[เล่มที่ 50] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 373
เถรคาถา เอกนิบาต
วรรคที่ ๘
๕. สุสารทเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระสุสารทเถระ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 50]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 373
๕. สุสารทเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระสุสารทเถระ
[๒๑๒] ได้ยินว่า พระสุสารทเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
การเห็นสัตบุรุษทั้งหลาย ผู้มีตนอันอบรมแล้ว เป็นการดี เป็นเหตุตัดความสงสัยเสียได้ ทำความรู้ให้เจริญงอกงาม สัตบุรุษทั้งหลายย่อมทำชนพาลให้เป็นบัณฑิตได้ เพราะฉะนั้น การสมาคมกับสัตบุรุษจึงเป็นการดี
อรรถกถาสุสารทเถรคาถา
คาถาของท่านพระสุสารทเถระ เริ่มต้นว่า สาธุ สุวิหิตาน ทสฺสนํ. เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร?
ได้ยินว่า ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ ท่านเกิดในตระกูลพราหมณ์ ศึกษาสำเร็จในหลักวิชาทั้งหลาย เห็นโทษในกาม จึงละฆราวาสวิสัย ออกบวชเป็นดาบส ให้เขาสร้างอาศรม อยู่ที่ชายป่าแห่งหนึ่ง ในหิมวันตประเทศ.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ เมื่อจะทรงอนุเคราะห์เขา จึงเสด็จเข้าไปในเวลาภิกษาจาร. เขาเห็นพระผู้มีพระเจ้าแต่ไกลทีเดียว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 374
มีใจเลื่อมใส ลุกขึ้นต้อนรับ รับบาตร แล้วใส่ผลไม้ ที่มีรสหวาน แล้วน้อมถวาย. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับบาตรนั้นแล้ว ทรงทำอนุโมทนา แล้วเสด็จหลีกไป. ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เกิดในตระกูลพราหมณ์ผู้เป็นญาติของพระธรรมเสนาบดี ในพุทธุปบาทกาลนี้ มีนามตามที่เขาขนานให้ว่า สุสารทะ เพราะเป็นคนมีปัญญาน้อย ในเวลาต่อมาฟังธรรมในสำนักของพระธรรมเสนาบดี ได้มีศรัทธา บวชแล้ว เจริญวิปัสสนา บรรลุพระอรหัตแล้ว. สมดังคาถา ประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
เราเป็นพราหมณ์ผู้เล่าเรียน ทรงจำมนต์ รู้จบไตรเพท อยู่ในอาศรม ในที่ไม่ไกลภูเขาหิมวันต์ เครื่องบูชาไฟ และเมล็ดบัวขาวของเรามีอยู่ เราใส่ไว้ในห่อ แล้วห้อยไว้บนยอดไม้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ ทรงรู้แจ้งโลก สมควรรับเครื่องบูชา พระองค์ทรงพระประสงค์จะถอนเราขึ้น จึงเสด็จมาภิกขาเรา เรามีจิตเลื่อมใส มีใจโสมนัส ได้ถวายเมล็ดบัวแด่พระพุทธเจ้า พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระฉวีวรรณดังทองคำ สมควรรับเครื่อง บูชา ทรงยังปีติให้เกิดแก่เรา ทรงนำสุขมาให้ในปัจจุบัน ประทับยืนอยู่ในอากาศ ได้ตรัสพระคาถานี้ว่า ด้วยการถวายเมล็ดบัวนี้ และด้วยการตั้งเจตนาไว้ชอบ ท่านจักไม่เข้าถึงทุคติเลยตลอดแสนกัป ด้วยกุศลมูลนั้นนั่นแล เราได้เสวยสมบัติแล้ว ละความชนะและความแพ้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 375
บรรลุถึงฐานะอันไม่หวั่นไหว ในกัปที่ ๗๐๐ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชา มีนามว่า สุมังคละ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก. เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.
ก็พระเถระ ครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว เมื่อจะพยากรณ์พระอรหัตตผล โดยการชี้ถึงอานิสงส์ และกิตติคุณในการพบท่านผู้เป็นสัตบุรุษ ได้กล่าว คาถาว่า
การเห็นสัตบุรุษทั้งหลายผู้เพรียบพร้อมด้วยศิลาทิคุณ ย่อมยังประโยชน์ให้สำเร็จ เป็นเหตุตัดความสงสัยเสียได้ ทำความรู้ให้เจริญงอกงาม สัตบุรุษทั้งหลาย ย่อมกระทำพาลชน ให้เป็นบัณฑิตได้ เพราะฉะนั้น การสมาคมกับสัตบุรุษ จึงยังประโยชน์ให้สำเร็จได้ ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สาธุ ได้แก่ เป็นความดีงาม. อธิบายว่า เป็นความเจริญ. บทว่า สุวิหิตาน ทสฺสนํ ความว่า การเห็นสัตบุรุษทั้งหลาย ผู้เพรียบพร้อมแล้ว เพื่อสะดวกในการประพันธ์คาถา ท่านจึงลบนิคหิตเสีย. ประกอบความว่า การเห็นพระอริยเจ้าทั้งหลาย ผู้มีอัตภาพอันอบรมดีแล้ว ด้วยคุณมีศีลเป็นต้น ผู้มีการแสดงธรรม อันจำแนกแจกจ่ายดีแล้ว ด้วยความอนุเคราะห์ในผู้อื่น เป็นความดี. บทว่า ทสฺสนํ พึงทราบว่าเป็นตัวอย่าง เพราะเหตุที่ แม้การฟังเป็นต้นก็นับว่ามีอุปการะมาก. สมดังคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 376
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่าใดถึงพร้อมแล้ว ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ เป็นผู้กล่าวสอน ทำให้รู้แจ้ง ให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง เป็นผู้สามารถบอกพระสัทธรรมได้เป็นอย่างดี ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตกล่าว การเห็นภิกษุเหล่านั้นก็ดี การฟังภิกษุเหล่านั้นก็ดี การเข้าไปใกล้ภิกษุเหล่านั้นก็ดี การระลึกถึงภิกษุเหล่านั้นก็ดี การบวชตามภิกษุเหล่านั้นก็ดี ว่ามีอุปการะมาก ดังนี้.
อีกอย่างหนึ่ง ในคาถานี้ท่านกล่าวความเห็นไว้อย่างเดียว เพราะเหตุคุณสมบัตินอกนี้ มีความเห็นเป็นมูล. บทว่า กงฺขา ฉิชฺชติ เป็นต้น เป็นคำบอกเหตุในการเห็นนั้น. อธิบายว่า เมื่อการเห็นกัลยาณมิตรเช่นนั้น มีอยู่ กุลบุตร ผู้มุ่งหาความรู้ ผู้ใคร่ประโยชน์ ย่อมเข้าไปหา ย่อมเข้าไปนั่งใกล้กัลยาณมิตรเหล่านั้น ย่อมไต่ถามปัญหาโดยนัยมีอาทิว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล ดังนี้. และกัลยาณมิตรเหล่านั้น ย่อมบรรเทาความสงสัย ในข้อที่น่าสงสัยหลายอย่างแก่เขาได้ ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า กงฺขา ฉิชฺชติ เป็นเหตุตัดความสงสัยเสียได้ ดังนี้. และเพราะเหตุที่กัลยาณมิตรเหล่านั้น ครั้นบรรเทาความสงสัยของกุลบุตรเหล่านั้นได้ ด้วยการแสดงธรรมแล้ว ย่อมยังความเห็นชอบในกรรมบถ และยังความเห็นชอบในวิปัสสนา ให้บังเกิดขึ้นในส่วนเบื้องต้น ฉะนั้น ความรู้ย่อมเจริญแก่กุลบุตรเหล่านั้น (อีกด้วย).
ก็ในกาลใด กุลบุตรเหล่านั้น เจริญวิปัสสนาแล้ว แทงตลอดสัจจะทั้งหลาย (อริยสัจ) ในกาลนั้น วิจิกิจฉามีวัตถุ ๑๖ และมีวัตถุ ๘ ย่อมถูกตัด
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 377
คือ ถูกถอนขึ้น ปัญญาคือความรู้ ย่อมเจริญโดยตรง สัตบุรุษทั้งหลาย ย่อมกระทำพาลชนให้เป็นบัณฑิตได้ ฉะนี้. บทว่า ตสฺมา เป็นต้น เป็น คำเครื่องกล่าวซ้ำ (คำลงท้าย) อธิบายว่า เพราะเหตุที่ การเห็นสาธุชนทั้งหลาย เป็นเหตุตัดความสงสัยเสียได้ ทำความรู้ให้เจริญงอกงาม สัตบุรุษทั้งหลาย ย่อมทำพาลชน ให้เป็นบัณฑิตได้ เพราะฉะนั้น คือ ด้วยเหตุนั้น การสมาคมกับสัตบุรุษ คือคนดี ได้แก่ พระอริยเจ้าทั้งหลาย จึงยังประโยชน์ ให้สำเร็จ คือเป็นความดี หมายความว่า การประชุมร่วมกับสัตบุรุษเหล่านั้น เป็นความเจริญโดยชอบ ดังนี้.
จบอรรถกถาสุสารทเถรคาถา