ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจาก ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๗๔
~ ค่อยๆ รู้จักความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นการบูชาสูงสุดด้วยความเข้าใจความจริงที่พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาแสดง ๔๕ พรรษา ไม่ว่าใครอยู่ที่ไหน โรงช่างหม้อ เขาสามารถเข้าใจได้ เสด็จไปโปรด เขาอยู่แสนไกลถึงเมืองกุสินาราพระองค์ทรงประชวรแต่ถ้าเขาได้ฟังแล้วสังสารวัฏฏ์ของเขาที่ยาวนานก็จะหมดไปได้ด้วยความเข้าใจ ไม่ต้องไปตกนรกอีก ไม่ต้องไปหมุนเวียนเป็นโน่นเป็นนี่อีก แต่สามารถที่จะพ้นจากสังสารวัฏฏ์ได้ ถ้าพระองค์ไม่เสด็จไป จะช่วยเขาได้ไหม ไม่มีทางไหนเลยที่จะทำให้เขาพ้นจากสังสารวัฏฏ์ เพราะฉะนั้น พระมหากรุณาเสด็จไปทรงแสดงธรรม เขารู้แจ้งอริยสัจจธรรม ถ้าไม่ได้ฟัง คิดดูว่าชีวิตจะเป็นอย่างไร?
~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะเปลี่ยนสภาพที่เต็มไปด้วยความไม่รู้ ให้สะอาดขึ้นให้ตรงขึ้นให้รู้ความจริงขึ้น
~ ค่อยๆ สะสมความเข้าใจที่ถูกต้องและรู้ว่าหนทางที่จะรู้ความจริงคือขณะที่กำลังฟังเข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ถ้าไม่เข้าใจคำที่พระองค์ตรัสจะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย แล้วเคารพพระองค์ได้อย่างไร ถ้าไม่รู้พระคุณสูงสุดในพระปัญญาคุณ ในพระบริสุทธิคุณ ในพระมหากรุณาคุณ กว่าจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อทุกคนที่ได้ยินได้ฟังมีโอกาสที่จะเข้าใจและสะสมความเข้าใจที่ถูกต้อง
~ ไม่ว่าจะได้อะไรมา ทรัพย์สินเงินทองมหาศาล เกียรติยศ ชื่อเสียง ความสุข ความสบาย แล้วก็จากโลกนี้ไป อยู่ไหนสิ่งที่คิดว่าได้? เป็นของใคร? ไม่มีของใครเลย เพราะความจริงคือเพียงแค่ปรากฏแล้วไม่เหลือเลย ไม่กลับมาอีกเลย หมดแล้ว จริงไหม? สิ่งที่ปรากฏจะไม่กลับมาปรากฏอีกเลย กลับมาเกิดอีกไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น จะเป็นเราหรือจะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดและจะเป็นของใครได้อย่างไร ค่อยๆ คิด
~ ทุกคนต้องจากโลกนี้ไป ไม่ว่าใคร เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นเทพ เกิดเป็นพรหม เมื่อมีการเกิดแล้วก็ต้องมีการรู้ การเห็น การได้ยิน การเป็นสุข เป็นทุกข์ แล้วก็จากโลกนี้ไป ไม่เหลือความเป็นบุคคลนี้ได้อีกเลย แต่ถ้าไม่มีการดับเดี๋ยวนี้ทีละหนึ่งขณะ จะถึงเวลานั้นไหม?
~ ไม่มีใครอยากไม่ดี แต่เพราะไม่รู้ใช่ไหมจึงไม่ดี? เพราะฉะนั้น ถ้าเขามีโอกาสที่จะรู้ได้ในสังสารวัฏฏ์ควรที่จะได้รู้บ้างไหมสักนิดสักหน่อยก็ยังดีกว่าไม่รู้เลย นี่เป็นเหตุที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระมหากรุณาแสดงธรรมแก่ผู้ที่สามารถฟังแล้วเข้าใจได้
~ ตายจากคนนี้แล้วไปเกิดเป็นคนนี้อีกได้ไหม? เป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น เป็นคนนี้ได้แค่ชาตินี้ ชาติก่อนไม่มีคนนี้เลยยังไม่ได้เกิดแล้วก็มีคนนี้จนกระทั่งตาย แล้วก็หมดไปอีก เพราะฉะนั้น ทั้งหมดเป็นธรรมซึ่งเกิดเมื่อมีปัจจัยที่ทำให้เกิด หมดหน้าที่ของปัจจัยที่ทำให้เกิด สิ่งนั้นดับ จริงไหม?
~ ไม่ให้เวลาของอกุศลเกิดขึ้นซึ่งมากมายอยู่แล้วในวันหนึ่งๆ ยังจะเอาเวลาของกุศลไปให้อกุศลอีกหรือ? นี่เป็นเหตุที่ทุกคนทำความดีทุกขณะ เพราะรู้ว่าโอกาสที่จะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่เป็นคุณความดีไม่ง่ายและไม่มาก อาจจะตายไปก่อนก็ได้ อาจจะเป็นโรคร้ายแรงพูดไม่ได้ก็ได้
~ พระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำเป็นประโยชน์มหาศาล ถ้าสามารถที่จะค่อยๆ รู้ความจริง อกุศลค่อยๆ ลด จึงจะถึงการประจักษ์แจ้งความความจริงได้ ไม่ใช่ว่าทั้งๆ ที่ไม่ดีอย่างนี้แล้วจะไปรู้ความจริง ไปเพียรทำอย่างโน้นอย่างนี้ก็ไม่ใช่คำสอนของผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้
~ เรื่องบารมีเป็นเรื่องยาก แม้จะได้ยินได้ฟัง ก็แล้วแต่กำลังของแต่ละบุคคลที่จะเจริญกุศลถึงระดับใด ขั้นใด เป็นเรื่องที่จะต้องค่อยๆ สะสมอบรมไปพร้อมกับปัญญา และบารมีอื่นๆ ทั้งหมดก็ต้องอบรมเจริญไปเรื่อยๆ ถ้ารู้ว่ากิเลสยังมากมาย และปัญญาที่จะตัดกิเลสนั้นก็ยาก เพราะว่ากิเลสมากเหลือเกิน
~ ถ้าไม่เข้าใจธรรม ก็สะสมความไม่รู้ความติดข้องและกิเลสมากมาย การทุจริตทุกวงการ มาจากไหน? แล้วอะไรจะเป็นที่พึ่ง? ไปพึ่งอย่างอื่น พึ่งได้ไหม? แล้วเมื่อกล่าวว่าพึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต้องพึ่ง ฟังคำของพระองค์ให้เข้าใจถูกต้อง นั่นแหละจะทำให้ไม่ไปในทางทุจริต
~ แสวงหาอะไร? เราแสวงหามาแล้วในสังสารวัฏฏ์ แสวงหารูป แสวงหาเสียง แสวงหากลิ่น แสวงหารส แสวงหาโผฏฐัพพะ (สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย) แสวงหาบุคคลต่างๆ สิ่งต่างๆ ซึ่งเป็นที่พอใจ
แต่ว่ายังไม่ได้แสวงหาสิ่งที่ประเสริฐ คือปัญญา ปัญญา ไม่มีทางที่จะไปแสวงหาที่ไหนได้เลยทั้งสิ้น นอกจากฟังแต่ละคำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยการไตร่ตรองและเคารพ
~ ได้ยิน ๓ คำนี้บ่อยๆ โลภะ โทสะ โมหะเป็นอกุศล แต่ก็ต้องไตร่ตรองด้วยว่าเป็นโทษจริงๆ ตั้งแต่น้อยจนถึงมาก แล้วธรรมที่เป็นประโยชน์ เป็นคุณ ไม่ให้โทษเลย ก็คือ อโลภะ (ความไม่ติดข้อง) ถ้าเป็นได้จริงๆ ทีละเล็กทีละน้อยจะสบายสักแค่ไหน ไม่เดือดร้อนที่จะต้องแสวงหา ไม่เดือดร้อนเมื่อสิ่งนั้นพลัดพรากจากไป เพราะเหตุว่าไม่ติดข้อง แต่แสนยาก เพราะติดข้องมานานแสนนาน มีหนทางเดียวคือ ปัญญา ความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง
~ ขณะใดที่กุศลประเภทหนึ่งประเภทใดเกิด สตินั่นแหละระลึกถึงกุศลประเภทนั้น เช่น ขณะที่ให้ทาน ก็เพราะสติเป็นไปในการให้ ขณะที่วิรัติ (งดเว้น) ทุจริต สติเกิดขึ้นเป็นไปในการเว้นจากกายทุจริต วจีทุจริต หรือขณะทำสิ่งใดที่สมควร เป็นการช่วยเหลือบุคคลอื่น ก็เพราะสติเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น สติจึงเป็นประโยชน์ในที่ทั้งปวง ถ้าสติไม่เกิด ก็คือ เป็นอกุศล
~ “เราไม่ควรคิดประทุษร้ายแม้แต่กับผู้ที่เป็นข้าศึกต่อเรา” พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ถ้าท่านพิจารณาและน้อมนำมาประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ก็จะเห็นได้ว่า ถ้าปฏิบัติตามได้ คิดอย่างนี้บ่อยๆ เป็นกุศลจิตของท่าน แต่ว่าสำหรับผู้ที่หวังร้ายต่อท่านก็เป็นอกุศลจิตของเขา
~ ความตายเป็นของธรรมดา คนที่เกิดมาแล้วไม่ตาย ไม่มี
~ อะไรที่ไม่ถูกต้อง ใครทำก็แล้วแต่ แต่คนที่รู้ความจริง ไม่ทำแน่นอน
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๗๓
... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ
ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ทุกคนต้องจากโลกนี้ไป ไม่ว่าใคร เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นเทพ เกิดเป็นพรหม เมื่อมีการเกิดแล้วก็ต้องมีการรู้ การเห็น การได้ยิน การเป็นสุข เป็นทุกข์ แล้วก็จากโลกนี้ไป ไม่เหลือความเป็นบุคคลนี้ได้อีกเลย แต่ถ้าไม่มีการดับเดี๋ยวนี้ทีละหนึ่งขณะ จะถึงเวลานั้นไหม?
ยินดีในกุศลวิริยะค่ะ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
อนุโมทนาในกุศลวิริยะของอาจารย์คำปั่น
ไพเราะยิ่งครับ.