รูปธรรมมีถึง ๒๘ แต่เรารู้ได้จริงๆ เพียง ๗ รูปเท่านั้น ส่วนนามธรรมทั้งจิต ๘๙
และเจตสิก ๕๒ นั้น เรารู้จริงๆ ได้ก็ไม่เท่าไร... ทำให้ผมคิดว่าพระธรรมที่ทรงแสดง
ไว้โดยละเอียดนั้น ส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่เกินความสามารถของพวกเราในยุคนี้ที่จะรู้ได้
จริงๆ ถ้าเป็นดังนี้แล้ว การศึกษาชื่อและเรื่องราวที่เรารู้ไม่ได้จะมีประโยชน์หรือไม่ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ก่อนจะไปประเด็นเรื่อง การศึกษาชื่อและเรื่องราวที่เรารู้ไม่ได้จะมีประโยชน์หรือไม่
ก็ต้องกลับมาว่าจุดประสงค์ของการศึกษาธรรมที่ถูกต้องคืออะไรก่อนครับ จุดประสงค์
ของการศึกษาธรรมที่ถูกต้องคือเพื่อละ ละอะไร ละกิเลส แต่ต้องเป็นไปตามลำดับคือ
ละความเห็นผิดว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ บุคคล เริ่มจากการฟังธรรมให้เข้าใจ ว่าธรรมคือ
อะไร ซึ่งจะละกิเลสก็ต้องเป็นปัญญา โดยเริ่มจากการฟังให้เข้าใจ คราวนี้เราก็ทราบจุด
ประสงค์ที่แท้จริงแล้วว่าการศึกษาธรรมที่ถูกต้องนั้นคืออะไร เพราะฉะนั้น ในการศึกษา
พระไตรปิฎกที่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าเพื่ออะไร ก็เพื่อละ ละกิเลส ละความเห็นผิด
ว่าเป็นเรา โดยนัยตรงกันข้าม ศึกษาเพื่อได้ อยากรู้ โดยถูกโลภะมาแนบเนียน ขณะนั้น
ถูกต้องหรือไม่ เป็นไปเพื่อให้สติเกิดระลึกลักษณะของสภาพธรรม อันเป็นไปเพื่อละ
ความเห็นผิดหรือไม่ครับ
กลับมาที่ประเด็นที่ว่า
การศึกษาชื่อและเรื่องราวที่เรารู้ไม่ได้จะมีประโยชน์หรือไม่ครับ
ผู้ที่มีความมั่นคงในเรื่องของการเข้าใจสภาพธรรมจริงๆ ไม่ว่าศึกษาในส่วนใด ก็
ไม่ลืมเสมอว่าก็เป็นสภาพธรรมในขณะนี้ ตรงนี้สำคัญมาก แต่ไม่ใช่การไปหา ไปขวน-
ขวายหาชื่อ ขณะนั้นกำลังมั่นคงหรือเปล่าว่าเพื่อเข้าใจสภาพธรรมในขณะนี้ หรืออยากรู้
เท่านั้น ศึกษาส่วนใดก็เพื่อละ มั่นคงว่าเป็นธรรม สิ่งใดรู้ไม่ได้และเกินกำลังปัญญา ก็
ศึกษาเท่าที่รู้ได้ตามกำลังปัญญา นั่นคือสภาพธรรมที่มีในขณะนี้นั่นเองที่ควรศึกษา
และต้องไม่ลืมว่าที่เรากำลังศึกษา จิตอย่างละเอียด รูปอย่างละเอียดในขณะนั้น เพื่อที่จะเข้าใจธรรมจริงในขณะนี้จริงๆ หรือเปล่า ก็ต้องเป็นผู้ตรง จะเป็นประโยชน์ไม่เป็นประโยน์ก็ตรงนี้ครับ
นางวิสาขาเรียนอภิธรรมไหมตอนได้เป็นพระโสดาบันตอน 7 ขวบ แต่ท่านรู้ตัว
อภิธรรมในชีวิตประจำวัน ดังนั้นการเรียนอภิธรรม ไม่ใช่การท่องจำ พยายามรู้ให้ได้
มากๆ นั่นย่อมไม่เป็นประโยชน์ตามที่ประเด็นกระทู้กล่าวไว้ แต่การศึกษาอภิธรรมเพื่อ
เข้าใจสภาพธรรมในขณะนี้ ย่อมเป็นประโยชน์ เพราะประโยชน์คือการรู้ลักษณะของ
สภาพธรรมในขณะนี้เพื่อละความเห็นผิดว่าเป็นเรานั่นเอง
จึงควรเข้าใจคำว่าศึกษาที่ถูกต้อง (จุดประสงค์ที่ถูกต้องคือเพื่อรู้ลักษณะธรรมใน
ขณะนี้) คำว่าประโยชน์ที่ถูกต้อง (การรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ไม่ใช่การจำ
ชื่อเรื่องราว) ก็จะเข้าใจในประเด็นที่ถามนั่นเอง และตามทีได้กล่าวมาครับ
ข้อความจากกระทู้ คำเตือนจากท่านอาจารย์
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ได้ถามท่านอาจารย์ว่า ในชีวิตประจำวันมีรูปที่รู้ได้
เพียง ๗ รูปเท่านั้น แต่ผู้มีปัญญามากสามารถรู้ปสาทรูปได้ จึงกราบเรียนถามว่า
ต้องปัญญาขั้นไหนจึงจะรู้ปสาทรูปได้ คำตอบที่ได้ เป็นคำเตือนที่มีค่ายิ่ง หาก
ท่านอาจารย์ตอบว่าปัญญาขั้นนี้...ปัญญาขั้นนั้น... พอเราได้คำตอบ เราก็พอใจ
อีกไม่นานเราก็ลืม ลืมคำตอบที่เราอยากได้ แต่ท่านอาจารย์ให้ความเข้าใจ
ซึ่งไม่มีวันลืม พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ รู้ความจริงทุกๆ อย่าง
พระอริยบุคคล... ผู้มีปัญญาที่ได้สะสมมาเมื่อมีปัจจัยให้รู้ปสาทรูป ผู้นั้นก็รู้
เอง แล้วเราล่ะสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฎอยู่ขณะนี้ไม่ว่า ทางตา ทางหู ...
และทางใจ ยังไม่รู้เลย แล้วจะไปรู้ปสาทรูปได้อย่างไร จึงควรอบรมเจริญ
ปัญญารู้ลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฎเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เมื่อปัญญา
ถึงวาระที่สมบูรณ์ วันไหนก็วันนั้น... เพราะฉะนั้น "เลิกหวัง " แต่ให้ค่อยๆ
เข้าใจ ยิ่งฟังยิ่งเข้าใจ ฟังแล้วให้เข้าใจสิ่งที่กำลังฟังซึ่งเป็นหนทางเดียว...
ฟังเรื่องสภาพธรรมที่กำลังมีอยู่ จนกว่าจะรู้ว่า เป็นเพียงธรรมไม่ใช่เรา ไม่ว่า
ทางตา ทางหู....และทางใจ ขออนุโมทนาค่ะ
เชิญคลิกฟังที่นี่
พื้นฐานอภิธรรมอยู่ที่ไหน
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขออนุโมทนาค่ะ
เป็นหัวข้อที่น่าสนใจ ขออนุโมทนา
ขออนุญาตแสดงความเห็นส่วนตัว...ซึ่ง เข้าใจ ว่า
การศึกษาเรื่องใดก็ตาม ควรทราบจุดประสงค์ (ของตนเอง) ว่า ศึกษาเพื่อ "ประโยชน์" อะไร.!เมื่อมั่นใจแล้ว ว่า เป็นหนทางที่ตรงกับจุดประสงค์ก็ควร "ศึกษาให้ถึงที่สุด"
ในระหว่าง การศึกษาเรื่องนั้นๆ ....ควรศึกษาอย่างละเอียด ไม่เผิน ไม่คิดเข้าข้างตัวเอง ว่า พอแล้ว...รู้แล้วเพราะความคิดเช่นนั้น...เป็นเครื่องขัดขวางให้หยุดที่จะก้าวหน้าต่อไปเพราะถ้าศึกษาเผินๆ .....ไม่ละเอียด จะ "เข้าใจอย่างลึกซึ้ง" ได้อย่างไร.?
เพียงแต่ ต้องรู้กำลังของตนเอง ว่าเข้าใจได้...แค่ไหน..อย่างไร.?มีเหตุปัจจัยอะไร ที่ทำให้ ลืมจุดประสงค์ที่แท้จริง ไปหรือเปล่า...?ไม่ลืม ว่า การศึกษาอย่างละเอียด รอบคอบนั้นๆ เกื้อกูลต่อ "ความเข้าใจ"อันเป็นเหตุ ให้ เกิดผล...คือ บรรลุจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ หรือเปล่า.!
ที่สำคัญ........คำว่า "ประโยชน์" นั้น.......เป็นเรื่องเฉพาะตน.!เพราะเราอยู่ในโลกคนละใบ...............โลกแต่ละใบ ย่อมสั่งสมมาไม่เหมือนกันแม้เกื้อกูลกันได้.........ก็ต้องเป็นไป ตามเหตุ ตามปัจจัย....ค่ะ.
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
จากคำกล่าวที่ว่า
ที่สำคัญ........คำว่า "ประโยชน์" นั้น.......เป็นเรื่องเฉพาะตน.! เพราะเราอยู่ในโลกคนละใบ............... โลกแต่ละใบ ย่อมสั่งสมมาไม่เหมือนกัน แม้เกื้อกูลกันได้.........ก็ต้องเป็นไป ตามเหตุ ตามปัจจัย....ค่ะ.
การรู้ความจริงของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้เป็นเรื่องเฉพาะตน เพราะต้องเป็นปัญญา
ของบุคคลนั้นเอง ส่วนคำว่าประโยชน์ในพระพุทธศาสนา ไม่เป็นเรื่องที่จะเปลี่ยนไป
ตามแต่ละคน เพราะเป็นสัจจะ หากเป็นเรื่องเฉพาะตนแล้ว แต่ละคนก็สำคัญในสิ่งที่ผิด
ว่าเป็นประโยชน์ หรือสำคัญว่าพอใจในสิ่งใด มีอัธยาศัยชอบในสิ่งใด สิ่งนั้นก็เป็น
ประโยชน์แล้ว ประโยชน์ไม่ได้ขึ้นอยู่กัยบอัธยาศัย แต่ประโยชน์ที่แท้จริงในการศึกษา
ธรรมคือต้องเป็นกุศลและที่สำคัญคือเป็นไปในการรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีในขณะ
นี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา นี่คือประโยชน์ที่เป็นสัจจะ เป็นประโยชน์ที่แท้จริง เป็น
ประโยชน์ที่ถูกต้องในการศึกษาพระธรรม เพราะเป็นไปเพื่อละ ละความเห็นผิดว่าเป็น
เรา เป็นสัตว์ บุคคลตัวตน จนถึงการดับกิเลสในที่สุด
ที่สำคัญทุกคนก็กำลังมีโลกที่ไม่ต่างกันเลย คือโลกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจที่สำคัญเป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่งด้วยอันเป็นไปเพื่อละความเห็นผิดว่าเป็นเรา เป็นสัตว์บุคคลกำลังมีในขณะนี้เองครับ เพราะทุกท่านจะไม่พ้นไปจากสภาพธรรม อันเป็นสิ่งที่ควรรู้
นั่นคือ พระอภิธรรมในชีวิตประจำวันครับ
เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่ครับจะทำให้เข้าใจว่า ประโยชน์ที่แท้จริงในการศึกษาธรรม
คืออะไร โดยจะไม่แปรเปลี่ยนไปตามแต่ละบุคคลเลย ประโยชน์ที่แท้จริงในการศึกษา
ธรรมเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น เชิญคลิกอ่านครับ
ประโยชน์อย่างแท้จริงของการศึกษาพระธรรม รู้ว่าเป็นอนัตตา..แต่ก็ยังยินดีเกื้อกูลอยู่
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขออนุโมทนาครับ
การศึกษาพระอภิธรรมมีประโยชน์คือทำให้รู้ความจริงของชีวิตว่า ธรรมทั้งหลายเป็น
อนัตตา มีเหตุปัจจัยจึงเกิด ต่อเมื่อมีปัญญาจึงจะรู้ว่าไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตนค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอขอบคุณทุกๆ ความคิดเห็น
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ