เรียนถาม
เคยฟังท่านอาจารย์สุจินต์ บรรยายถึงบุคคลหนึ่ง ชื่อ นางมัลลิกา หรือพระนางมัลลิกาที่หลังจากฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้วเมื่อตายลงยังไปสู่นรก ขอความกรุณาขยายเรื่องราวและสิ่งที่ท่านอาจารย์ต้องการจะสื่อถึงผู้ฟังด้วยค่ะ ดิฉันจำไม่ได้ว่าฟังจากซีดีแผ่นไหน
ขอบพระคุณอย่างสูง
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระนางมัลลิกาเทวี เป็นพระมเหสีของพระเจ้าปเสนทิโกศล วันหนึ่ง เมื่อไปอาบน้ำ ทำกรรมไม่ดี มีความชื่นชมในทางที่ไม่ดีกับสุนัขตัวโปรด พระราชามองเห็นที่หน้าต่าง จึงด่า ว่าพระนางมัลลิกา พระนางมัลลิกา โกหกพระราชา ว่าอยู่คนเดียว ไม่ได้ทำ และ โกหกพระราชาว่า หากใครอาบน้ำตรงนั้น ก็จะเห็นว่า ทำกรรมไม่ดี ทำความชื่นชมกับสัตว์ทั้งนั้น พระราชาหลงเชื่อ จึงเชื่อพระนางมัลลิกา พระนางมัลลิกา นึกในใจว่า เราทำกรรมไม่ดีแล้ว โกหกพระราชา เพราะความที่พระราชา เป็นคนโง่เขลา แต่เราทั้งรู้อยู่แก่ใจว่าทำบาป พระพุทธเจ้าก็ต้องทรงทราบ พระอัครสาวกก็ทราบ เป็นต้น เกิดความเดือดร้อนใจ พระนางมัลลิกา ทำอสทิสทาน คือ ทานอันเลิศ ไม่มีทานอื่นยิ่งกว่า กับ พระราชา ถวายพระพุทธเจ้าและพระภิกษุสงฆ์ และทั้งมีศรัทธาในการฟังพระธรรม แต่ เพราะกรรม คือ การโกหกพระราชา จึงเดือดร้อนใจ ไม่นึกถึงบุญที่ทำ นึกถึงกรรมที่ไมดี มีการโกหกพระราชา นึกถึงบ่อยๆ ก่อนตาย เมื่อตายไป จึงตกนรกอเวจี ๗ วัน ตามวัน เวลาของโลกมนุษย์ครับ เพราะกรรม คือ การโกหกพระราชา และนึกถึงกรรมนั้นบ่อยๆ เมื่อใกล้ตายนั่นเองครับ แต่พอหลังจาก ๗ วัน วันที่ ๘ พระนางมัลลิกา ก็จุติจากนรก ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิต ครับ
ซึ่ง พระราชาเศร้าโศกมาก ที่พระนางมัลลิกาตาย เมื่อวันแรกที่พระนางตายไป ก็อยากจะไปทูลถามที่เกิดของนาง กับพระพุทธเจ้า เมื่อไปถึง พระพุทธเจ้าทรงบันดาล ให้ลืมที่จะถาม จนครบ ๗ วัน จึงไม่บันดาลให้ลืม เพราะพระองค์คิดว่า หากพระราชา ทราบว่า พระนางตกนรก จะกลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ เพราะอาจคิดว่า คนทำบุญเห็นปานนี้ ยังจะต้องตกนรกอีก ทำให้อาจจะเลิกทำบุญและเห็นผิดได้ พอครบ ๗ วัน วันที่ ๘ พระราชาทูลถาม พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า นางไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิตแล้ว พระราชาก็เลยตรัสว่า สมควรแล้วกับผู้ทำบุญมาก และพระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงว่า เป็นธรรมดาของโลกที่จะต้องจากไปเป็นธรรมดา แม้ราชรถยังวิจิตร คร่ำคร่าได้
พระพุทธเจ้าตรัสพระคาถา ว่า
" ราชรถ ที่วิจิตรดี ยังคร่ำคร่าได้แล, อนึ่งถึงสรีระ ก็ย่อมถึงความคร่ำคร่า, ธรรมของสัตบุรุษหาเข้าถึงความคร่ำคร่าไม่, สัตบุรุษทั้งหลายแล ย่อมปราศรัยกับด้วยสัตบุรุษ."
ธรรมของสัตบุรุษ คือ พระนิพพาน ไม่ถึงความคร่ำคร่า เก่า หรือแตกดับเลย เพราะพระนิพพานไม่เกิดขึ้นและดับไปนั่นเอง จึงไม่ถึงความคร่ำคร่า ครับ
เชิญคลิกอ่านเรื่องราวของพระนางมัลลิกาเทวีโดยตรงจากพระไตรปิฎก ได้ที่ลิงก์นี้ครับ
[เล่มที่ 42] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓- หน้าที่ 166
จากเรื่องนี้ ต้องการสื่อให้ทราบว่า แสดงให้เห็นถึง กำลังของกิเลสที่เกิดขึ้นได้ ล่วงศีลได้เป็นธรรมดาของปุถุชน และความไม่แน่นอนของผู้ที่เป็นปุถุชน ในภพหน้าที่จะเกิด คือ ยังไม่พ้นจากอบายภูมิทั้ง ๔ มี นรก เป็นต้นเลย ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชน ก็ยังไม่พ้นจากนรก ผู้ที่จะไม่ไปอบายภูมิ คือ พระโสดาบันเท่านั้น และ สิ่งที่จะสื่ออีกประการหนึ่ง คือ เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ควรประมาทอกุศลที่ทำก็สามารถให้ผลได้ และ ไม่ประมาทในการเจริญกุศลทุกประการ เพื่อเป็นเสบียงในการเดินทางไกลในสังสารวัฏฏ์และเจริญอบรมปัญญา ด้วยการศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม ตามกำลังเท่าที่ทำได้ ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ถ้ายังไม่รู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคล ก็ย่อมมีโอกาสที่จะเกิดในอบายภูมิได้ เพราะเหตุว่าโลภะ โทสะ โมหะ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ วันหนึ่งๆ มีมากมายเหลือเกิน นี้แหละที่จะเป็นเชื้อที่จะนำไปสู่อบายภูมิได้ เพราะเหตุว่า ถ้าอกุศลจิตนั้นมีกำลังมากขึ้นทำให้กระทำอกุศลกรรม ก็ย่อมจะเป็นเหตุให้เกิดในอบายภูมิได้
ชีวิตประจำวันที่ดำเนินไปในชาตินี้ รวมไปถึงในชาติก่อนๆ ที่ผ่านมา ด้วย ก็ไม่ทราบว่าได้กระทำอกุศลกรรม มาแล้วมากน้อยเพียงใด ถ้ายังไม่รู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคล แล้ว ถ้ากรรมที่เป็นอกุศลให้ผล ทำให้ปฏิสนธิในอบายภูมิ มีนรก เป็นต้น นั่นหมายถึงว่า ก็จะหมดโอกาสที่จะอบรมเจริญปัญญาจนกระทั่งสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้
เป็นที่ทราบกันดีว่า คงไม่มีใครอยากไปเกิดในอบายภูมิเป็นแน่ แต่จะทำอย่างไรได้ ถึงจะไม่อยากไปเกิด แต่เมื่อได้กระทำทุจริตกรรมแล้ว ย่อมเป็นเหตุให้ไปเกิดในอบายภูมิได้ ซึ่งจะทำให้ได้รับความทุกข์ทรมานมากมายทีเดียว แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าเป็นผลของกุศลกรรมแล้ว จะไม่เป็นเหตุให้ไปเกิดในอบายภูมิเลย มีแต่จะเป็นเหตุให้ไปเกิดในสุคติภูมิเท่านั้น อกุศล กับ กุศล จึงแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และ ไม่ปะปนกันด้วย
ดังนั้น จึงแสดงให้เห็นถึงความต่างกันระหว่างอกุศลธรรม กับ กุศลธรรมว่า ให้ผลที่ต่างกันอย่างชัดเจน เพราะฉะนั้นแล้ว ควรที่จะสะสมแต่กุศลธรรม (ความดี) เท่านั้น พร้อมทั้งฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับด้วย กว่าที่อกุศลทั้งหลายทั้งปวงจะค่อยๆ ละคลายลงไปได้ ก็ด้วยความเข้าใจเพิ่มขึ้น นั่นเองครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ