การที่จะดับกิเลสได้เป็นลำดับขั้นนั้น ในขั้นแรก จะต้องรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่า ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เพราะเป็นเพียงสภาพธรรมแต่ละอย่างเท่านั้นเอง เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ปรากฏจริงตั้งแต่เกิดจนตาย ถ้าผู้ใดไม่ได้ศึกษาพระธรรม ไม่ได้ฟังพระธรรมโดยละเอียด แม้ว่าจะมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตั้งแต่เกิดจนตาย ก็ไม่รู้ความจริงของตา หู จมูก ลิ้น กายใจเลย การศึกษาพระธรรมนั้น ไม่ใช่เพียงศึกษาตามตัวหนังสือในคัมภีร์ต่างๆ ในตำราต่างๆ แต่จะต้องพิจารณา สภาพลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตา หูจมูก ลิ้น กาย ใจ ในขณะนี้ประกอบด้วยว่าพระธรรมที่ทรงแสดงไว้นั้น เป็นความจริงอย่างไร
ในอดีตชาติหลายอสงไข หลายแสนกัป ที่ผ่านมา ยังยึดมั่นว่า มีตัวตน คน สัตว์สิ่งของ แม้กระทั่งในชาตินี้ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งวันนี้ ก็ยังมองเห็นเป็นตัวตน คน สัตว์สิ่งของอยู่ จะให้ "ปัญญา" ที่ฝังอยู่กับ "อวิชชา" มาเนิ่นนาน ปรับเปลี่ยนอย่างที่ท่านผู้บำเพ็ญเพียรมาหลายอสงไขหลายแสนกัป มันคงไม่ง่าย
นับเป็นกุศลเหลือหลายที่มีคนผู้มากด้วยบารมีอย่างท่านอาจารย์สุจินต์ ที่เฝ้าแนะเฝ้าสอนในสิ่งที่พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงตรัสรู้ จนเราพอจะมีปัญญา ทำความเข้าใจได้บ้าง การคารวะท่านอาจารย์สุจินต์ คงเป็นสิ่งที่ประเสริฐยิ่งแล้ว... ขอกราบ
เมื่อประกอบกันขึ้นมาก็มีตัวตน ให้เห็น ให้ได้ยิน ให้ได้กลิ่น ให้ลิ้มรส ให้รู้สึก ถามว่าอะไรเล่าที่ประกอบกัน
เมื่อค้นคว้าโดยละเอียดแห่งองค์ประกอบ ก็เพียงทราบว่ามีปัจจัยต่างๆ มารวมกันเท่านั้น เห็นเป็นรูปเป็นร่าง เป็นตัวเป็นตนหากเพียงรู้จักจำแนกแยกแยะ ให้ละเอียดจนถึงที่สุดก็มีคำตอบว่า ไม่มีตัวตน บุคคล เรา เขาการรู้จักแยกแยะ ที่ว่าเห็นกายในกาย เห็นธรรมในธรรมนั่นคือ เห็นรายละเอียดต่างๆ แม้ในรายละเอียดที่อยู่ในรายละเอียดควรทราบ การเห็นเช่นนี้ ด้วยตาแห่งปัญญาคงจะได้เข้าใจว่า มีเพียงสภาวะแห่งธรรมชาติเท่านั้น ที่มี หาใช่พระเจ้าองค์ใดสร้างขึ้น
คำลงท้ายของปัจจัย 24 คือ คำว่า "ปจฺจโย" ที่พระสงฆ์ท่านเอามาสวดงานศพแปลว่า ช่วยอุปการะทำให้เกิดขึ้นโดยความปราศจากตัวตน มิใช่ว่า ปราศจากตัวตนแล้ว จึงปราศจากเหตุปัจจัยด้วย
นี่คือคำสอนว่า มีเหตุมีปัจจัย จึงเกิดธรรมเพียงสอนว่า ธรรมที่กำลังปรากฏว่า ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เพราะเป็นเพียงสภาพธรรมแต่ละอย่างเท่านั้นเอง เป็นสภาพธรรมที่มีจริง
ฟังเท่าไรจึงจะรู้ หากไม่มีการพิจารณาแยกแยะการแยกแยะได้ นั่นคือบรรลุญาณที่ 1 ในบรรดา ญาณ 16 เพียงกล่าวว่า ไม่มีสัตว์ บุคคล ที่เป็นข้อสรุป ใครบ้างหนอ จะเข้าใจ เอาบทท้ายมาสอน ที่ไหนจะรู้บทต้นได้
ฟังไปจนตาย ไม่แยกแยะ ที่ไหนจะรู้เรื่อง
"เมื่อประกอบกันขึ้นมา ก็มีตัวตน ให้เห็น ให้ได้ยิน ให้ได้กลิ่น ให้ลิ้มรส ให้รู้สึก "ขอเรียนให้ทราบว่า จิตเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส มีรูปปรมัตถ์ ๗ รูปเป็นอารมณ์เท่านั้น คือ สี เสียง กลิ่น รส เย็น/ร้อน อ่อน/แข็ง ตึง/ไหว ตัวตนจะมีได้เมื่อสิ่งนั้นเป็นอารมณ์ของจิตทางมโนทวาร ซึ่งอัตตสัญญาจำไว้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้น "ตัวตน" จึงเป็นความเห็นผิดที่เกิดขึ้นทางมโนทวาร
"ฟังเท่าไรจึงจะรู้ หากไม่มีการพิจารณาแยกแยะ"
ท่านก็ได้กล่าวไว้ในกระทู้แล้วไม่ใช่หรือค่ะว่า "แต่จะต้องพิจารณา สภาพลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ในขณะนี้ประกอบด้วยว่า พระธรรมที่ทรงแสดงไว้นั้น เป็นความจริงอย่างไร" โลกในวินัยของพระอริยเจ้ามีเพียง ๖ โลกเท่านั้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฎให้พิจารณาได้จึงมีเพียง ๖ ทาง
"การแยกแยะได้ นั่นคือบรรลุญาณที่ 1 ในบรรดา ญาณ 16"
ข้อนี้เห็นด้วยค่ะ แต่ต้องไม่ใช่เพียงแค่ขั้นคิดนึก
"เพียงกล่าวว่า ไม่มีสัตว์ บุคคล ที่เป็นข้อสรุป ใครบ้างหนอ จะเข้าใจ เอาบทท้ายมาสอน ที่ไหนจะรู้บทต้นได้? ฟังไปจนตาย ไม่แยกแยะ ที่ไหนจะรู้เรื่อง"
แล้วแท้ที่จริงมีสัตว์ บุคคล ตัวตนหรือเปล่าค่ะ? อยากรู้ความจริงหรือว่าอยากจะหลอกตัวเองต่อไปเรื่อยๆ
ในกระทู้ได้กล่าวไว้แล้วว่า "ถ้าผู้ใดไม่ได้ศึกษาพระธรรม ไม่ได้ฟังพระธรรมโดยละเอียด แม้ว่าจะมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตั้งแต่เกิดจนตาย ก็ไม่รู้ความจริงของตา หูจมูก ลิ้น กาย ใจเลย"
เพราะฉะนั้น ถ้ายังไม่เข้าใจก็ควรศึกษาจนกว่าจะเข้าใจ และไม่ควรติดที่พยัญ-ชนะจนเกินไป แต่ควรเข้าให้ถึงอรรถ เพราะสัจจธรรมเป็นความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลง
ปัญญา เป็นตัวแยกแยะครับ ในลักษณะที่เป็นนามธรรม รูปธรรม ไม่ใช่เราไปแยกแยะโดยขั้นคิดนึก ว่านี่เป็นนาม นี่เป็นรูป และวิปัสสนาญาณขั้นที่ 1 ก็ไม่ใช่เป็นเพียงการแยกแยะ ที่เป็นขั้นพิจารณา แต่เป็นปัญญาที่แทงตลอดสภาพธัมมะ โดยแยกออกเด็ดขาดว่าเป็นรูปธรรม หรือ นามธรรม โดยไม่ใช่การพิจารณา หรือคิดนึกธรรมเป็นเรื่องลึกซึ้ง มิใช่จะรู้ด้วยการตรึก ครับ ฟังธัมมะไปเรื่อยๆ นะ เรื่องชื่อหรือขัดเกลา
ขออนุโมทนาครับ