ฉะนั้น ขณะใดที่เห็นแล้วสนใจ เพลินในนิมิต คือ รูปร่างสัณฐานและอนุพยัญชนะ คือ ส่วนละเอียดของสิ่งที่ปรากฏ ให้ทราบว่าขณะนั้นเพราะสีปรากฏ จึงทำให้คิดนึกเป็นรูปร่างสัณฐานและส่วนละเอียดของสิ่งต่างๆ ขึ้นเมื่อใดที่สติเกิดระลึกรู้และปัญญาเริ่มศึกษาพิจารณา ก็จะเริ่มรู้ว่านิมิตและอนุพยัญชนะทั้งหลายซึ่งเป็นสีต่างๆ ก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้นนี้คือปัญญาที่เริ่มเข้าถึงลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคลเมื่อสติเกิดระลึกรู้สึกเนืองๆ บ่อยๆ ก็จะเข้าใจอรรถที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่าไม่ติดในนิมิตอนุพยัญชนะ (ด้วยการอบรมเจริญปัญญารู้สภาพธรรมที่ปรากฏตามความจริง) และเริ่มละคลายอัตตสัญญาในสิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูกลิ้น กาย ใจ ตามขั้นของปัญญาที่เจริญขึ้น
ยังติดอนุพยัญชนะมากๆ เลยค่ะ พยายามศึกษาจากสาระในwebนี้อยู่ค่ะเพื่อว่า
จะมีโอกาสจางคลายลงบ้าง อนุโมทนาคุณ Kchat ค่ะ
ขออนุโมทนา ยังคงติดทั้งนิมิตและอนุพยัญชนะเช่นกัน
ทุกคนติดมานานและยังคงติดต่อไปเหมือนๆ กัน จะติดมากติดน้อยก็เป็นโทษทั้งนั้นขึ้นอยูกับว่าจะยินดีติดต่อไปโดยความไม่รู้ หรือจะแสวงหาทางละการติดที่เป็นมานาน จากการศึกษา พระธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาค พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยละเอียดขึ้น และมีกัลยาณมิตรคอยอุปถัมภ์เอื้อเฟื้อความรู้ทางธรรมมะ โดยไม่ละความเพียรเสียก่อน
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนา
ก็ผู้ใดประมาทแล้วในกาลก่อน ภายหลังไม่ประมาท ผู้นั้นย่อมยังโลกนี้ให้สว่างไสว เหมือนดวงจันทร์พ้นแล้วจากเมฆหมอก ฉะนั้น
อันนี้ไม่แปลก ติดกันงอมแงม
ขออนุโมทนา ในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ยินดีมในกุศลจิตค่ะ