ด้วยความเคารพอย่างสูง
สวัสดีครับ
ยุ่งยากวุ่นวายเหลือเกินในทุกๆ วัน กว่าจะมีข้อสงสัยมาถามในแต่ละครั้ง ก็นานเลยทีเดียว คำถามข้างล่างครับ ...?
คำสอนที่ว่า ...
"ที่ใดมีทุกข์ ก็มีความสุขอยู่ตรงนั้น"
"ในปัญหามีปัญญา ในความมืดมีแสงสว่าง และในวิกฤติก็มีโอกาส ฉะนั้น เมื่อเราอยู่ในโลกนี้แล้วก็ไม่ต้องกลัวทุกข์ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่อาตมาจะขอฝากให้ทุกคนนำไปคิดพิจารณาและปฏิบัติให้เกิดผล"
นี่ เป็นคำสอนของพระนักเทศน์รูปหนึ่ง มิทราบว่า มีพระพุทธพจน์ ที่เทียบเคียงกันได้หรือไม่ และผิดถูกอย่างไร
อนึ่ง ผมมักจะพยายามเห็นขัดแย้งกับพระรูปนี้อยู่บ่อยครั้ง เหมือนมีอคติและมานะอยู่ไม่น้อยครับ มิทราบว่า สาเหตุใด
ขอความอนุเคราะห์ด้วยครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง โดยเฉพาะ ในเรื่องสภาพธรรม ที่เกิดแต่ละขณะ และ เกิดดับอย่างรวดเร็ว ในความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้น ขณะที่สภาพธรรมอะไรเกิด สภาพธรรมอื่นย่อมเกิดไม่ได้ เช่น ขณะที่อกุศลจิตเกิด ปัญญาจะเกิดพร้อมกับขณะที่เป็นอกุศลจิตไม่ได้ ขณะที่จิตเห็นเกิด จิตอื่นๆ จะเกิดพร้อมกับจิตเห็นไม่ได้ นี่เป็นการแสดงสัจจะความจริงว่า จิตเกิดขึ้นทีละขณะ แต่ละประเภท ไม่ใช่จิตอื่นๆ มาเกิดพร้อมกับจิตอีกประเภท
ดังนั้น ในคำกล่าวที่ว่า ที่ใดมีทุกข์ ก็มีความสุขอยู่ตรงนั้น
ขณะที่มีความทุกข์ที่เป็นอกุศลจิต ขณะนั้น ไม่ได้มีความสุข ที่เป็น โสมนัสเวทนา เพราะขณะที่มีความทุกข์ เป็นโทมนัสเวทนา ทุกข์ใจ หรือ ทุกขเวทนา ทุกข์กาย เกิดอยู่ ความสุข จะเกิดพร้อมกับ เวทนาอื่นๆ ไม่ได้ และ ขณะที่เป็นอกุศลจิตที่เป็นความทุกข์ใจ ขณะจิตนั้น จะมีความสุข โสมนัสที่เกิดจากกุศลจิต หรือ มีปัญญาไม่ได้เลย เช่นกัน
ดังนั้น เมื่อพูดแต่ละขณะจิต ก็ไม่มีจิตซ้อน กับ จิตอีกประเภท หรือ ความทุกช์ จะมีความสุขซ้อนอยู่ไม่ได้เลย ครับ
และคำกล่าวที่ว่า " ในปัญหามีปัญญา ในความมืดมีแสงสว่าง และในวิกฤติก็มีโอกาส ฉะนั้นเมื่อเราอยู่ในโลกนี้แล้วก็ไม่ต้องกลัวทุกข์ "
- ปัญหา คืออะไร ปัญหา มี เพราะ มีอกุศลจิตเกิดขึ้น กุศลจิตเกิด ไม่มีปัญหา ดังนั้น เมื่อพูดดามสัจจะความจริง ปัญหา ก็เพราะอกุศลลเกิด ขณะที่มีปัญหาที่เป็นอกุศล ไม่มีปัญญาในขณะนั้น เพราะ ปัญญาเจตสิก ความเห็นถูก ที่เกิดร่วมกับจิตที่ดี จะไม่เกิดร่วมกับ จิตที่ไม่ดี มีอกุศลจิต เลย ครับ ในปัญหา จึงไม่มีปัญญา
แต่ ถ้ากล่าวให้ลึกซึ้ง ก็ต้องกล่าวอธิบาย ตามนัยที่พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่ใช่เพียง นำคำเหล่านี้ และ ก็คิดนึก เป็นไปตามเรื่องราว แต่ที่ลึกซึ้ง คือ เมื่อมีปัญหา มีอกุศล ก็สามารถมีปัญญาเกิดต่อ รู้ความจริงของปัญหา หรือ สภาพธรรมที่เป็นอกุศลในขณะนั้น ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา
ดังนั้น เมื่อมีปัญหา อกุศล ก็สามารถมีปัญญาเกิดต่อรู้ความจริงได้ โดยที่ไม่ต้องพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้อกุศลเกิด เพราะ อกุศล หรือ ปัญหาเกิดขึ้นแน่นอน ตราบใดที่ยังไม่ได้ดับกิเลส แต่ เมื่ออกุศลเกิดแล้ว ผู้ที่อบรมปัญญา คือ การเจริญสติปัฏฐานตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ก็สามารถรู้ความจริงได้ เมื่อ อกุศลเกิดขึ้น คือ ปัญญาเกิดต่อจากอกุศลที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ครับ
และ ในคำสอนของพระพุทธเจ้า พระองค์ได้ตรัสถึงประเด็น เรื่องความทุกข์และความสุขไว้ด้วยครับ ซึ่งจากคำกล่าวที่ว่า " ที่ใดมีทุกข์ ก็มีความสุขอยู่ตรงนั้น "
ซึ่งได้อธิบายไปแล้วครับว่า จิต และ เวทนา ความรู้สึกประเภทใดเกิด จะไม่มี ความรู้สึก จิตประเภทอื่นๆ เกิดได้ ความทุกข์เกิดขึ้น จะไม่มีความสุขอยู่ตรงนั้น เพราะเวทนาแต่ประเภท เกิดแต่ละอย่าง ไม่ทับซ้อนกัน รวมทั้งจิตแต่ละประเภท ก็ไม่เกิดขึ้นทับซ้อนกัน เป็นจิต ๒ ดวง ในดวงเดียว
การใช้คำให้สละสลวย ให้ดึงดูดใจ ไม่สำคัญเท่ากับการใช้คำให้ถูกต้อง ตรงต่อสภาพธรรม เพราะ จะทำให้ไม่เข้าใจ ธรรมคลาดเคลื่อน สำหรับผู้อ่าน และ ศึกษา และ การใช้คำ พยัญชนะที่ตรงต่อสภาพธรรม ถูกต้อง เป็นเหตุให้เกิคความเข้าใจถูก และ ปัญญา
ซึ่งในสมัยพุทธกาล มีผู้ที่มีความเห็นผิด ในโพธิราชกุมารสูตร โพธิราขกุมารเห็นผิด และ ตรัสตอบพระพุทธเจ้าว่า ความสุขจะมีได้เพราะ ความทุกข์ ความสุข จะมีได้ ไม่ใช่ด้วยความสุข ซึ่ง โพธิราชกุมาร กำลังสื่อความหมายว่า ความสุข คือ การบรรลุธรรมจะมีได้ ด้วยการทรมานตน ด้วยความทุกข์จึงจะเกิดสุข
แต่พระพุทธเจ้า ตรัสว่า ความสุขจะมีได้ โดยอาศัยความสุขได้ ไม่จำเป็นจะต้องอาศัยความทุกข์ คือ การทรมานตน จึงจะบรรลุธรรม พระองค์ยกตัวอย่าง เมื่อครั้งที่พระองค์ทรมานตน และ เห็นว่าไม่ใช่หนทาง พระองค์ทรงเสวยอาหาร และ เจริญสมถภาวนาได้ฌาน ได้ความสุขจากฌาน จนสามารถได้ความสุข คือ การดับกิเลส
เพราฉะนั้น ความสุขเกิดได้ เพราะอาศัยความสุข แต่เป็นความสุขที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นสำคัญ ครับ
จากที่กล่าวมา เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า ความสุขจะมีได้ และเกิดได้ ไม่ใช่จะต้องมีความทุกข์ เท่านั้น แต่ หากมีปัญญาแล้ว ปัญญาจะทำหน้าที่รู้ความจริง แม้ขณะที่ความสุขเกิดขึ้น มีโสมนัสเวทนา ขณะนั้น ปัญญาก็สามารถรู้ความจริงว่าเป็นแต่เพียงธรรม ไม่ใช่เรา ถึงการดับกิเลสได้ ครับ
การเจริญสติปัฏฐาน จึงเป็นปัญญาที่จะต้องรู้ทั่วที่ไม่ใช่เฉพาะความทุกข์ แต่ขณะที่ความสุขเกิดขึ้น ซึ่ง ความสุขจะมีไม่ได้เลย หากปราศจากปัญญา
แม้จะเจอปัญหา แต่ก็ไม่มีตัวตนที่จะไปทำให้เกิดปัญญา
แม้เจอวิกฤติ แต่ก็ไม่มีตัวตน ที่จะทำให้เป็นโอกาส
แม้จะเจอทุกข์ แต่ไม่มีตัวตนที่จะทำให้เกิดสุข เพราะ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา หากไม่ได้อบรมปัญญามาเพียงพอ ก็ไม่สามารถแก้ปัญญา แก้อกุศลที่เกิดขึ้นในจิตใจได้ เพราะ ไม่ได้รู้ว่า ความสุข ความทุกข์ กุศล อกุศล เป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา
หนทางที่ถูก จึงไม่ใช่ การจะทำ การจะสั่งให้ แก้ปัญหา ให้ทุกข์แล้วมาสุข หนทางที่ถูก คือ การอบรมเหตุที่จะแก้ปัญหาทุกอย่าง เพราะรู้ตามความเป็นจริง คือ การอบรมสภาพธรรมที่เป็นปัญญา ความเห็นถูก ด้วยการฟังพรธรรม ศึกษาพระธรรม เมื่อปัญญาเจริญมากขึ้น ก็จะแก้ปัญหาเอง คือ รู้ตามความเป็นจริง แต่เป็นไปตามเหตุปัจจัย แล้วแต่ว่า ปัญญาจะเกิดหรือไม่ ครับ
ปัญญาจึงเป็นสภพาธรรมที่เห็นถูก และ ความสุขจะมีได้อย่างไร หากไม่มีปัญญา เพราะ หากไม่ศึกษา อบรมปัญญาก็สำคัญว่า ความสุขในรูป เสียง ... สิ่งที่กระทบสัมผัส เป็นการแก้ทุกข์ และเป็นความสุขที่แท้จริง ครับ
สุขใดจะประเสริฐเท่า สุขที่ไม่มีกิเลส สุขที่เกิดจากปัญญา เป็นสำคัญ ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ทุกขณะของชีวิต ไม่พ้นไปจากความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรม จะเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ก็คือ ธรรม แต่ไม่ปะปนกันอย่างเด็ดขาด เพราะเป็นสิ่งที่มีจริง นี้คือความจริง ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้เพื่อให้ผู้ที่เป็นสาวก ฟัง ศึกษาเพื่อเข้าใจตามความเป็นจริง ว่าเป็นธรรมที่มีจริง เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย แล้วก็ดับไป ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
เพราะยังมีกิเลสทั้งหลาย มีอวิชชา และ ตัณหา เป็นต้น จึงเป็นเหตุนำมาซึ่งทุกข์ เพราะเหตุว่าเมื่อยังมีกิเลสโดยเฉพาะอวิชชา และ ตัณหา จึงทำให้มีการเกิดในภพต่างๆ อยู่ร่ำไป เมื่อเป็นเช่นนี้ ที่มีทุกข์ ทั้งทุกข์กายและทุกข์ใจ ประสบกับวิกฤติปัญหาต่างๆ นั้น ก็เพราะมีการเกิด หากไม่เกิดแล้ว ก็คงไม่มีทุกข์เหล่านี้ เมื่อไม่มีการเกิด ก็ไม่ต้องประสบกับทุกข์ประการต่างๆ เหล่านี้
ดังนั้น การไม่เกิดจึงเป็นความสุขอย่างแท้จริง การที่จะถึงความเป็นผู้ไม่ต้องเกิดอีกได้นั้น ก็ต้องอบรมเจริญปัญญาซึ่งจะเป็นไปเพื่อดับเหตุแห่งการเกิด คือ ดับกิเลส นั่นเอง
การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ย่อมจะเป็นหนทางที่ทำให้พบกับความสุขที่แท้จริงได้ สามารถทำให้พ้นจากทุกข์โดยประการทั้งปวงได้ในที่สุด เหมือนอย่างพระอริยบุคคลทั้งหลายในอดีตที่ท่านดำเนินไปถึงตรงนั้นแล้ว ด้วยปัญญาที่เข้าใจถูกในหนทางที่เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์แห่งจิต คืออริยมรรค, ประการสำคัญที่ทุกคนจะต้องพิจารณา คือ ก่อนอื่น ต้องเริ่มที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูกตั้งแต่ในขณะนี้ จึงจะสามารถไปถึงการดับกิเลสได้ ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณอาจารย์ผเดิม, อาจารย์คำปั่น และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"ทุกข์ทั้งหมด คือ อุปาทานขันธ์ ๕ นั่นเองเป็นทุกข์"
เพราะว่า ถ้าไม่มีขันธ์ ๕ ก็ไม่มีทุกข์
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.ผเดิม, อ.คำปั่นและทุกๆ ท่านครับ
คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นหนึ่ง ไม่เป็นสอง แน่นอนที่สุด ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ ค่ะ