ที่ว่าควรมีสติทั่วพร้อมทุกอิริยาบถก็ถูกต้องครับ แต่ต้องเข้าใจว่า ใครคือผู้ที่มีสติรู้
ทั่วพร้อมทุกอิริยาบถ และประพฤติอย่างไรจึงเป็นผู้มีสติรู้ทั่วพร้อมทุกอิริยาบถ ส่วนว่าเมื่อโกรธก็ให้รู้ ดีใจก็ให้รู้ แบบนี้ก็มีแสดงในสติปัฏฐานจริง แต่ต้องเข้าใจว่ารู้ด้วยสติ-สัมปชัญญะ หรือว่ารู้ด้วยเรารู้ หรืออกุศลรู้ เพราะเด็กๆ ก็รู้ว่าโกรธ ดีใจ เสียใจก็รู้ แต่นั่นไม่ใช่การอบรมเจริญปัญญา ไม่ใช่สติปัฏฐาน เพราะไม่ใช่สติสัมปชัญญะรู้
ข้อความบางตอนจาก มหาสติปัฏฐานสูตร
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 298
อิริยาบถบรรพ
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงจำแนกกายานุปัสสนาโดยทางแห่ง
ลมอัสสาสะปัสสาสะอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะทรงจำแนกโดยทางแห่งอิริยาบถ
จึงตรัสว่า ปุน จปร อีกอย่างหนึ่งดังนี้เป็นต้น. ในอิริยาบถนั้น พึงทราบความ
ว่า แม้สัตว์ดิรัจฉาน เช่น สุนัขบ้าน สุนัขจิ้งจอก เป็นต้น เมื่อเดินไปก็รู้ว่า
ตัวเดิน ก็จริงอยู่ แต่ในอิริยาบถนั้น มิได้ตรัสหมายเอาความรู้เช่นนั้น. เพราะ
ความรู้เช่นนั้น ละความเห็นว่าสัตว์ไม่ได้ เพิกถอนความเข้าใจว่าสัตว์ไม่ได้.
ไม่เป็นกัมมัฏฐาน หรือ สติปัฏฐานภาวนาเลย.
พระพุทธองค์ทรงจำแนกไว้แล้วตั้งสองพันกว่าปียังมาดับความสงสัยผู้ประสงค์รู้ตามพระพุทธองค์ถึงทุกวันนี้
ขมวดคิ้วราวกับรู้ตัวว่ากำลังคิด ...แต่จริงๆ แล้วอาจจะไม่ได้รู้หรือพิจารณาอะไร
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ