ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ข้อความบางตอนจาก แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ ๘๒๔
บรรยายโดย ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
เป็นตัวตนที่เปลี่ยน แม้ว่าสติเกิด
มีท่านผู้ฟังที่ได้ฟังเรื่องการอบรมเจริญสติปัฏฐานท่านฟังมาหลายปี แล้วบางท่านก็เกิดท้อใจ ที่ท่านฟังไม่รู้เรื่อง ท่านบอกว่าบางครั้งไม่เข้าใจจริงๆ เวลาที่ฟังแต่ว่าท่านก็ฟังต่อไปอีกๆ จนในที่สุดวันหนึ่ง ท่านก็บอกว่าท่านเข้าใจแล้วว่า สติปัฏฐานคืออย่างไร และสิ่งที่สติปัฏฐานระลึกรู้เป็นนามธรรมและเป็นรูปธรรมนั้นต่างกันอย่างไร (ใน) ขั้นเข้าใจ หลังจากที่ได้ฟังมานาน แล้วเวลาที่สติของท่านเกิดบ้าง จะทำให้ผู้ที่อบรมเจริญสติปัฏฐานเป็นผู้ที่ละเอียดจริงๆ
ท่านสังเกตแล้ว ท่านรู้ว่า เวลาที่สติเกิด แต่ยังมีความเป็นตัวตนอยู่ ถ้าขณะนั้นเป็นอกุศล จะมีความเป็นตัวตนที่เปลี่ยนจากอกุศลเป็นกุศล แสดงให้เห็นว่ายังไม่ใช่การประจักษ์ชัดในลักษณะของนามธรรม ที่ไม่ใช่สัตว์บุคคล ตัวตน แต่แม้กระนั้น สติที่ระลึกได้ในธรรมที่เป็นอกุศล แล้วเกิดเปลี่ยนไปเป็นกุศล ท่านผู้นั้นก็ยังรู้ว่า ขณะนั้นหนะ เป็นตัวตนที่เปลี่ยน แม้ว่าสติเกิด
เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า การอบรมเจริญสติปัฏฐานจะเกื้อกูลกับกุศลธรรมทุกขั้น จะเกื้อกูลกับสติที่จะให้รู้ตามความเป็นจริงว่า ขณะนั้นเป็นสติขั้นไหน ทันที
เพราะฉะนั้น ถ้าไม่พิจารณาจริงๆ จะประจักษ์การเกิดและดับไปของสภาพธรรมแต่ละขณะได้อย่างไร เพราะสภาพธรรมแต่ละอย่างเกิดดับสืบต่อกันเร็วมาก เช่น ทางตา เห็นแล้วก็มีการคิดนึกสืบต่อไปทันที เพราะฉะนั้น การที่จะประจักษ์การเกิดดับได้ ต้องรู้สภาพธรรมที่ต่างกันเสียก่อนว่า ขณะที่เห็นจริงๆ ไม่ใช่ขณะที่กำลังคิดหรือนึกถึง
ท่านพระจุลลปันถกเถระได้กล่าวไว้ว่า
เรานั้นมีอายุ ๑๘ ปี ออกบวชเป็นบรรพชิต เรายังไม่ได้คุณวิเศษในศาสนาของพระศากยบุตร. เรามีปัญญาเขลา เพราะเราอบรมอยู่ในบุรี พระพี่ชายจึงขับไล่เราว่า จงไปสู่เรือนเดี๋ยวนี้.
เราถูกพระพี่ชายขับไล่แล้วน้อยใจ ได้ยืนอยู่ที่ซุ้มประตูสังฆาราม ไม่หวังในความเป็นสมณะ.
ลำดับนั้น พระศาสดาเสด็จมา ณ ที่นั้นทรงลูบศีรษะเรา ทรงจับเราที่แขน พาเข้าไปในสังฆาราม
พระศาสดาทรงอนุเคราะห์ ประทานผ้าเช็ดพระบาทให้แก่เราว่า จงอธิฐานผ้าอันสะอาดอย่างนี้ วางไว้ ณ ส่วนข้างหนึ่ง. เราจับผ้านั้นด้วยมือทั้งสองแล้วจึงระลึกถึงดอกบัวได้
จิตของเราปล่อยไปในดอกบัวนั้น เราจึงได้บรรลุพระอรหัต. เราถึงที่สุดในฌานทั้งปวงในกายอันบังเกิดแล้วแต่ฤทธิ์อันสำเร็จด้วยใจ กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้ว ไม่มีอาสวะอยู่
คุณวิเศษเหล่านี้คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และ อภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้าเราได้ทำเสร็จแล้ว ฉะนี้แล
ทราบว่า ท่านพระจุลลปันถกะได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการ ฉะนี้แล.
(ข้อความบางตอนจาก) จุลลปันถกเถราปทานที่ ๔ (๑๔) ว่าด้วยบุพกรรมของพระจุลลปันถกเถระ
[เล่มที่ 71] ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๒ - หน้าที่ ๑๘
ขออุทิศส่วนกุศลแด่สรรพสัตว์
สาธุ
ทันทีที่เห็นก็ติดข้องแล้วค่ะ ไม่ว่าจะเป็นไปในโลภะหรือโทสะหรือโมหะ ขณะนี้เป็นธรรมะที่มีจริงทั้งหมด เกิดก็จริง ดับก็จริง แต่ไม่รู้ เพราะอวิชชา ต้องอาศัยการฟัง การอบรม และความเข้าใจถูกจะนำไปสู่การปฏิบัติที่ถูก เป็นหนทางให้ถึงการดับกิเลสค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ