การที่เราเพ่งวัตถุสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วเกิดภาพขึ้น เกิดขึ้นได้เพราะอะไรคะ หรือเวลาเราตั้งคำถามกับตัวเองว่าเราจะช่วยเขาได้อย่างไร มันจะมีคำตอบขึ้นมา เหมือนถามเองตอบเอง มีชื่อด้วย กรณีถามว่าใคร เช่น มีคนมาปรึกษาปัญหากับเราอยู่ แล้วเราถือและมองแผ่นทองคำเปลว แล้วเห็นเป็นเรื่องของคนที่กำลังปรึกษาเราอยู่ ก็โต้ตอบกันไปมา เป็นอย่างนี้บ่อยครั้ง เราควรคิดรู้สึกเป็นธรรมดา เฉยๆ ใช่ไม๊คะ แต่อีกใจก็รู้สึกเป็นประโยชน์แก่ผู้มาปรึกษา และอยากก้าวหน้า สรุปว่าเกิดจากอะไร และควรทำอย่างไรต่อดีคะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน คือ การเกิดขึ้นของจิต เจตสิก รูป ไม่ใช่เรา คือ ไม่ใช่เราที่คิด และไม่มีสัตว์ บุคคลใดๆ เลย มีแต่ธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไป เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าทรงแสดงสัจจะ ความจริงที่ทวนกระแสกิเลส ทวนกระแสความคิดที่ตรงกันข้ามกับความคิดของสัตว์โลกที่เป็นปุถุชน ที่ปุถุชน หรือ สัตว์โลก สำคัญผิดว่าเป็นเรา เป็นเราที่คิด มีคนอื่น มีสัตว์อื่น แท้ที่จริง มีแต่ธรรมที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เรา ไม่มีใคร มีแต่ธรรม ครับ
ขณะที่คิดนึก ไม่ว่าเรื่องใด จะคิดว่า กำลังให้คำปรึกษาใคร เป็นต้น ก็ล้วนแล้วแต่ เป็นจิตที่เกิดขึ้น ทำหน้าที่คิดนึก ไม่มีเรา ไม่มีใคร แต่เป็นจิตที่คิดนึก ดังนั้นก็ถูกหลอก ด้วยอวิชชา ความไม่รู้ สำคัญผิดว่ามีเราที่กำลังคิด มีคนอื่นที่กำลังคิดเรื่องคนอื่นอยู่ ทั้งที่ความจริงเป็นแต่เพียงการคิดนึกที่เป็นจิตเท่านั้น จึงกล่าวได้ว่า สัตว์โลกอยู่ในโลกความคิดของตนเอง ด้วยความสำคัญผิด ในความคิดของตนเองว่ามีใคร มีเรา มีคนอื่น
ซึ่งขณะที่คิดตั้งคำถามเองและตอบเอง ก็เกิดจากเหตุที่คิดนึกไป ตามการสะสมในอดีตที่สะสมมาที่จะคิดอย่างนั้น ซึ่งเป็นธรรมดาของความคิดที่จะคิดอย่างนั้นได้ แต่สาระ คือ การไม่สำคัญผิดว่า สิ่งนั้นเป็นสาระ เป็นสิ่งที่ดี เพราะนั่นไม่ใช่โลกความจริง แต่เป็นการสมมติเรื่องราวที่เป็นบัญญติ หากสำคัญว่าสิ่งนั้นดี สำคัญว่าตอบปัญหาได้ ในความคิดของตนเอง ก็ถูกอวิชชา กิเลสทั้งหลาย หลอกซ้ำในความคิดว่าตนเองตอบปัญหาได้ หนทางที่ถูก คือ การไม่ต้องไปห้ามความคิด เพราะมีเหตุปัจจัยก็คิดนึกอย่างนั้นเป็นธรรมดา แต่ควรเข้าใจความจริงว่าคืออะไร ไม่ใช่จะให้ก้าวหน้าที่จะคิดว่าคิดปรึกษาอย่างไรให้ก้าวหน้า เพราะ ความก้าวหน้าที่ประเสริฐ คือ ก้าวหน้าด้วยปัญญาเจริญขึ้นเข้าใจความจริงที่เกิดขึ้นกับจิตของตนเอง ผู้ที่ฉลาดในจิตของตน ย่อมฉลาดในจิตของผู้อื่น แต่ความฉลาดในจิตของตน ก็จะต้องรู้ว่า คำว่าฉลาดในจิตตนนั้น ฉลาด คือ รู้อย่างไร คือ รู้ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า ขณะนั้นเป็นธรรม ว่าเป็นเพียงความคิดนึก ที่ไม่ใช่เราที่คิดนึก เป็นจิตที่คิดเท่านั้น ส่วนเรื่องที่คิดว่าเราให้คำปรึกษาใคร เป็นต้น ก็เป็นสิ่งที่ไม่มีจริง การเข้าใจเช่นนี้ ย่อมละกิเลส คือ ความยึดถือว่ามีเรา มีสัตว์ บุคคล ละกิเลสไปตามลำดับ และเพื่อพ้นทุกข์ได้ และ ก็จะไม่ถูกหลอกด้วยความคิดของตนเอง ครับ
ส่วนคำถามที่ว่า การที่เราเพ่งวัตถุสิ่งใด สิ่งหนึ่งแล้วเกิดภาพขึ้น เกิดขึ้นได้เพราะอะไร
ขณะที่เพ่งวัตถุ ก็คือ ขณะที่เห็น ไม่ใช่เราเห็น หรือ เราเพ่ง แต่เป็นจิตที่เห็น และ เกิดภาพขึ้น คือ เมื่อเห็นจะต้องมีสิ่งที่ถูกเห็น เพราะฉะนั้น ที่เกิดภาพขึ้น เกิดสีต่างๆ เป็นสิ่งต่างๆ ก็เพราะ อาศัยจิตเห็นที่เห็นสิ่งที่ปรากฎ และเมื่อเห็นสีแล้ว ก็คิดนึกเป็นเรื่องราวทางใจต่อ ว่าเป็นใคร เป็นสิ่งใด ซึ่งเป็นธรรมดาของสัจจะ ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแสดงสัจจะไว้อย่างละเอียดและมีคำตอบ เพราะฉะนั้น สิ่งที่ควรสนใจ จึงไม่ใช่การคิดถึงเรื่องราวของตนเองที่คิดในใจ แต่ สิ่งที่ควรสนใจและตอบคำถามของชีวิตได้ คือ สนใจสิ่งที่แสดงถูกต้อง เพื่อให้เกิดปัญญาของตนเอง คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงจะดีที่สุด ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
จากท่านเจ้าของกระทู้ที่ถามและอาจารย์ผเดิมอธิบายในรายละเอียดได้ชัดเจนมากครับ และทำให้ผมนึกถึงเรื่องของจิตที่เปรียบเสมือนนักมายากล ที่หลอกลวงให้อยู่กับความไม่รู้ไปเรื่อยๆ ในรูปแบบต่างๆ ช่างน่ามหัศจรรย์จริงๆ ครับ แต่ที่น่ามหัศจรรย์มากที่สุด คือ พระพุทธองค์ที่ทรงตรัสรู้ความจริงดังกล่าวอย่างกระจ่างแจ้งจริงๆ และยังทรงพระมหากรุณาตรัสสั่งสอนให้ผู้หลงทั้งหลายได้เห็นความจริงนั้นๆ ได้ด้วย
ขออนุญาตยกพระสูตรที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาประกอบนะครับ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิยาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ หน้า ๒๖๗
๗. คุตตาเถรีคาถา
ดูก่อนคุตตา การละบุตร สมบัติและของรักออกบวช เพื่อประโยชน์แก่นิพพานอันใด เธอจงพอกพูนนิพพานอันนั้นเนืองๆ เถิด เธออย่าตกอยู่ในอำนาจจิตนะ สัตว์ทั้งหลาย ผู้ไม่รู้แจ้ง ถูกจิตลวงแล้ว พากันท่องเที่ยวไปสู่ชาติสงสารนี้ใช่น้อย ก็ไม่รู้.
อรรถกถา คุตตาเถรีคาถา
บทว่า มา จิตฺตสฺส วสํ คมิ ได้แก่ เธออย่าตกอยู่ในอำนาจของจิตที่โกง ซึ่งเติบโตด้วย อารมณ์ มีรูปเป็นต้น มานาน. ก็เพราะเหตุที่ปุถุชนคนบอด ถูกจิตใดหลอกลวงแล้ว ชื่อว่า จิตนั้นเปรียบด้วยมายากล สัตว์เหล่านั้นตกอยู่ในอำนาจของมารย่อมล่วงสงสารไปหาได้ไม่ ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสคำว่า จิตฺเตน วญจิตา ดังนี้ เป็นต้น.
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์ผเดิมและทุกๆ ท่านด้วยครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตามความเป็นจริงแล้วคนเราทุกคนที่เกิดมา ไม่มีใครที่ไม่คิด เพียงแต่ว่าจะคิดไปในทางใด กล่าวคือ เป็นไปในทางกุศล หรือ อกุศล คงห้ามความคิดไม่ได้ เพราะแล้วแต่เหตุปัจจัยที่สะสมมา เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย แต่การฟังธรรม ศึกษาธรรม พิจารณาธรรม จะเป็นเครื่องปรุงแต่งให้เกิดการพิจารณาโดยแยบคาย แล้วจิตก็จะน้อมระลึกตรึก (คิด) ไปในทางกุศลเพิ่มมากขึ้น จากที่เคยเป็นคนคิดมากในเรื่องอื่นๆ ก็เป็นการตรึก ไตร่ตรองในพระธรรมที่ได้ยินได้ฟัง เพราะได้อาศัยพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งจะเป็นเหตุให้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกยิ่งขึ้น และประการที่สำคัญ สภาพธรรมไม่พ้นไปจากขณะนี้แต่ละขณะเลย มีธรรมเกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ในขณะที่คิด ก็เป็นธรรมที่มีจริง เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่เรา ก็เพิ่มความมั่นคงในความเป็นจริงของสภาพธรรมที่เป็นอนัตตา ซึ่งเป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ธรรมจึงไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหน เพราะมีจริงๆ ในขณะนี้ ที่ควรแสวงหาและสะสมก็คือ ความเข้าใจถูกเห็นถูก โดยอาศัยพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดง ครับ
....ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์ผเดิมและทุกๆ ท่านด้วยครับ...
การเพ่งแล้วเห็นภาพเกิดได้เพราะคิด และ เคยเห็นสิ่งนั้นมาแล้วแต่ในอดีต ก็เป็นปัจจัยให้เกิดได้เป็นของธรรมดา ที่สำคัญ ไม่ใช่กุศลที่จะละกิเลส ค่ะ
ขออนุโมทนา
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ