ผมอ่านพระไตรปิฎกพบว่า กามย่อมท่องเที่ยวไปในกามาวจรภูมิ (จิตตุปปาทกัณฑ์.อภิ.สงฺ.อ.) มีเบื้องต่ำมีอเวจีนรกเป็นที่สุด เบื้องบนมีสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดีเป็นที่สุด ได้แก่ อบายภูมิ ๔ มนุษยภูมิ ๑ เทวโลก ๖ ชั้น ประกอบด้วยกามาวจรธรรม (อภิ.สงฺ ๑/๙๘๐) คือ กามาวจรกุศล อกุศล วิบากแห่งกามาวจรทั้งหมด กามาวจรกิริยา อัพยากฤต และรูปทั้งหมด สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า กามาวจรธรรม กุศลต่างกันโดยภูมิ ๔ คือ กามาวจรภูมิ รูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ และโลกุตรภูมิ อกุศลไม่ต่างกันโดยภูมิ (อภิ.สงฺ.) อกุศลเป็นกามาวจรอย่างเดียว กาม (ขุ.ม. อัฏฐกวัคคิกะ กามสุตตนิทเทส) ได้แก่ วัตถุกาม คือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะอันเป็นที่ชอบใจ ในภูมิ ๓ คือ กามาวจร รูปาวจร และอรูปาวจร กิเลสกาม คือ ความพอใจ ความกำหนัด คำถาม พรหมโลกมีอกุศลไหม? ผมคิดว่าพรหมโลกไม่น่าจะมีอกุศล ถ้าอธิษฐานไปเกิดเป็นพรหมแล้วนิพพานบนพรหมโลกจะดีไหม?
ขอเรียนว่า พระพรหมในพรหมโลก ที่เป็นปุถุชนก็มี พระเสกขบุคคลก็มี พระพรหมที่เป็นพระอรหันต์ก็มี พระพรหมที่เป็นปุถุชน และพระเสกขบุคคลยังมีอกุศลอยู่ อกุศลที่ยังไม่ได้ดับย่อมเกิดขึ้นได้เมื่อมีปัจจัย แต่อกุศลหยาบๆ ไม่มีในพรหมโลก อนึ่งมีข้อความในพระสูตรมีปรากฏว่า พรหมมีความเห็นผิดก็มี และกิเลสที่ยินดีในภพของพระพรหมที่ไม่ใช่พระอรหันต์ก็ยังมี สรุปคือ พรหมโลกยังมีอกุศล สำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์
ขอเชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่ พรหมโลกมีกามหรือไม่
ขออนุโมทนาครับ
จาก เรื่อง พรหมภูมิ
เรียนความเห็นที่ 3
1.เมื่อจุติจิตเกิดเคลื่อนจากความเป็นพรหมบุคคล มาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา ในเมื่อยังไมได้ดับโลภะเพราะฌานเพียงระงับไม่ให้โลภะเกิดขึ้น แต่เมื่อกลับมาเป็นมนุษย์ก็ยังยินดีพอใจในรูป เสียง...ได้ครับ
2.การได้ฌานจิตไมได้หมายถึงอยู่ในพรหมโลกแล้วครับ ต้องแยกระหว่างภูมิของจิตกับที่เกิดของสัตว์ มนุษย์ก็ได้ฌานได้ ไมได้หมายความว่าฌานจิตจะเกิดเมื่ออยู่ในพรหมโลกครับ
3.ผู้ที่ปฏิสนธิเกิดในพรมโลกเป็นพรหมบุคคล แต่ผู้ที่มีฤทธิ์ เช่น พระมหาโคคัลลานะไปพรหมโลกได้ แต่ไม่ใช่พรหมบุคคล เพราะท่านไม่ได้ปฏิสนธิเกิดในพรหมโลกครับ
ส่วนถ้าเป็นพรหมบุคคล สามารถเกิดจิตได้ทั้ง 4 ภูมิเมื่อเหตุปัจจัยพร้อมครับ ตามสมควรแก่พรหมบุคคลระดับต่างๆ
อกุศลไม่ต่างกันโดยภูมิ (อภิ.สงฺ.) อกุศลเป็นกามาวจรอย่างเดียว; ข้อความที่ผมยกมานี้ ทำให้เข้าใจว่า อกุศลเป็นกามาวจรอย่างเดียว
กุศลต่างกันโดยภูมิ ๔ คือ กามาวจรภูมิ รูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ และโลกุตรภูมิ กาม (ขุ.ม. อัฏฐกวัคคิกะ กามสุตตนิทเทส) ได้แก่ วัตถุกาม คือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะอันเป็นที่ชอบใจ ในภูมิ ๓ คือ กามาวจร รูปาวจร และอรูปาวจร กิเลสกาม คือ
ความพอใจ ความกำหนัด; ข้อความที่ผมยกมานี้ ทำให้เข้าใจว่า กามที่เป็นกุศลอันประณีตมีในรูปาวจร และอรูปาวจร
โปรดกรุณาอธิบายครับ ขอขอบพระคุณครับ
เรียนถามเพิ่มเติม
๑. ผู้ที่จะเกิด ในพรหมโลกได้ ต้องมีเหตุปัจจัย อะไรบ้าง
๒. รูปพรหม กับ รูปาวจรจิต ใน รูปาวจรภูมิ เกี่ยวข้องกันอย่างไรและ อรูปพรหม กับ อรูปาวจรจิต ใน อรูปปาวจรภูมิ เกี่ยวข้องกันอย่างไร
ขอขอบพระคุณ และ อนุโมทนา
เรียนความเห็นที่ 5
เข้าใจก่อนครับว่าคำว่า กามมี 2 อย่างคือกิเลสกามและวัตถุกาม กิเลสกามคือตัวโลภะ ความติดข้อง ส่วนวัตถุกาม หมายถึง ธรรมใดที่เป็นที่ตั้งของความติดข้องเป็นวัตถุกามทั้งหมด เพราะฉะนั้นโลภะติดข้องได้หมด เว้นโลกุตตรธรรม จากข้อความที่คุณยกมาในมหานิเทสที่ว่าวัตถุกามคือรูปที่น่าพอใจ เป็นต้น เป็นวัตถุกามเพราะเป็นที่ตั้งของโลภะให้ติดข้องรวมทั้งธรรมที่เป็นไปในภูมิ 3 ก็คือสภาพธรรมทั้งหมดทั้งกามาวจร รูปาวจร อรูปวจรเป็นที่ตั้งของความติดข้องได้หมดจึงเป็นกามโดยนัยวัตถุกามครับ ยกตัวอย่างเช่น รูปก็เป็นวัตถุกามเพราะโลภะติดข้องได้ กุศลที่เป็นรูปาวจรจิต โลภะก็ยินดีติดข้องได้ กุศลที่เป็นอรูปาวจรจิต โลภะก็ยินดีติดข้องได้ เพราะฉะนั้นสภาพธรรมทั้งหมดที่เป็นไปในภูมิ 3 เป็นวัตถุกามครับ เพราะฉะนั้นที่คุณเข้าใจว่า กามที่เป็นกุศลอันประณีตมีในรูปาวจร และอรูปาวจร กามในที่นี้หมายถึงกุศลที่เป็นรูปาวจรกุศลจิตก็เป็นกามโดยนัยวัตถุกาม เพราะเป็นที่ตั้งของความติดข้องพอใจของโลภะ กุศลที่ประณีตที่เป็นอรูปาวจรกุศลจิตก็เป็นกามโดยนัยวัตถุกามเช่นกัน เพราะเป็นที่ตั้งของความติดข้อง ขออนุโมทนาครับ
เรียนความเห็นที่ 6
1.เป็นผู้ได้ฌานจิตและฌานจิตไม่เสื่อมก่อนจุติ หรือเป็นพระอนาคามีแล้วสิ้นชีวิตจากความเป็นพระอนาคามี ย่อมปฏิสนธิเป็นพรหมบุคคลครับ
2.รูปพรหมคือบุคคลที่ปฏิสนธิอันเกิดจากรรมที่เป็นรูปาวจรจิต ส่วนรูปาวจรจิต คือ จิตที่เข้าถึงความเป็นใหญ่ เป็นฌานจิต เป็นจิตระดับที่สูงกว่ากามาวจรจิต หมายถึง รูปฌานกุศลจิตของบุคคลที่ไม่ใช่พระอรหันต์ ในขณะที่เข้ารูปฌานสมาบัติ เพราะฉะนั้นเมื่อพูดถึงรูปาวจรจิต ก็หมายถึงจิต ไม่ได้หมายถึงตัวบุคคล มนุษย์ขณะที่มีฌานจิตเกิดขึ้น จิตขณะนั้นเป็นรูปาวจรจิตถึงแม้อยู่ในโลกมนุษย์หรือเป็นมนุษย์ก็ตาม แต่ถ้าพูดถึงรูปาวจรภูมิ หมายถึงที่เกิดของพรหมบุคคล เช่น มนุษย์ก็เกิดในโลกมนุษย์ รูปาวจรภูมิก็เป็นที่เกิดของพรหมบุคคลเช่น ปาริสัชชาภูมิ (เป็นที่เกิดของผู้ที่บรรลุปฐมฌานกุศลจิตที่มีกำลังอ่อน) และอรูปพรหม อรูปาวจรจิตและอรูปาวจรภูมิก็โดยนัยเดียวกับเรื่องรูปพรหมที่ได้อธิบายมาครับ
จิตมี ๔ ชาติ คือ กุศล อกุศล วิบาก กิริยา ถ้าเป็นพรหมที่ยังไม่ได้ดับกิเลส อกุศลก็เกิดได้ ยกเว้นพรหมที่เป็นพระอรหันต์ไม่มีอกุศล เช่น พรหมที่บรรลุเป็นพระอรหันต์ที่อยู่ในชั้นสุทธาวาส และพรหมที่ได้ฌานในขณะที่ฌานจิตเกิด ขณะนั้นข่มกิเลสไว้ชั่วขณะ จิตขณะนั้นเป็นกุศลค่ะ
เรียนถามต่อเนื่อง..
ผู้ที่ได้ฌาณจิตและฌาณจิตไม่เสื่อมก่อนจุติ จะเกิดในพรหมโลก แล้วเมื่ออยู่ในพรหมโลก ต้องได้ฌาณจิต และฌาณจิตไม่เสื่อม หรือเปล่า หรือ ฌาณจิตเสื่อมได้ ขณะที่อยู่ในพรหมโลกและเมื่อฌาณจิตเสื่อม อกุศล ถึงเกิด ทั้งๆ ที่เป็นพรหมอยู่ อย่างนั้นหรือ หรือ ต้องหมดอายุของพรหมภูมิก่อน อกุศล ถึงเกิดได้
ขอขอบพระคุณ และ อนุโมทนา
เรียนความเห็นที่ 10เมื่อเป็นพรหมบุคคล อยู่ในพรหมโลกแล้วไม่จำเป้นจะต้องเกิดฌานจิตตลอดเวลาครับ
ฌานจิตก็เสื่อมได้ครับ ขณะเห็นก็ไม่ใช่ฌานจิตแล้ว เพราะฉะนั้นพรหมบุคคลก็เกิด
อกุศลจิตได้เป็นธรรมดาครับ ไม่จำเป็นต้องรอให้หมดอายุจึงจะเกิดอกุศลจิตครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาทั้งท่านผู้ถามและท่านผู้ตอบ...และผู้อ่านที่เข้าใจคะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับถามต่อเนื่องจากความคิดเห็นที่ 5 ท่าน Paderm ครับโปรดอธิบายต่อครับอกุศลไม่ต่างกันโดยภูมิ (อภิ.สงฺ.) อกุศลเป็นกามาวจรอย่างเดียว; ข้อความที่ผมยกมานี้ ทำให้เข้าใจว่า อกุศลเป็นกามาวจรอย่างเดียว
โปรดอธิบายด้วยครับ
เรียนความเห็นที่ 14 อกุศลไม่ต่างกันโดยภูมิหมายความว่า ไม่ว่าอยู่ในภพภูมิใดอกุศลก็ต้องเป็นอกุศล
อกุศลเกิดที่พรหมโลกหรือเกิดที่โลกมนุษย์ (ภูมิคือที่เกิดของสัตว์) ก็ต้องเป็นอกุศลจะ
เปลี่ยนเป็นกุศลไม่ได้ โลภะก็ต้องเป็นโลภะ ไม่เปลี่ยนไปตามภพภูมิครั บ ถ้ากล่าว
โดยภูมิคือที่เกิดของสัตว์แล้ว อกุศลเกิดได้ทุกภูมิไม่ว่ามนุษย์ เทวดา พรหมโลกครับ
และสำหรับที่กล่าวว่า อกุศลเป็นกามวจรอย่างเดียว ถูกต้องครับ ในที่นี้ไมได้กล่าวถึง
ภพภูมิคือทีเกิดของสัตว์แล้ว แต่กล่าวถึงระดับของจิต อกุศลเป็นกามวจรจิตเท่านั้น
เป็นรูปาวจรจิตไม่ได้ เป็นอรูปาวจรจิตไม่ได้และเป็นโลกุตตรจิตไม่ได้ครับ เชิญคลิกอ่านที่นี่...ชาติของกามวจรจิต - รูปาวจรจิต - อรูปาวจรจิต
สรุปว่าในพรหมโลกยังมีอกุศล และมีกามาวจรจิตเกิดได้
การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
เรียนความเห็นที่ 16 ถูกต้องครับ
อย่าเพิ่งไปสนใจพรหมโลกครับ ได้ไปแน่ๆ ถ้าไม่หยุดพิจารณาสภาพธรรมะ ...สนใจ ขณะนี้ก็พอ ว่าอะไรคือรูปธรรม นามธรรม , แยกโลก 6 โลกให้ขาดออกจากกัน โดยตลอด
ด้วยการพิจารณาไปเรื่อยๆ ตามกำลังความรู้ ว่าจะทำอย่างไร จากที่ได้ฟังมาว่าจะแยกโลก 6 โลกนั้นได้อย่างไร , ขณะใดที่ขาดจากอารมณ์ใดๆ และหยุดความคิดทั้งหมด , มีสติระลึกถึงสิ่งที่อยู่ในขณะนี้ ว่าสิ่งที่ตาเห็น หูได้ยิน ฯลฯ เป็นอะไรกันแน่ ใช่สิ่งที่อยู่ในปรมัตถธรรมที่ศึกษามาทั้งหมดนั้นหรือเปล่า
การอธิษฐานที่ว่านั้น จะเป็นจริงไม่ได้ ถ้าไม่ทำขณะนี้ทั้งหมดนั้นให้เป็นธรรมะ
คุณรากไม้ที่นับถือ
ทีท่านว่านั้น เป็นดำริชอบกระมังครับ
แต่ อะไรคือรูป อะไรคือนาม
กว่าจะรู้ได้คงไม่ตกนรกเสียก่อนนะครับ โลกทั้ง 6 โลก มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เช่น
ทางตา อะไร คือ สิ่งที่ถูกเห็น อะไร คือ การเห็น
ทางหู อะไร คือ เสียง อะไร คือ การได้ยิน ฯลฯ
ขออนุโมทนา
สาธุครับ
ขออนุโมทนาครับ