแล้ว. บรรดาขุมทรัพย์ทั้ง ๔ นั้น ขุมทรัพย์ชื่อสังขะมีคาวุตหนึ่ง ขุมทรัพย์ชื่อเอละมีครึ่งโยชน์ ขุมทรัพย์ชื่ออุปปละมีสามคาพยุต ขุมทรัพย์ชื่อปุณฑริกะมีโยชน์หนึ่ง ทรัพย์ที่ถือเอาๆ แม้ในขุมทรัพย์เหล่านั้น ก็กลับเต็มอีก. พึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงละเงินทองมากมายแล้ว ออกผนวชด้วยประการฉะนี้.
บทว่า ยังเป็นคนหนุ่ม คือ ยังเป็นเด็ก. บทว่า มีพระเกศาดําสนิท คือ มีพระเกศาดําขลับ ความว่า มีพระเกศาเช่นเดียวกับสียาหยอดตา. บทว่า เจริญ คือ ดี. บทว่า วัยที่หนึ่ง คือ ปฐมวัย ในบรรดาวัยทั้งสาม.
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 26
บทว่า ไม่ใคร่อยู่ คือไม่ปรารถนา. คํานี้เป็นฉัฏฐีวิภัติ ลงในอรรถว่า อนาทร. น้ำตาที่หน้าของชนเหล่านั้นมีอยู่ เหตุนั้นเขาชื่อว่าหน้านองด้วยน้ำตา. ความว่า เมื่อพระมารดาบิดาเหล่านั้น มีพระพักตร์นองด้วยน้ำพระเนตร คือมีพระพักตร์เปียกชุ่มด้วยน้ำพระเนตร. บทว่า ทรงกันแสงอยู่ คือทรงกันแสงคร่ําครวญอยู่.
ในบทว่า ช่องทางมิใช่น้อย นี้ พึงทราบความว่า ช่องทางที่จะได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าหาประมาณมิได้. ในที่นี้ มีเรื่องดังต่อไปนี้.
ได้ยินว่า ในกรุงราชคฤห์มีพราหมณ์คนหนึ่ง ทราบว่า เขาเล่าว่า ใครๆ ย่อมไม่สามารถที่จะถือเอาประมาณ ของพระสมณโคดมได้ ในเวลาที่พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จเข้าไปบิณฑบาต ถือเอาไม้ไผ่ยาว ๖๐ ศอกยืนอยู่ข้างนอกประตูเมือง เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาถึง ถือเอาไม้ไผ่ ได้ยืนอยู่ในที่ใกล้. ไม้ไผ่ยาวถึงแค่พระชานุของพระผู้มีพระภาคเจ้า. ในวันรุ่งขึ้น เขาจึงต่อไม้ไผ่สองลําแล้ว ได้ยืนอยู่ในที่ใกล้. แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงปรากฏเพียงแค่พระสะเอวเท่านั้น เหนือไม้ไผ่สองลํานั้น จึงตรัสว่า พราหมณ์ท่านทําอะไร. เขาทูลว่า ข้าพระองค์จะวัดส่วนพระองค์. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พราหมณ์ แม้ถ้าท่านจักต่อไม้ไผ่ ที่เกิดอยู่เต็มท้องแห่งจักรวาลทั้งสิ้น เข้าด้วยกันแล้ว ท่านก็จักไม่สามารถที่จะวัดเราได้ เพราะว่าบารมี ตลอดสี่อสงไขยและแสนกัป เรามิได้บําเพ็ญโดยประการที่คนอื่นพึงวัดเราได้ พราหมณ์ ตถาคตใครๆ จะชั่งมิได้ใครๆ จะประมาณมิได้ ดังนี้แล้วตรัสคาถาในธรรมบทว่า
เมื่อบุคคลบูชาท่านผู้เยือกเย็นแล้ว ไม่มีภัยแต่ที่ไหนๆ เช่นนั้นอยู่ ใครๆ ไม่อาจที่จะนับบุญได้ว่า เพียงเท่านี้ ดังนี้ ในที่สุดแห่งคาถา สัตว์ ๘๔,๐๐๐ ได้ดื่มน้ำอมฤตแล้ว
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 27
ยังมีเรื่องแม้อื่นอีก ได้ยินว่า ท้าวอสุรินทรราหูสูงได้ ๔,๘๐๐ โยชน์. ระหว่างแขนของเขาวัดได้ ๑,๒๐๐ โยชน์ ระหว่างนมวัดได้ ๖๐๐ โยชน์. พื้นมือและพื้นเท้าหนาได้ ๓๐๐ โยชน์. ข้อนิ้วยาวได้ ๕๐ โยชน์. ระหว่างคิ้วกว้าง ๕๐ โยชน์. หน้ายาว ๒๐๐ โยชน์. ลึกได้ ๓๐๐ โยชน์. มีปริมณฑลได้ ๓๐๐ โยชน์. คอยาวได้ ๓๐๐ โยชน์. หน้าผากยาวได้ ๓๐๐ โยชน์. ศีรษะยาวได้ ๙๐๐ โยชน์. เขาคิดว่า เราสูงมาก จักไม่สามารถที่จะน้อมตัวลง แลดูพระศาสดาได้ ดังนี้ จึงไม่มาเฝ้า. วันหนึ่ง เขาได้ฟังพระคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงมาด้วยคิดว่า เราจักมองดูโดยอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบอัชฌาสัยของเขาแล้ว ทรงดําริว่า เราจักแสดงด้วยอิริยาบถไหน ในบรรดาอิริยาบถทั้งสี่ ทรงดําริว่า ธรรมดาคนยืน แม้จะต่ําก็ปรากฏเหมือนคนสูง แต่เราจักนอนแสดงตนแก่เขา ดังนี้แล้ว จึงตรัสว่า อานนท์ เธอจงตั้งเตียงในบริเวณคันธกุฏี แล้วทรงสําเร็จสีหไสยาสน์บนเตียงนั้น. ท่านอสุรินทรราหูมาแล้ว ชูคอขึ้น มองดูพระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับนอนอยู่ราวกะว่าพระจันทร์เต็มดวง ในท่ามกลางท้องฟ้า และเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า อสุรินทะ นี้อะไร จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์มิได้มาเฝ้าด้วยคิดว่า เราจักไม่สามารถที่จะโน้มตัวลงแลดูได้ ดังนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า อสุรินทะ เรามิได้ก้มหน้าบําเพ็ญบารมีมา เราให้ทานทําให้เลิศทั้งนั้น ดังนี้. วันนั้น อสุรินทรราหูได้ถึงสรณะ. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงน่าดู น่าชม มิใช่น้อย ด้วยประการดังนี้.
บุคคลชื่อว่า เป็นผู้มีศีล เพราะปาริสุทธิศีล ๔ ก็ศีลนั้น เป็นของประเสริฐ คือสูงสุด ได้แก่ เป็นศีลบริสุทธิ์ เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า มีศีลอันประเสริฐ. ศีลนั้นนั่นเอง เป็นกุศล เพราะอรรถว่า ไม่มีโทษ.
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 28
เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า มีศีลเป็นกุศล. คําว่า ด้วยศีลอันเป็นกุศลนี้ เป็นไวพจน์ของคําว่า มีศีลเป็นกุศลนั้น.
บทว่า เป็นอาจารย์ และปาจารย์ ของคนเป็นอันมาก ความว่า ในการแสดงธรรมครั้งหนึ่งๆ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า สัตว์มีประมาณ ๘๔,๐๐๐ และเทวดา และมนุษย์ทั้งหลายหาประมาณมิได้ ย่อมได้ดื่มน้ำอมฤต คือ มรรคและผล เพราะฉะนั้น พระองค์จึงจัดว่าเป็นอาจารย์ของคนเป็นอันมาก และเป็นปาจารย์ของสาวกผู้เป็นเวไนย.
ในบทว่า มีกามราคะสิ้นแล้วนี้ ความว่า กิเลสแม้ทั้งปวง ของพระผู้มีพระภาคเจ้าสิ้นไปแล้วโดยแท้. แต่พราหมณ์ไม่รู้กิเลสเหล่านั้น จึงกล่าวคุณไป ในฐานะแห่งความรู้ของตนนั่นแหละ. บทว่า เลิกประดับตกแต่งแล้ว คือ เว้นจากการประดับตกแต่ง ที่ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า การตกแต่งบาตร การตกแต่งจีวร การตกแต่งเสนาสนะ การเล่นสนุกสนานแห่งร่างกายอันเน่านี้.
บทว่า ไม่ทรงมุ่งร้าย คือ แสดงความเคารพธรรมที่ไม่เป็นบาป คือโลกุตรธรรม ๙ ประการ เที่ยวไป. บทว่า ต่อประชาชนที่เป็นพราหมณ์ คือต่อคนที่เป็นพราหมณ์ต่างๆ กันเป็นต้นว่า พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ และพระมหากัสสปะ และพระองค์เป็นผู้แสดงความนับถือประชาชนนั้น. อธิบายว่า ก็ประชาชนนี้ กระทําพระสมณโคดมไว้เบื้องหน้าเที่ยวไป. อีกประการหนึ่ง บทว่า ไม่ทรงมุ่งร้าย ความว่า ไม่ทรงกระทําบาปไว้เบื้องหน้าเที่ยวไป คือไม่ปรารถนาลามก. อธิบายว่า ไม่ทรงมุ่งร้ายต่อประชาชน ที่เป็นพราหมณ์นั้น คือ ต่อประชาชนที่เป็นพราหมณ์ แม้จะเป็นปฎิปักษ์กับตน คือ เป็นผู้หวังประโยชน์สุขแต่อย่างเดียว.
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 29
บทว่า ต่างรัฐ คือ จากรัฐอื่น. บทว่า ต่างชนบท คือ จากชนบทอื่น. บทว่า ต่างพากันมาเพื่อทูลถามปัญหา ความว่า กษัตริย์และบัณฑิต เป็นต้นก็ดี เทวดา พรหม นาคและคนธรรพ์เป็นต้นก็ดี ต่างตระเตรียมปัญหามาเฝ้าด้วยคิดว่า พวกเราจักถาม ในบรรดาชนเหล่านั้น บางจําพวกกําหนดเห็นโทษของการถาม หรือความที่ตนไม่สามารถในการยอมรับข้อเฉลย จึงไม่ทูลถามเลย แล้วนั่งนิ่งเสีย บางจําพวกทูลถาม สําหรับบางจําพวกพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงให้เกิดความอุตสาหะในการถามแล้ว จึงทรงเฉลยความเคลือบแคลงของชนเหล่านั้นแม้ทั้งสิ้น มาถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วก็เสื่อมคลายไป เหมือนคลื่นในมหาสมุทร มาถึงฝังแล้วก็สลายไป ฉะนั้น ด้วยประการฉะนี้.
บทว่า มีปกติกล่าวเชื้อเชิญ ความว่า พระองค์ย่อมตรัสกะคนผู้มาสู่ สํานักของพระองค์นั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นเทวดา มนุษย์ บรรพชิตและคฤหัสถ์อย่างนี้ว่า เชิญท่านเข้ามาสิ ท่านมาดีแล้ว (เราขอต้อนรับท่าน) ดังนี้. บทว่า เจรจาผูกไมตรี คือ ทรงประกอบพร้อมด้วยพระดํารัสผูกไมตรี ที่ท่านกล่าวไว้ โดยนัยเป็นต้นว่า บรรดาวาจาเหล่านั้น คําพูดผูกไมตรีเป็นไฉน คําพูดผูกไมตรี คือวาจาที่หาโทษมิได้ เป็นวาจาดี ไพเราะเสนาะหู ดังนี้ อธิบายว่า มีพระดํารัสอ่อนหวาน. บทว่า ช่างปราศรัย คือ ทรงฉลาดในการปฏิสันถาร ความว่า พระองค์ทรงกระทําสัมโมทนียกถาก่อนทีเดียว ดังจะทรงระงับความกระวนกระวาย เพราะเดินทางไกลของเหล่าบริษัททั้งสี่ ผู้มาแล้วๆ ได้สิ้น โดยนัยเป็นต้นว่า ภิกษุ เธอสบายดีแลหรือ อาหารการฉัน ยังพอเป็นไปได้แลหรือ. บทว่า ไม่สยิ้วพระพักตร์ ความว่า บางคนเข้าไปยังประชุมที่แล้ว มีหน้าเคร่งขรึม มีหน้าขึ้งเครียดฉันใด พระองค์มิได้เป็นเช่นนั้น. แต่การเห็นที่ประชุมของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 30
เป็นเหมือนดอกปทุมที่บานแล้ว ด้วยการต้องแสงแดดอ่อน เป็นราวกะรัศมีแห่งพระจันทร์เต็มดวง.
บทว่า มีพระพักตร์เบิกบาน ความว่า ท่านแสดงไว้ว่า คนบางจําพวกมีหน้าคว่ํา เมื่อชุมนุมชนมาประชุมกันแล้ว ก็ไม่พูดอะไร เป็นคนที่มีคําพูดอันได้ด้วยยาก ฉันใด แต่พระสมณโคดมไม่เป็นเช่นนั้น เป็นผู้มีพระวาจาได้ด้วยง่าย สําหรับผู้ที่มาสู่สํานักของพระองค์ไม่เกิดความเดือดร้อนใจว่า พวกเรามาในที่นี้เพราะเหตุไร แต่ชนทั้งหลายได้ฟังธรรมแล้ว ย่อมมีใจยินดีโดยแท้. บทว่า มีปกติตรัสก่อน คือ พระองค์เนื้อจะตรัสย่อมตรัสก่อน และพระดํารัสก็ประกอบด้วยกาล. พระองค์ก็ตรัสแต่ถ้อยคําประกอบด้วยประมาณ อาศัยประโยชน์โดยแท้ ไม่ตรัสถ้อยคําอันหาประโยชน์มิได้.
บทว่า ในบ้านนั้นหรือ ความว่า ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ที่ใด เทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่ย่อมถวายอารักขา. เพราะอาศัยเทวดาเหล่านั้น อุปัทวะย่อมไม่มีแก่มนุษย์ทั้งหลาย. ก็ปิศาจทั้งหลาย มีปิศาจคลุกฝุ่น เป็นต้น ย่อมเบียดเบียนมนุษย์. ปิศาจเหล่านั้นย่อมหลีกไปไกล ด้วยอานุภาพของเทวดาเหล่านั้น. อีกประการหนึ่ง แม้เพราะกําลังแห่งพระเมตตาของพระผู้มีพระภาคเจ้า พวกอมนุษย์ก็ไม่เบียดเบียนมนุษย์.
ในบททั้งหลายมีบทว่า เป็นเจ้าหมู่เป็นต้น ความว่า หมู่ที่คนพึงพร่ําสอน หรือที่คนให้เกิดเองของบุคคลนั้น มีอยู่ เหตุนั้นเขาชื่อว่า เป็นเจ้าหมู่. อนึ่ง คณะเช่นนั้นของบุคคลนั้นอยู่ เหตุนั้น เขาชื่อว่า เป็นเจ้าคณะ. อีกประการหนึ่ง คํานี้เป็นไวพจน์ของบทแรก. พระองค์ทรงเป็นอาจารย์ของคณะ ด้วยอํานาจแห่งการให้เขาศึกษา เรื่องอาจาระ เหตุนั้น จึงชื่อว่า ผู้เป็นคณาจารย์. บทว่า แห่งเจ้าลัทธิมากมาย คือ แห่งเจ้าลัทธิจํานวนมาก
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 31
บทว่า โดยประการใด ประการหนึ่ง คือ ด้วยเหตุแม้เพียงสักว่า ไม่นุ่งผ้าเป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่ง บทว่า ย่อมรุ่งเรือง คือ ย่อมเข้าไปถึงโดยรอบ ได้แก่ เจริญยิ่งขึ้น.
บทว่า เขาเหล่านั้นเป็นแขก ความว่า เขาเหล่านั้นเป็นอาคันตุกะ คือ เป็นแขกหน้าใหม่ของพวกเรา. บทว่า เรียนรู้ คือรู้จัก. ด้วยบทว่า มีพระคุณอันจะพึงนับมิได้ โสณทัณฑพราหมณ์แสดงว่า มีพระคุณอันหาที่เปรียบมิได้ แม้ด้วยพระสัพพัญูเห็นปานนั้น จะป่วยกล่าวไปใย ด้วยบุคคลเช่นเราเล่า. สมจริง ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า
หากว่าแม้พระพุทธเจ้าพึงตรัส พระคุณของพระพุทธเจ้าไม่ตรัสอย่างอื่นเลย ในกัปหนึ่งกัป ก็จะพึงหมดสิ้นไปในระหว่าง เป็นเวลานานพระคุณของพระตถาคตหาสิ้นไปไม่ ดังนี้
ก็พวกพราหมณ์เหล่านั้น ได้ฟังคุณกถาของพระศาสดานี้แล้ว ต่างคิดว่า โสณทัณฑพราหมณ์กล่าว คุณของพระสมณโคดม พระโคดมผู้เจริญนั้นมีพระคุณหาน้อยไม่ ก็แลอาจารย์ผู้รู้คุณของพระโคดมนั้น อย่างนี้ ได้รอคอยนานเกินไป เอาเถอะ พวกเราจะคล้อยตามเขาดังนี้ คล้อยตามแล้ว. เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เมื่อโสณทัณฑพราหมณ์กล่าวอย่างนี้แล้ว พวกพราหมณ์เหล่านั้นดังนี้ เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เหมาะทีเดียว คือควรทีเดียว. บทว่า แม้ด้วยเสบียง เสบียงอาหารท่านเรียกว่า ปุโฏสะ ความว่า การที่แม้จะถือเสบียงนั้นไปเฝ้า ก็ควรทีเดียว. บาลีว่า ปฏํเสน ดังนี้ก็มี. บทนั้นมีอธิบายว่า ห่อของบนบ่าของบุคคลนั้นมีอยู่ เหตุนั้น เขาชื่อว่ามีห่อของบนบ่า. ด้วยบ่ามีห่อของนั้น. มีอธิบายว่า ด้วยบ่าที่แบกเสบียงไป ดังนี้ก็มี.
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 32
บทว่า ผู้ผ่านพ้นราวป่าไปแล้ว คือ ผู้ไปสู่ภายในราวป่า อธิบายว่า ผู้เข้าไปยังภายในวิหารแล้ว.
บทว่า ประนมอัญชลี ความว่า พวกพราหมณ์ซึ่งเป็นสองฝักสองฝ่าย คิดอย่างนี้ว่า แม้ถ้าว่า พวกมิจฉาทิฏฐิจักทักท้วงพวกเราว่า เพราะเหตุไร พวกท่านจึงถวายบังคมพระสมณโคดม พวกเราจะกล่าวแก่เขาว่า แม้ด้วยการกระทําเพียงอัญชลี ยังชื่อว่าไหว้ด้วยหรือ ถ้าว่าพวกสัมมาทิฏฐิจักทักท้วงพวกเราว่า เพราะเหตุไร พวกท่านจึงไม่ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า พวกเราจักบอกว่า การเอาศีรษะกระทบพื้นแผ่นดิน นั่นแหละ จึงจะเป็นการไหว้หรือ แม้การกระทําอัญชลี ก็ชื่อว่า การไหว้เหมือนกันมิใช่หรือ.
บทว่า ชื่อและโคตร ความว่า พวกพราหมณ์เมื่อกราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์เป็นบุตรของคนชื่อโน้น ชื่อทัตตะ ชื่อมิตตะ มาในที่นี้ ดังนี้ ชื่อว่าประกาศชื่อ พวกที่กล่าวว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ ชื่อวาเสฏฐะ ชื่อกัจจานะ มาในที่นี้ดังนี้ ชื่อว่า ประกาศโคตร. ได้ยินว่า พวกพราหมณ์เหล่านั้น เป็นกุลบุตรที่ยากจนแก่เฒ่า ได้กระทําอย่างนี้ ในท่ามกลางที่ประชุม ด้วยคิดว่า พวกเราจักปรากฏด้วยอํานาจแห่งชื่อ และโคตร.
ส่วนพราหมณ์เหล่าใดนั่งนิ่งอยู่ พราหมณ์เหล่านั้น เป็นพวกหลอกลวง และเป็นอันธพาล. บรรดาพราหมณ์สองพวกนั้น พวกพราหมณ์ที่หลอกลวงคิดว่า คนเมื่อกระทําแม้การคุยกัน เพียงคําสองคําก็คุ้นเคยกันได้ ต่อมาเมื่อมีความคุ้นเคยกันแล้ว จะไม่ให้ภักษาหาร ๑ - ๒ หาควรไม่ ดังนี้ปลดเปลื้องตนจากข้อนั้น จึงนั่งนิ่งเสีย. พวกพราหมณ์ที่เป็นอันธพาล เพราะเหตุที่ไม่รู้อะไรนั่นเอง จึงนั่งนิ่ง ไม่ว่าในที่ไหนๆ เป็นดุจก่อนดินเหนียวที่เขาขว้างทิ้งแล้ว.
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 33
บทว่า ความตรึกตรองแห่งใจ ด้วยพระทัย ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงใคร่ครวญดูอยู่ว่า พราหมณ์นี้จําเดิมแต่กาลที่ตนมาแล้ว ก้มหน้ามีตัวแข็งทื่อ นั่งคิดอะไรอยู่ กําลังคิดอะไรหนอ ก็ได้ทรงทราบจิตของพราหมณ์นั้น ด้วยพระทัยของพระองค์ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ทรงทราบความตรึกตรองแห่งใจ ด้วยพระทัย ดังนี้. บทว่า ย่อมเดือดร้อน คือ ถึงความลําบากใจ
บทว่า เหลียวดูชุมนุมชน ความว่า โสณฑัณฑพราหมณ์มีกายและใจสงบระงับแล้วราวกะจมลงในน้ำ ด้วยการตรัสถามปัญหาในลัทธิของตน ถูกพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกขึ้นแล้ว วางไว้บนบก คล้ายๆ จะกล่าวว่า ขอท่านผู้เจริญจงใคร่ครวญดูคําพูดของข้าพระองค์ ด้วยการสัญจรไปแห่งทิฏฐิ แม้เพื่อสงเคราะห์ชุมนุมชน ดังนี้แล้ว เหลียวดูชุมนุมชน ได้กราบทูลคํานั้น กะพระผู้มีพระภาคเจ้า. บทว่า ผู้รับการบูชา ความว่า เป็นคนที่ ๑ หรือที่ ๒ ในบรรดาพราหมณ์ที่รับการบูชา เพื่อประโยชน์แก่การบูชายัญ. ท่านโบราณาจารย์กล่าวว่า ผู้รับการบูชาอย่างใหญ่ ที่เขาให้อยู่เพื่อบูชา.
พราหมณ์เฉลยปัญหาถูกต้องแท้ ด้วยอํานาจลัทธิของตน ด้วยประการฉะนี้. แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อจะทรงแสดงถึง พราหมณ์ผู้สูงสุดเป็นพิเศษ จึงได้ตรัสพระดํารัสเป็นต้นว่า อิเมสํ ปน ดังนี้.
บทว่า พวกพราหมณ์ได้กล่าวคํานี้ ความว่า พวกพราหมณ์คิดว่า ถ้าพราหมณ์ผู้สมบูรณ์ด้วยชาติ วรรณะ และมนต์ไม่มี เมื่อเป็นเช่นนั้น ใคร่เล่าจักเป็นพราหมณ์ในโลก โสณทัณฑพราหมณ์นี้ ทําให้พวกเราฉิบหาย เอาเถอะ เราจะกล่าวต่อต้านวาทะของเขา ดังนี้ จึงได้กล่าวคํานี้ บทว่า กล่าวลบหลู่ คือ กล่าวต่อต้าน. บทว่า กล่าวคล้อยตามเข้าไป. พวกพราหมณ์กล่าวคํานี้ ด้วยมีประสงค์ว่า ถ้าท่านใคร่จะถึงพระสมณโคดม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 34
เป็นที่พึ่ง ด้วยอํานาจแห่งความเลื่อมใส ท่านจงไปเสีย อย่ามาทําลายลัทธิของพราหมณ์เลย ดังนี้.
บทว่า ได้ตรัสพระดํารัสนี้ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดําริว่า เมื่อพวกพราหมณ์เหล่านี้ ต่างวิวาทกันเป็นเสียงเดียวอยู่อย่างนี้ กถานี้จักไม่ถึงที่สุดได้ เอาเถอะ เราจะทําให้พวกเขาเงียบเสียง แล้วพูดกับโสณทัณฑพราหมณ์เท่านั้น ดังนี้แล้ว จึงได้ตรัสพระดํารัสนี้ว่า สเจ โข ตุมฺหากํ เป็นต้น. บทว่า เป็นไปกับด้วยธรรม คือเป็นไปด้วยเหตุ. บทว่า มีวรรณะเสมอเหมือนกัน คือเสมอกันโดยความเป็นผู้เหมือนกัน ยกเว้นความเป็นผู้เสมอกันโดยเอกเทศ อธิบายว่า เสมอกันโดยอาการทั้งปวง. บทว่า เรารู้จักมารดาและบิดาของเขา คือ เขาจักไม่รู้จัก มารดาและบิดาของน้องสาวได้อย่างไร เขากล่าวหมายถึง การแสดงลําดับสกุลต่างหาก. บทว่า พึงกล่าวเท็จบ้าง คือ พึงกล่าวคําเท็จที่ตัดรอนประโยชน์. บทว่า วรรณะจักทําอะไรได้ คือ เมื่อคุณความดีภายใน ไม่มีอยู่ วรรณะจักทําอะไรได้ อธิบายว่า เขาจักสามารถรักษาความเป็นพราหมณ์ ของเขาไว้ได้อย่างไร. แม้ถ้าจะพึงมีอีกเมื่อพราหมณ์ผู้ตั้งอยู่ในปกติศีล องค์อื่นๆ ก็ยังความเป็นพราหมณ์ให้สําเร็จได้ เพราะศีลอย่างเดียวก็ให้สําเร็จ เป็นพราหมณ์ได้อย่างนี้ ก็ครั้นปกติศีลนั้นของเขาไม่มี ความเป็นพราหมณ์ก็ไม่มี เพราะฉะนั้น องค์ทั้งหลายมีวรรณะ เป็นต้น เป็นสิ่งงมงาย.
ก็พราหมณ์ทั้งหลาย ได้ยินคํานี้แล้ว ได้เป็นผู้นิ่งเสีย ด้วยคิดว่า อาจารย์กล่าวถูกต้องและพวกเรากล่าวโทษโดยหาเหตุมิได้. ลําดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อพราหมณ์กล่าวเฉลยปัญหาแล้ว เพื่อจะทรงทดลองเขาว่า ก็ในข้อนี้เขาจักสามารถเพื่อจะยืนยัน หรือไม่สามารถ จึงได้ตรัสพระดํารัสว่า อิเมสํ ปน พฺราหฺมณ เป็นต้น.
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 35
บทว่า อันศีลชําระให้บริสุทธิ์ คือ บริสุทธิ์ได้เพราะศีล. บทว่า ศีลมีในที่ใด ปัญญาก็มีในที่นั้น คือ ศีลมีในบุคคลใด ปัญญาก็มีในบุคคลนั้น. ในบุคคลผู้ทุศีล ปัญญาจะมีแต่ที่ไหน หรือว่าในบุคคลที่เว้นจากปัญญา ที่โง่เขลา ที่ทั้งหนวก และใบ้ ศีลจะมีแต่ที่ไหน บทว่า ศีลและปัญญา คือ ศีลด้วย ปัญญาด้วย ชื่อว่า ศีลและปัญญา บทว่า ปฺญาณํ คือ ปัญญานั่นเอง.
พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงยอมรับคําพูดของพราหมณ์ จึงได้ตรัสว่า พราหมณ์ ข้อนั้นเป็นเช่นนั้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปัญญาที่ศีลชําระให้บริสุทธิ์แล้ว คือที่ปาริสุทธิศีล ๔ ชําระแล้ว. ถามว่า บุคคลย่อมชําระปัญญาด้วยศีลอย่างไร. แก้ว่า ศีลของปุถุชนใด ไม่ขาดตกบกพร่องตลอด ๖๐ ปี และ ๘๐ ปี แม้ในเวลาถึงแก่กรรม เขาฆ่ากิเลสทั้งหมดได้ ชําระปัญญาด้วยศีล ยังถือเอาพระอรหัตได้ ดุจพระมหาสัฏฐิวัสสเถระ อยู่ในบริเวณต้นสาละในซอกเขา ฉะนั้น.
ได้ยินว่า เมื่อพระเถระนอนอยู่บนเตียงที่จะมรณภาพ ร้องครวญครางอยู่ เพราะเวทนากล้า ติสสวสภมหาราช เสด็จไปด้วยทรงดําริว่า เราจักเยี่ยมพระเถระ ประทับยืนที่ประตูบริเวณทรงสดับเสียงนั้น จึงตรัสถามว่า นี้เสียงของใคร. เสียงร้องครวญครางของพระเถระ ภิกษุหนุ่มผู้อุปฐากทูล. พระองค์ทรงดําริว่า พระเถระมีพรรษาตั้ง ๖๐ โดยการบรรพชา มิได้กระทําแม้เพียงการกําหนดรู้เวทนา บัดนี้เราจักไม่ไหว้ท่านละ ดังนี้แล้วเสด็จกลับ ไปนมัสการต้นมหาโพธิ. ลําดับนั้น ภิกษุหนุ่มผู้อุปฐาก จึงพูดกะพระเถระว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ทําไมท่านจึงทําให้พวกผมได้รับความอับอาย พระราชาทั้งที่ทรงมีศรัทธา ยังทรงปฏิสารเสด็จไปเสีย ด้วยทรง
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 36
ดําริว่า เราจักไม่ไหว้. พระเถระกล่าวว่า เพราะเหตุไรผู้มีอายุ. ภิกษุหนุ่มผู้อุปฐาก กล่าวตอบว่า เพราะทรงสดับเสียงร้องครวญครางของท่าน
พระเถระกล่าวว่า ถ้ากระนั้น พวกเธอจงให้โอกาสแก่เรา ดังนี้แล้ว ข่มเวทนาเสียได้บรรลุพระอรหัต จึงให้สัญญาแก่ภิกษุหนุ่มว่า ผู้มีอายุท่านจงไป บัดนี้ท่านจงให้พระราชามาไหว้เราได้. ภิกษุหนุ่มไปแล้ว ทูลว่านัยว่า บัดนี้ขอพระองค์จงทรงไหว้พระเถระเถิด พระราชา เมื่อจะทรงไหว้พระเถระ ด้วยการพังพาบดุจจรเข้ จึงตรัสว่า ข้าพเจ้ามิได้ไหว้พระอรหัตของพระผู้เป็นเจ้า แต่ไหว้ท่านผู้ที่ดํารงอยู่ในภูมิแห่งปุถุชน แต่รักษาศีลต่างหาก ดังนี้. บุคคลชื่อว่า ชําระปัญญาด้วยศีล ด้วยประการฉะนี้.
ก็ในภายในของผู้ใด การสํารวมในศีลไม่มี แต่เพราะเหตุที่ตน เป็นผู้รู้ในฉับพลันในที่สุดแห่งคาถา ประกอบด้วยสี่บท เขาผู้นั้นชําระศีลด้วยปัญญาแล้ว บรรลุอรหัตพร้อมด้วย ปฏิสัมภิทา. ผู้นี้ชื่อว่า ชําระศีลด้วยปัญญาเหมือนสันตติมหาอํามาตย์.
เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า พราหมณ์ก็ศีลนั้นเป็นไฉน. ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดําริว่า พราหมณ์ทั้งหลาย ย่อมบัญญัติศีล ๕ ว่า เป็นศีล ย่อมบัญญัติความรอบรู้ในไตรเทพว่า เป็นปัญญาในลัทธิของพราหมณ์ ไม่รู้สิ่งที่วิเศษเหนือขึ้นไป ถ้ากระไรเราพึงแสดงมรรคศีล ผลศีล มรรคปัญญา และผลปัญญา ที่เป็นของวิเศษยิ่ง แก่พราหมณ์ พึงให้เทศนาจบลงด้วยยอด คืออรหัต ดังนี้. ลําดับนั้น พระองค์เมื่อจะตรัสถามพราหมณ์ด้วยกเถตุกามยตาปุจฉา (ถามโดยมีพระประสงค์จะทรงตอบเอง) จึงตรัสว่า พราหมณ์ ศีลนั้นเป็นไฉน ปัญญานั้นเป็นไฉนดังนี้.
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 37
ลําดับนั้น พราหมณ์คิดว่า ปัญญาเราเฉลยแล้ว ด้วยอํานาจแห่งลัทธิของตน แต่พระสมณโคดมกลับย้อนถามเราอีก บัดนี้เราจะพึงสามารถที่จะเฉลยปัญหา ทําให้พระทัยของพระองค์ยินดี หรือไม่สามารถ ถ้าเราจักไม่สามารถ ความละอายของเราแม้ที่เกิดในครั้งแรก จักทําลายไป แต่โทษในการกล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่สามารถดังนี้ ไม่มีแก่เราผู้ไม่สามารถอยู่ ดังนี้ จึงย้อนกลับมา ทําให้เป็นภาระแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าองค์เดียวอีก จึงกราบทูลคําเป็นต้นว่า ก็ข้าพระองค์ทั้งหลายมีความรู้เพียงแค่นี้ ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มีความรู้เพียงแค่นี้ คือ ศีลและปัญญาเพียงแค่นี้ ได้แก่ ศีลและปัญญาเพียงนี้เท่านั้น เป็นอย่างยิ่ง ของข้าพระองค์ทั้งหลายความว่า พวกข้าพระองค์เหล่านั้น มีศีลและปัญญา เพียงแค่นี้ เป็นอย่างยิ่ง คือไม่ทราบเนื้อความแห่งคําที่ตรัสนั้น ยิ่งขึ้นไปกว่านั้น.
ลําดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อจะทรงแสดงศีลและปัญญา จําเดิมแต่การอุบัติของพระตถาคต ผู้ทรงเป็นรากเหง้าของศีลและปัญญาแก่เขา จึงตรัสพระดํารัสว่า พราหมณ์ ตถาคตในโลกนี้ ดังนี้ เป็นต้น. ใจความแห่งบทนั้น พึงทราบตามนัยที่ท่านกล่าวไว้แล้ว ในสามัญญผลสูตร นั้นแล. แต่ข้อแตกต่างมีดังต่อไปนี้. ในที่นี้ศีลแม้ทั้งสามอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้ชัด ว่าเป็นศีลโดยแท้อย่างนี้ว่า แม้ข้อนี้ก็จัดอยู่ในศีลของเธอ. ฌาน ๔ มีปฐมฌาน เป็นต้น โดยความจัดเป็นปัญญาสัมปทา. พระผู้มีพระภาคเจ้า มิได้ทรงชี้ชัดด้วยอํานาจแห่งปัญญา ทรงแสดงโดยเพียง เป็นปทัสถานแห่งปัญญามีวิปัสสนา เป็นต้น ทรงชี้ชัดถึงปัญญา จําเดิมแต่วิปัสสนาปัญญา ด้วยประการฉะนี้. บทว่า เพื่อฉันในวันพรุ่งนี้ พึงทราบใจความตามนัยที่กล่าวแล้ว ในคํานี้ว่า เพื่อฉันในวันนี้นั่นแล.
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 38
บทว่า ชุมนุมชนนั้น พึงดูหมิ่นข้าพระองค์ เพราะเหตุนั้น ความว่า ชุมนุมชนนั้น พึงดูหมิ่นข้าพระองค์ เพราะเหตุที่เห็นพระองค์แต่ไกล แล้วลุกจากอาสนะนั้นว่า โสณทัณฑพราหมณ์นี้ เป็นคนแก่ตั้งอยู่ในปัจฉิมวัยแล้ว แต่พระโคดมยังหนุ่ม เป็นเด็ก แม้เป็นหลานของเขาก็ยังไม่ได้ เขายังลุกจากอาสนะของตน ให้แก่พระโคดมผู้ยังไม่ถึงแม้ความเป็นหลานของตน. บทว่า การประคองอัญชลีนั้นแทนการลุกจากอาสนะของข้าพระองค์ ความว่า โสณทัณฑพราหมณ์กราบทูลว่า ขึ้นชื่อว่า การไม่ลุก เพราะไม่เคารพของข้าพระองค์ไม่มี แต่ข้าพระองค์จักไม่ลุก เพราะกลัวโภคสมบัติจะฉิบหาย ข้อนั้นควรมี พระองค์และข้าพระองค์จะต้องทราบ เพราะฉะนั้น ขอพระโคดมผู้เจริญได้โปรดทรงเข้าใจการประคองอัญชลีนั้น เป็นการแทนการลุกขึ้นรับ. ได้ยินว่า คนหลอกลวงเช่นกับโสณทัณฑพราหมณ์นี้ หาได้ยาก. ก็ชื่อว่า ความไม่เคารพในพระผู้มีพระภาคเจ้า ของพราหมณ์นี้ไม่มี เพราะฉะนั้น เขากล่าวอย่างนั้น ด้วยอํานาจแห่งการหลอกลวง เพราะกลัวว่า โภคสมบัติจะฉิบหาย. แม้ในบทอื่น ก็มีนัยเช่นเดียวกันนี้. ในบทว่า ด้วยกถาอันประกอบด้วยธรรมเป็นต้น มีความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงให้เห็นจริง ซึ่งประโยชน์ที่เป็นปัจจุบันและเบื้องหน้า ทรงให้เขายึดมั่น คือ ให้ถือเอาธรรมที่เป็นกุศล ทรงให้เขาอาจหาญในธรรมที่เป็นกุศลนั้น คือกระทําเขาให้มีความอุตสาหะ ทําให้เขาร่าเริง ด้วยความเป็นผู้มีอุตสาหะนั้น และคุณที่มีอยู่อย่างอื่น ทรงให้ฝน คือ พระธรรมรัตนะตกลงแล้ว เสด็จลุกจากอาสนะ หลีกไป.
ก็พราหมณ์เพราะเหตุที่ตนเป็นคนหลอกลวง เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้ฝน คือพระธรรมตกลงอยู่ แม้ด้วยประการฉะนี้ ก็ไม่สามารถที่จะยังคุณวิเศษให้เกิดขึ้นได้. กถาทั้งหมด ได้เป็นกถาเบื้องต้น และเบื้องปลาย
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 39
เพื่อประโยชน์แก่นิพพาน ในกาลต่อไป และเพื่อมีส่วนแห่งวาสนา ของพราหมณ์อย่างเดียว.
อรรถกถาโสณทัณฑสูตร ในอรรถกถาทีฆนิกาย ชื่อ สุมังคลวิลาสินี จบลงแล้วด้วยประการ ฉะนี้.
จบ อรรถกถาโสณทัณฑสูตร ที่ ๔