ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
เรื่อง ราหูอมพระจันทร์ มีจริงหรือไม่
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 340
จันทิมสูตร
[๒๔๑] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ . . . กรุงสาวัตถี สมัยนั้น
จันทิมเทวบุตร (พระจันทร์) ถูกอสุรินทราหูเข้าจับแล้ว ครั้งนั้นจันทิมเทวบุตรระลึกถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้กล่าวคาถานี้ในเวลานั้นว่า
ข้าแต่พระพุทธเจ้า ผู้แกล้วกล้า ขอความนอบน้อมจงมีแต่พระองค์ พระองค์เป็นผู้หลุดพ้นแล้วในธรรมทั้งปวง ข้าพระองค์ถึงฐานะอันคับขัน ขอพระองค์จงเป็นที่พึงแห่งข้าพระองค์นั้น.
[๒๔๒] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงปรารภจันทิมเทวบุตร ได้ตรัสกะอสุรินทราหูด้วยพระคาถาว่า
จันทิมเทวบุตร ถึงตถาคตผู้เป็นพระอรหันต์ ว่าเป็นที่พึ่ง ดูก่อนราหูท่านจงปล่อยจันทิมเทวบุตร พระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นผู้อนุเคราะห์โลก.
[๒๔๓] ลำดับนั้น อสุรินทราหู ปล่อยจันทิมเทวบุตรแล้ว เร่งรีบเข้าไปหาท้าวเวปจิตติจอมอสูร แล้วก็เป็นผู้เศร้าสลด เกิดขนพอง ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
[๒๔๔] ท้าวเวปจิตติจอมอสูตร ได้กล่าวกะอสุรินทราหูด้วยคาถาว่าดูก่อนราหู ทำไมหนอ ท่านจึงเร่งรีบปล่อยพระจันทร์เสีย ทำไมหนอ ท่านจึงมีรูปสลด มายืนกลัวอยู่.
[๒๔๕] อสุรินทราหูกล่าวว่า ข้าพเจ้าถูกขับ ด้วยคาถาของพระพุทธเจ้า หากข้าพเจ้าไม่พึงปล่อยจันทิมเทวบุตร ศีรษะของข้าพเจ้าพึงแตกเจ็ดเสี่ยงมีชีวิตอยู่ ก็ไม่พึงได้ความสุข.
อรรถกถาจันทิมสูตร พึงทราบวินิจฉัยในจันทิมสูตรที่ ๙ ต่อไป :-
บทว่า จนฺทิมา คือเทพบุตรผู้สถิตอยู่ ณ จันทรวิมาน.
เรื่อง ทำไม พระราหูจึงอมพระอาทิตย์และพระจันทร์ได้
ขอเชิญคลิกอ่านที่นี่
ราหูกลืนสุริยะได้หรือ (อรรถกถาสุริยสูตร)
เรื่อง พระอาทิตย์และพระจันทร์ เป็นพระโสดาบัน พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 345
ข้อความบางตอนจาก อรรถกถา สุริยสูตร
บทว่า ปช มม ความว่า ได้ยินว่า เทพบุตรแม้ทั้งสองคือ จันทระและสุริยะ บรรลุโสดาปัตติผล ในวันที่ตรัสมหาสมยสูตร. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ปช มม อธิบาย นั่นเป็นบุตรของเรา.
เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านจะมีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง (พระราหู เป็นต้น) หรือมีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งหละครับ (พึ่งด้วยฟังพระธรรมของพระพุทธเจ้าเพราะเป็นศาสดาแทนพระองค์) ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์
ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระองค์
ขอนุโมทนาค่ะ
พระพุทธเจ้าทรงเปิดโลก ให้มนุษย์และเทวดา รวมถึงสัตว์ในอบายภูมิได้เห็นกันค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ในการจะตัดสินอะไรว่าจริงหรือไม่จริงนั้น ผู้นั้นจะต้องศึกษาจริงๆ ในเรื่องนั้น มิใช่ศึกษาเพียงผิวเผิน ไม่เช่นนั้นก็จะเข้าใจผิดในพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่าเรื่องนี้ ไม่มีจริงบ้าง ดังนั้นเมื่อเราศึกษาในพระไตรปิฎกกอย่างจริงๆ ก็จะทำให้เห็นทั้งพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณและพระมหากรุณาคุณ รวมทั้งเห็นถึงความละเอียดลึกซึ้งในพระไตรปิฎกว่า ไม่มีผู้ใดจะมาแต่งเติมได้เลย เพราะว่าข้อความสอดคล้องกันทั้ง 3 ปิฎกครับ ดังนั้นการเชื่อเพราะได้ยินได้ฟังตามกันมาหรือตำรา กับการเชื่อด้วยความเข้าใจในพระธรรมโดยอาศัยพระไตรปิฎกจึงต่างกัน
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
อ่านแล้วสงสัยว่า ทั้งพระอาทิตย์ พระจันทร์ และราหู มีตัวตนเป็นคนด้วยหรือคะ อีกทั้งพระอาทิตย์และพระจันทร์ยังเป็นเทพบุตรและบรรลุโสดาบันด้วย แต่ที่นักวิทยาศาสตร์ส่งยานอวกาศไปบนดวงจันทร์ ก็เป็นเพียงสถานที่เท่านั้นนี่คะ
แม้ชาติกำเนิดเป็นถึงอสูรอย่างอสุรินทราหู มีร่างกายใหญ่ยิ่ง แต่เมื่อยังมีกิเลส ก็ไม่เว้นที่จะยังรักตัวกลัวตาย "เช่นเดียวกับมนุษย์ ผู้ที่รักสุขเกลียดทุกข์" จะหวังพึ่งผู้ที่ยังก่ออกุศล ผู้ที่ยังรักตัวกลัวตาย เพื่อบันดาลให้ผลของกุศลเกิดกับตนง่ายๆ โดยขาดเหตุปัจจัย ไม่สมเหตุสมผล หรือจะพึ่งพระธรรมนำทางสู่ความสุขแท้อันบริสุทธิ์จากกิเลส ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงพร่ำสอนตลอดพระชนม์ชีพหลังจากที่ทรงตรัสรู้เพื่อทรงอนุเคราะห์เกื้อกูลเหล่าเวไนยสัตว์ให้สามารถหลุดพ้น จากการเวียนเกิดเวียนตายอันเนิ่นนานในสังสารวัฎฏ์ ด้วยกำลังแห่งการสั่งสมพระปัญญาคุณ และคุณแห่งพระบารมีอื่นๆ มากล้นทุกประการ แต่ท่านก็เลือกไม่ได้ เมื่อไม่มีท่าน ไม่มีใคร ไม่มีตัวตน มีแต่ธรรมทั้งหลายที่ต่างทำกิจเลือกให้ท่านเชื่ออย่างนั้นนั่นเอง
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาด้วยค่ะ
ตราบใดที่ยังไม่บรรลุคุณธรรมเป็นพระอริยบุคคล ย่อมเป็นธรรมดาที่จะยังมีความสงสัยในพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผมคิดว่า ตั้งแต่เด็กจนโต เรารู้จักโลกเพราะการสั่งสอนอบรมของครอบครัว และสถาบันการศึกษา รวมทั้งบุคลากรทางศาสนา อีกทั้งยังรับรู้ข่าวสารจากสื่อแขนงต่างๆ ทั้งสิ่งพิมพ์วิทยุ โทรทัศน์ และในสมัยปัจจุบันก็มีอินเตอร์เน็ต การรับรู้เหล่านี้ส่งผลให้เรามีความคิดความเชื่อของ "โลก" ว่าเป็นอย่างไร ทั้งๆ ที่ส่วนใหญ่เป็นความเชื่อในเรื่องราวที่ได้รับทราบมา มากเสียกว่าที่เราได้สัมผัสด้วยตัวเอง และก็อย่าลืมว่าสิ่งที่ป้อนผ่านสื่อต่างๆ มาสู่เรานั้น เกือบทั้งหมดมีต้นกำเนิดมาจากปุถุชนผู้มากไปด้วยกิเลส มีความเห็นผิด และยังมีการคาดหวังผลจากข้อมูลที่จะส่งผลไปถึงผู้รับทราบข้อมูล ดังนั้น ผู้ที่ประสงค์จะเข้าใจความเป็นจริงของชีวิตควรพิจารณาความคิดความเชื่อที่มีอยู่จากการเรียนรู้ทางโลก ว่าสิ่งใดเป็นเพียงความคิดความเชื่อ และสิ่งใดที่เป็นความจริงที่เราสัมผัสได้ และขอให้พิจารณาพระธรรมว่า เป็นคำสั่งสอนผู้ที่ปราศจากกิเลส และสมบูรณ์พร้อมด้วยปัญญาและกรุณา มิได้เคยหวังสิ่งหนึ่งสิ่งใดจากสาวก เป็นผู้มีวาจาที่ไม่เป็นสอง คือ ตรัสเช่นใดก็เป็นเช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง และที่สำคัญ ทรงเห็นประโยชน์ในคำสอนนั้น จึงกล่าว
ขออนุโมทนา
ขอเรียนถาม ...
๑. พระจันทร์และพระอาทิตย์ ที่กล่าวในคาถาคือเทวดา ไม่ใช่พระจันทร์และพระอาทิตย์ในระบบสุริยะจักรวาล ใช่หรือไม่.
๒. ปรากฏการณ์ที่เรามองเห็นเป็นเรื่องของรูป และผลจากการเกิดนั้น ไม่เหมือนกับปรากฏการณ์ที่กล่าวในคาถา (คห.๔) ใช่หรือไม่
ถ้าจะสรุปว่า คาถานี้เป็นเรื่องพระพุทธวิสัย (อจินไตย) แต่สาระสำคัญคือ "พระพุทธคุณ"จะถูกต้องหรือไม่ กรุณาชี้แนะด้วยค่ะ.
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ความเห็นที่ 16
ข้อ ๑ พระจันทร์และพระอาทิตย์ในระบบสุริยะ เป็นรูปธรรม ไม่มีชีวิต มีจริง แต่พระอาทิตย์ก็มีเทวดาที่ควบคุมเป็นไป เช่นกัน คือเป็นเทวดาที่ชื่อว่า สุริยเทพบุตร พระจันทร์ก็เช่นกัน มีเทวดาที่คอยควบคุม ชื่อว่า จันทิมเทพบุตร ดังนั้นต้องแยกระหว่างพระอาทิตย์และพระจันทร์ที่เป็นรูปธรรม กับพระจันทร์และพระอาทิตย์ที่เป็นเทวดาครับ แต่ก็มีจริงทั้ง ๒ ครับ
ข้อ ๒ ปรากฏการณที่มองเห็นนั้น อาจเกิดจากเทวดาที่เป็นพระราหูก็ได้หรือ เป็นตามกฎธรรมชาติที่เป็นไปอย่างนั้นก็ได้ เป็นไปได้ทั้ง ๒ อย่างครับ ดังเช่น ฝนจะตกนั้นด้วยเหตุหลายประการ เพราะเป็นธรรมชาติของเขาอยู่แล้วก็ได้ หรือเพราะเทวดาที่ควบคุมฝน บันดาลฝนก็ได้ ฉันใด แม้เหตุการณ์ที่ปรากฏที่ท้องฟ้าก็เช่นกันครับ ขอยกตัวอย่างเรื่องฝนตกเพราะเหตุแห่งธรรมชาติและเหตุของเทวดา ลองอ่านดูนะ
ขอเชิญคลิกอ่านที่นี่
ฝนที่เกิดขึ้นด้วยอานุภาพเทวดา (อรรถกถาวาตวลาหกสูตร)
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ความเห็นที่ 17 พระราหูมีจริง เป็นเทวดา แต่ที่บดบังดวงจันทร์ด้วยความเป็นธรรมชาติอย่างนั้นก็มี ดังนั้น ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจึงเป็นไปได้ทั้งเรื่องเทวดา (อสุรินเทวดา) บดบังพระอาทิตย์หรือพระจันทร์ หรือเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติก็ได้ครับ ดังเช่นเรื่องของฝน ที่เกิดจากธรรมชาติหรือเกิดเพราะอำนาจเทวดาก็ได้ครับ ดังอธิบายในความเห็นที่ ๑๘ แล้ว
ขออนุโมทนาที่สนใจนะ ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
สิ่งที่ไม่รู้ ไม่ได้หมายความว่า ไม่มี
มิลินทปัญหา
ปัญหาที่ ๓
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน พระอาทิตย์บางคราวก็ฉายแสงอ่อนลงมิใช่หรือ
พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร เป็นดังนั้น
ม. ด้วยอะไรนะเธอ จึงเป็นเช่นนั้น
น. เป็นด้วยพระอาทิตย์ถูกโรคเบียดเบียน ขอถวายพระพร โรคที่เบียดเบียนพระอาทิตย์นั้น มีอยู่ ๔ อย่างคือ ควันไฟ ๑ เมฆ ๑ หมอก ๑ ราหู ๑ (เรื่องพระราหู ที่เป็นโรคของพระอาทิตย์พระจันทร์ นี้ก็คือ เรื่องสุริยคราส จันทรคราส เรื่องนี้แต่ก่อนเชื่อกันว่า เป็นเพราะพระราหูอมพระอาทิตย์ พระจันทร์ไว้ แม้ในสังยุตตนิกาย สุริยสูตร จันทิมสูตรก็ยังกล่าวความข้อนี้ไว้ และว่า พระราหูต้องปล่อยเพราะพุทธานุภาพ ก็การที่เรื่องไม่เป็นจริงเข้ามาแทรกแซงอยู่ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาได้เช่นนี้ คงจะเป็นด้วยท่านผู้ร้อยกรองคัมภีร์ชั้นหลังๆ ซึ่งมีความเชื่อถือลัทธิตามพื้นเมืองมาแต่งแทรกเข้าไว้ เพราะการถือพระพุทธศาสนายุคหลังย่อมมีเหตุผันแปรไปต่างๆ ดังพระมติที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงค์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงประทานไว้ในหนังสือตำนานพุทธเจดีย์สยามว่า " เมื่อพุทธกาลล่วง ๑๐๐๐ ปี การถือพระพุทธศาสนาที่ในอินเดียเกิดผันแปร เหตุด้วยการแข่งขันในระหว่างพวกที่สอนศาสนาพราหมณ์ กับพวกที่สอนพระพุทธศาสนามีมาช้านาน จนชาวอินเดียมักถือพระพุทธศาสนากับศาสนาพราหมณ์ระคนปนกันไป ดังปรากฏในจดหมายเหตุของหลวงจีนฮ่วนเจียง (หรือยวนฉ่าง) ซึ่งไปถึงอินเดียเมื่อ พ.ศ. ๑๑๗๒ กล่าวว่า ในสมัยนั้น พระมหากษัตริย์พระองค์หนึ่งเป็นพุทธศาสนูปถัมภกทรงพระนามว่า พระเจ้าสีลาทิตย์ครองเมืองกันยากุพช์ (เดี๋ยวนี้เรียกว่ากาโนช) เป็นราชธานีอยู่ในมัชฌิมประเทศ ให้ทำการสังคายนา แต่งานนั้น วันแรกแห่พระพุทธรูปออกมาเป็นประธาน วันที่สองแห่รูป พระอาทิตย์ออกมาเป็นประธาน ถึงวันที่สามแห่รูปพระอิศวรออกมา เป็นประธาน ดังนี้ ตามพระมติที่ทรงแสดงไว้นี้ ย่อมนำให้เห็นว่า ในระหว่างแข่งขันเอาชนะเอาแพ้กันเช่นนั้น ลัทธิต่างๆ น่าจะได้ช่องเข้ามาแทรกแซงอยู่ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาอย่างถนัดใจแล้ว และนำสืบมาโดยความไม่รู้สึก อาศัยเหตุดังกล่าวนี้แล เรื่องที่มีกะพี้ติดอยู่ด้วยจึงมีแทรกอยู่ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาแม้ชั้นบาลี)
น. เมื่อโรค ๔ อย่างนี้อย่างใดอย่างหนึ่งไปบังแสงพระอาทิตย์ๆ ก็ฉายมายังเราได้น้อยเมื่อเป็นดังนั้นแสงพระอาทิตย์ก็อ่อนลง
ม. เข้าใจละ
จบสุริยโรคภาวปัญหา
"เท็จจริงประการใด ลองอ่านแล้วพิจารณาดูนะครับ"
สาธุ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนรัย
เรื่อง พระอาทิตย์ฉายแสงน้อยเพราะอะไร มิลินทปัญหา - หน้าที่ 401
สุริยโรคภาวปัญหา ที่ ๓
สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ปิ่นกษัตริย์ จึงมีพระราชโองการตรัสถามต่อไปอีกว่า ยทิภนฺเต นาคเสน ข้าแต่พระนาคเสนผู้ปรีชา ถ้าพระอาทิตย์แผดแสงแรงกล้าเป็นนิตย์ ก็เหตุไรในบางทีจึงแผดแสงอ่อน บางทีจึงแผดแสงกล้าเล่า พระผู้เป็นเจ้า พระนาคเสนจึงถวายพระพรวิสัชนาว่า จตฺตาโรเม มหาราช ดูรานะบพิตรผู้เป็นราชาแห่งชาวสาคลนครผู้ประเสริฐ โรคของพระอาทิตย์มีอยู่ ๔ อย่าง พระอาทิตย์ถูกโรคใดโรคหนึ่งเบียดเบียนแล้วย่อมแผดแสงน้อยไป โรค ๔ อย่างนั้น คือหมอกอย่าง ๑ ควันอย่าง ๑ เมฆอย่าง ๑ ราหูอย่าง ๑ พระอาทิตย์เมื่อโรค ๔ อย่างใดอย่างหนึ่งเบียดเบียน ย่อมแผดแสงอ่อนคือ เมื่อถูกหมอกเบียดเบียนก็แผดแสดงอ่อน เมื่อถูกควันเบียดเบียนก็แผดแสงอ่อน เมื่อถูกเมฆเบียดเบียดก็แผดแสงอ่อน เมื่อถูกราหูเบียดเบียนก็แผดแสงอ่อนดังนี้ แสดงให้เห็นว่า พระอาทิตย์จะมีแสงน้อยก็เพราะปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและอสุรินทราหู (เทวดา)
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ไม่มีอะไรยิ่งไปกว่าสัพพัญญุตญาณของพระพุทธเจ้าค่ะ
มีแล้วยังไง ไม่มีแล้วยังไง มีประโยชน์อะไรที่คิดว่ามีหรือไม่มี รู้แล้ว ปัญญาเจริญขึ้นไหม แล้วสิ่งที่มีขณะนี้คืออะไร ไม่ค้นคว้าบ้างหรือ
สิ่งใดที่ทรงแสดงย่อมเป็นประโยชน์ ไม่เป็นประโยชน์ ย่อมไม่แสดงแม้ศรัทธาในพระองค์ กุศลจึงควรเจริญทุกประการ ขออนุโมทนา
ขออนุโมทนาค่ะ
ยินดีในกุศลจิตค่ะ