โดยปรมัตถ์ไม่มีตัวตน มีการสืบต่อ มีสังสารวัฎ มีผลของกรรม มีกองทุกข์ทั้งปวงจึงสมควรสร้างบุญกุศลเพื่อให้มีการสืบต่อกุศลวิบาก เกิดในสุคติภพตลอดไป ได้ฟังพระธรรม ได้เจริญสติปัฎฐานตลอดไป สมควรไหม ได้หรือไม่?
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
สังสารวัฏฏ์ คือ สภาพธรรมที่เป็นจิต เจตสิก สืบต่อกันไปไม่ขาดสาย จึงเป็น
สังสารวัฏฏ์ ไม่ใช่สัตว์ บุคคลที่เกิดแล้วตายเป็นสังสารวัฏฏ์ เพราะฉะนั้น มีแต่สภาพธรรมทีเป็นปรมัตถธรรม มีจิต เจตสิก ที่เป็นกรรมและผลของกรรม เป็นต้นและที่กล่าวว่ามีกองทุกข์ทั้งปวง กองทุกข์ก็คือขันธ์ 5 เพราะฉะนั้นเมื่อมีการทำกุศลก็ย่อมให้ผลคือเกิดขันธ์ 5 อันเป็นกองทุกข์ นำมาซึ่งทุกข์เพราะมีขันธ์ ผู้มีปัญญาตามความเป็นจริง ย่อมเจริญกุศลเป็นไปเพื่อดับขันธ์ 5 มิใช่เพื่อการสืบต่อแห่งวัฏฏะไม่ใช่เพื่อปรารถนาการเกิดของขันธ์ 5 ดังนั้น เรื่องที่สมควรหรือไม่สมควรจึงเป็นเรื่องของปัญญา ไม่มีใครอนุญาต เพราะทุกอย่างเป็นธรรมและเป็นจิต เจตสิกที่สะสมมาต่างๆ กัน เพราะฉะนั้น จึงแล้วแต่เหตุปัจจัยว่าจิตจะเป็นอย่างไรเมื่อทำกุศลกรรม
ที่สำคัญการฟังพระธรรมการอบรมปัญญา การสนทนาธรรมในขณะนี้ แม้ไมได้ขอ ไม่ได้อธิษฐานให้ได้เกิดในสุคติภูมิ ให้ได้ฟังพระธรรม ให้ได้อบรมเจริญสติปัฏฐานใน อนาคต แต่ขณะที่เข้าใจ ขณะนั้นก็เป็นกุศลกรรม เหตุมีแล้ว ผลย่อมมีในอนาคตเมื่อ กรรมนั้นให้ผล คือได้อยู่ในประเทศอันสมควร ได้พบสัตบุรุษ ได้ฟังพระธรรม และ ขณะที่เข้าใจก็สะสมความเข้าใจแล้ว สำคัญที่สุดอบรมความเข้าใจในขณะนี้ครับ
[เล่มที่ 66] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้าที่ 474
ทำบุญต้องมุ่งนิพพาน
[๘๒๖] คำว่า นรชนพึงเป็นผู้มีใจน้อมไปในนิพพาน ความว่า นรชนบางคนในโลกนี้ ให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถกรรม เข้าไปตั้งไว้ซึ่งน้ำดื่มน้ำใช้ กวาด บริเวณ ไหว้พระเจดีย์ บูชาด้วยเครื่องหอมและดอกไม้ที่พระเจดีย์ ทำประทักษิณพระเจดีย์ บำเพ็ญกุศลที่ควรบำเพ็ญอย่างใดอย่างหนึ่งอันเป็นไตรธาตุ ก็ไม่บำเพ็ญเพราะ เหตุแห่งคติ ไม่บำเพ็ญเพราะเหตุแห่งอุปบัติ ไม่บำเพ็ญเพราะเหตุแห่งปฏิสนธิ ไม่บำเพ็ญเพราะเหตุแห่งภพ ไม่บำเพ็ญเพราะเหตุแห่งสงสาร ไม่บำเพ็ญเพราะเหตุแห่งวัฏฏะ เป็นผู้มีความประสงค์ในอันพรากออกจากทุกข์ มีใจน้อมโน้มโอนไปในนิพพาน ย่อมบำเพ็ญกุศลทั้งปวงนั้น แม้เพราะเหตุอย่างนี้ ดังนี้ จึงชื่อว่านรชนพึงเป็นผู้มีใจน้อมไปในนิพพาน.
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเ้จ้าพระองค์นั้น
ชีวิตประจำวันที่ดำเนินไป ไม่พ้นไปจาก จิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) และ รูป (สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย) ซึ่งเกิดดับสืบต่ออย่างไม่ขาดสาย เป็นอย่างนี้มานานแสนนานนับชาติไม่ถ้วน จนกระทั่งถึงปัจจุบันชาตินี้ นี้คือ สังสาระ หรือ สังสารวัฏฏ์ ซึ่งหาความเป็นสัตว์เป็นบุคคลเป็นตัวตนไม่ได้เลย สังสารวัฏฏ์ จึงเป็นการเกิดดับสืบต่อของสภาพธรรม ซึ่งไม่มีความยั่งยืน จากภพชาตินี้ ไปสู่ภพชาติต่อๆ ไป เมื่อเป็นเช่นนี้จึงควรที่จะได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา เพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง เพราะเหตุว่าการอบรมเจริญปัญญา เป็นหนทางเดียวเท่านั้นที่จะเป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลส ดับกิเลส ดับทุกข์ ไม่มีการเกิดการตายอีกเลย ดังนั้น ถ้าเป็นผู้ที่ได้ศึกษาพระธรรมคำสอนในทางพระพุทธศาสนาด้วยความละเอียด รอบคอบ ก็จะทำให้มีความเข้าใจเจริญขึ้นไปตามลำดับ และประการที่สำคัญ พระธรรม ไม่ใช่เป็นเรื่องที่คิดเอาเอง แต่เป็นเรื่องที่ควรศึกษาให้เข้าใจตามความเป็นจริง
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์เผดิมและอาจารย์คำปั่นครับ
สังสารวัฏฏ์มี เพราะมี จิต เจตสิก รูป
ถ้าไม่มีจิต เจตสิก รูป สังสารวัฏฏ์ก็มีไม่ได้ค่ะ
ความคิดเห็นของ ท่านpaderm ท่านkhampan.a ประเสริฐ และยังมีที่มาจากพระคัมภีร์ด้วย เป็นคติธรรมที่ต้องเข้าใจด้วยปัญญา ขออนุโมทนา
ทางมีแต่ผู้เดินหามีไม่
อนุโมทนา กลับทุกความเห็นครับ สาธุๆ ๆ
ขออนุโมทนาค่ะ