โลกในวินัยของพระอริยะคืออะไร
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาัสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอเชิญอ่านคำบรรยายท่าน อ.สุจินต์ในประเด็นนี้ ครับ
ก่อนอื่นควรเข้าใจความหมายของคำว่า “โลก” ในวินัยของพระอริยเจ้า ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงในสังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค ฉันนวรรคที่ ๔ ปโลกสูตร ซึ่งมีข้อความว่า ...
(๑๐๑) ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่เรียกกันว่า โลกๆ ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ จึงเรียกกันว่า “โลก” พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกร อานนท์ สิ่งใดมีความแตกสลายเป็นธรรมดา นี้เรียกว่า “โลก” ในอริยวินัย ก็อะไรเล่ามีความแตกสลายเป็นธรรมดาจักขุแลมีความแตกสลายเป็นธรรมดา รูปมีความแตกสลายเป็นธรรมดา จักขุวิญญาณมีความแตกสลายเป็นธรรมดา จักขุสัมผัสมีความแตกสลายเป็นธรรมดา สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย มีความแตกสลายเป็นธรรมดา ฯลฯ ตลอดไปจนถึงทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
เป็นธรรมดาของพระอริยเจ้า แต่ไม่ใช่ธรรมดาสำหรับผู้ที่ยังไม่ประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปของสภาพธรรม ฉะนั้น จะเห็นได้ว่า ผู้ที่จะเป็นพระอริยบุคคลต้องประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมที่ปรากฏจริงๆ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกร อานนท์ สิ่งใดมีความแตกสลายเป็นธรรมดานี้เรียกว่า “โลก” ในอริยวินัย โลก คือ ทุกสิ่งซึ่งเกิดดับ
ฉะนั้น สภาพธรรมซึ่งไม่เกิดดับเท่านั้นที่ไม่ใช่โลก เป็นสภาพธรรมที่พ้นจากโลกเหนือโลกเป็นโลกุตตระ คือ พระนิพพาน
บางท่าน อาจคิดว่า ชีวิตประจำวัน ทุกๆ วันนี้คงจะต่าง กับชีวิตประจำวัน ในครั้งพุทธกาลเพราะโลกเปลี่ยนไป สถานที่ต่างๆ เปลี่ยนไป เครื่องใช้ต่างๆ ก็เปลี่ยนไป ฯลฯ ถึงแม้ว่าโลกจะเปลี่ยนไปมากมายสักเท่าไร ก็ตามแต่ โลก ในพระวินัย ของพระอริยเจ้า ไม่เปลี่ยนเพราะว่า ไม่ว่ายุคสมัยใด ก็มีเพียง โลกที่ปรากฏ เพียง ๖ โลก หรือ ๖ ทาง เท่านั้น คือ "โลก" ที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
โลก ในพระวินัย ของพระอริยเจ้า เช่น สภาพธรรมที่ เย็น หรือร้อน อ่อน หรือแข็ง ก็เป็นสภาพธรรมที่ปรากฏให้รู้ได้ เฉพาะทางกาย เป็นต้นเกิดขึ้น ปรากฏให้รู้ได้ แล้วก็ดับไป ตามเหตุปัจจัยไม่ว่าใครจะเรียก หรือ ไม่เรียก ว่าอะไร ก็ตาม สภาพธรรมนั้น เป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น
ไม่มีสิ่งใด ที่ท่านจะยึดถือ ว่า เป็นตัวตน ได้เลยแต่เพราะความไม่รู้ในความจริง ของสภาพธรรม ที่เพียงเกิดขึ้น และดับไป อย่างรวดเร็ว
ชีวิตของบุคคล ในครั้งอดีตซึ่งต้องเหมือนกับชีวิตของบุคคล ในปัจจุบันนี้กิเลสของบุคคลในครั้งอดีต ก็มีมากไม่น้อยทีเดียวถ้าอ่านดูในพระสูตร ก็จะเห็นได้ว่า มีไม่น้อยเลยแต่ด้วยความกรุณา ของท่านพระเถระเหล่านั้นท่านจึงแสดงชีวิตจริงของท่าน ทั้งๆ ที่มีกิเลสมากอย่างนั้นเพื่อเป็นตัวอย่างให้แก่คนในสมัยไหนๆ ซึ่งก็เป็นคนที่มีกิเลส ทั้งนั้น..
ความหนาแน่นในกิเลส ของคนในสมัยพุทธกาลก็ไม่ได้น้อยกว่า กิเลสของคนในสมัยนี้ แต่คนที่มีกิเลสในครั้งพุทธกาลสามารถที่จะละคลายกิเลสได้หมดสิ้นเพราะได้อบรมเจริญอินทรีย์มาแล้ว จึงละความเห็นผิด ละความยึดมั่นในนาม และ รูป ได้ด้วยการอบรมเจริญหนทางปฏิบัติ ที่ถูกต้อง
จึงไม่ควรที่จะละเลยการระลึก ศึกษา และ พิจารณาสภาพของ นามธรรม และ รูปธรรมที่เกิดขึ้น และปรากฏแก่ตัวเองจริงๆ เพื่อละความยึดถือในนามธรรม และ รูปธรรม ว่าเป็นตัวตนมิฉะนั้นแล้ว ก็อาจจะคิดท้อถอย ว่าคนในสมัยนี้ คงจะละกิเลสไม่ได้คงจะละได้ เฉพาะคนในสมัยพุทธกาลเพราะว่าคนในสมัยนั้น มีโอกาสได้ฟังธรรมจากพระโอษฐ์ของพระผู้มีพระภาค
แท้จริงแล้ว คนในสมัยนี้ กับ คนในสมัยพุทธกาลก็มีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจ และ มีกิเลส เหมือนกันเพราะฉะนั้น ก็ไม่ควรคิดว่า สมัยนี้จะหมดโอกาสหรือว่าสุดวิสัย ที่จะอบรมเจริญสติ อบรมเจริญปัญญา
ขออนุโมทนา
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอเชิญศึกษาเพิ่มเติมจากคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ
โลกในวินัยของพระอริยะ ๑
โลกในวินัยของพระอริยะ ๒
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ