มีคำถามมากมายที่ถามว่า การได้รับมรดกเป็นกุศลวิบากใช่ไหม การที่บ้านถูกไฟไหม้เป็นอกุศลวิบากใช่ไหม ทั้งหมดก็เป็นแต่เรื่องที่คิดทั้งหมด ไม่มีทางที่จะรู้จักวิบากจิตตัวจริงได้เลย เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัส เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหว เป็นวิบากจิต แต่คิด ไม่ใช่วิบากจิตแล้ว การเข้าใจวิบากจริงๆ นั้น ไม่ใช่ไปคิดว่า ขณะไหนเป็นวิบาก แต่ขณะเห็น ได้ยิน... นี่เองเป็นวิบากจิตเป็นผลของกรรม ขณะที่กระทำกรรม ไม่ว่าจะเป็นกุศลเจตนา หรืออกุศลเจตนา ที่ได้กระทำกุศลกรรมหรืออกุศลกรรมแล้ว ย่อมเป็นเหตุให้ได้รับผลเสมอ
ผลของกรรมนั้นนับตั้งแต่แรกเกิด คือ ปฏิสนธิจิต แล้วแต่จะเกิดเป็นมนุษย์ สัตว์ติรัจฉาน เทวดา ก็แล้วแต่เหตุที่เป็นกุศลหรืออกุศลกรรมที่ได้กระทำไว้ ปฏิสนธิจิตเป็นวิบากจิต ไม่เพียงแต่เกิดมาแล้วเป็นภวังค์ ยังต้องเห็น ได้ยิน...ซึ่งเป็นผลของกรรมเป็นวิบากจิต เมื่อไม่รู้จักเห็น ได้ยิน... ขณะนี้แล้ว จะละกิเลสใดๆ ไม่ได้เลย จึงต้องอาศัยการฟังให้เข้าใจถูกเห็นถูกใน เห็น ได้ยิน... สะสมความเข้าใจไปทีละน้อย จนกว่าจะรู้ตามความเป็นจริงว่าแต่ละขณะเป็นเพียงธรรม ทั้งหมดทั้งสิ้นที่ฟัง ก็เพื่อน้อมมาเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ จิตไม่ไปที่อื่น น้อมมาขณะนี้ การฟังก็เพื่อสะสมเป็น อุปนิสยโคจร น้อมไปสู่สิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ไปสู่อารมณ์อื่น แต่น้อมไปที่จะรู้เห็น รู้ได้ยิน ตามความเป็นจริง
ขณะที่รู้เห็นตามความเป็นจริง ขณะนั้นเป็น บุญ เป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญาซึ่งต่างกับขณะที่ คิดถึงเห็น ขณะนั้นไม่ใช่กุศล เพราะฉะนั้นขณะที่ฟังธรรมแล้วเข้าใจก็เป็น บุญ อย่างยิ่ง
เห็น ได้ยิน เป็นวิบากจิต ไม่ใช่ไปรู้วิบากจิตขณะอื่น แต่ขณะนี้เอง และสิ่งที่มีขณะนี้ไม่ใช่เรา สิ่งที่มีขณะนี้ไม่ใช่ของใครจริงๆ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ อย่างยิ่งค่ะ...
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ