ทุกขณะจิตที่ดับไป เป็นการตายจากไปทุกๆ ขณะ และไม่มีวันกลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ ขณะที่จุติจิตเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ก็ไม่ต่างจากจิตดวงอื่นที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น ความตายจึงไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวอย่างที่คิดใช่มั้ยค่ะ แต่ที่เรากลัวตายกันทุกวันนี้เป็นเพราะอะไรทราบมั้ยค่ะ เพราะอวิชชาและโลภะ ทำให้เรากลัวการพลัดพรากจากสิ่งที่ยึดถือว่าเป็นเรา ของเราและสิ่งที่รักใคร่ยินดีพอใจทั้งหลาย ถ้าพิจารณาให้ดี เราคงไม่ได้กลัวตายจริงๆ หรอกค่ะ แต่เรากลัวการพลัดพราก และกลัวการเกิดในภพภูมิใหม่ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นเช่นไร ความกลัวไม่ได้ช่วยให้พ้นทุกข์ แต่เป็นการเพิ่มทุกข์เมื่อทุกข์มี ...หนทางดับทุกข์ก็ต้องมี และมีอยู่ทางเดียวเท่านั้นค่ะ คือการอบรมเจริญปัญญา ด้วยการหมั่นฟังและพิจารณาพระธรรม การเจริญมรณานุสติ คือ การระลึกถึงความตายบ่อยๆ จะทำให้เราเป็นผู้ที่ไม่ประมาทเพราะเมื่อใดที่ประมาท เมื่อนั้นเป็นการเปิดโอกาสให้อกุศล ควรเจริญกุศลทุกๆ ประการเมื่อมีโอกาสนะคะ แล้วเราก็จะสามารถเผชิญหน้ากับความตายด้วยจิตใจที่หวั่นไหวน้อยลง
วัยย่อมเสื่อมลงไปเรื่อย ทุกหลับตา ทุกลืมตา เมื่อวัยเสื่อมสิ้นไปอย่างนี้ ความพลัด-พรากจากกันก็ต้องมีโดยไม่ต้องสงสัย หมู่สัตว์ที่ยังเหลืออยู่ควรเมตตาเอื้อเอ็นดูกันไม่ควรจะมัวเศร้าโศกถึงผู้ที่ตายไปแล้ว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท
เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หน้าที่ 389
๒. ความโศกย่อมเกิดแต่ของที่รัก ภัยย่อมเกิด แต่ของที่รัก ความโศกย่อมไม่มีแก่ผู้ปลดเปลื้องได้ จากของที่รัก ภัยจักมีแต่ที่ไหน. ๓. ความโศกย่อมเกิดแต่ความรัก ภัยย่อมเกิด แต่ความรัก ความโศกย่อมไม่มีแก่ผู้พ้นวิเศษแล้วจาก ความรัก ภัยจักมีแต่ที่ไหน. ๔. ความโศกย่อมเกิดแต่ความยินดี ภัยย่อม เกิดแต่ความยินดี ความโศกย่อมไม่มีแก่ผู้พ้นวิเศษ แล้วจากความยินดี ภัยจักมีแต่ที่ไหน ๕. ความโศกย่อมเกิดแต่กาม ภัยย่อมเกิดแต่ กาม ความโศกย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้พ้นวิเศษแล้วจาก กาม ภัยมีภัยแต่ที่ไหน. ๖. ความโศกย่อมเกิดเพราะตัณหา ภัยย่อมเกิด เพราะตัณหา ความโศกย่อมไม่มีแก่ผู้พ้นวิเศษแล้ว จากตัณหา ภัยจักมีแต่ที่ไหน.
สาธุ
ขออนุโมทนาครับ