จากกรณีเที่ยวบิน MH17 ของสายการบิน Malaysia Airline ตกอย่างกะทันหัน เมื่อไม่นานนี้ จะเห็นความไม่แน่นอนของชีวิต พบกันเช้านี้ อาจไม่พบกันในวันพรุ่งนี้ก็ได้ครับ อยากให้ท่านวิทยากรช่วยค้นพระพุทธพจน์เป็นข้อคิดเตือนใจในเรื่องนี้ ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
มรณะหรือความตายนั้นมี ๓ ประเภท คือ
- ขณิกมรณะ คือ การเกิดขึ้นและดับไปของสังขารธรรมทั้งหลาย
- สมมติมรณะ คือ ความตายในภพหนึ่งชาติหนึ่ง
- สมุจเฉทมรณะ คือ ปรินิพพาน การตายของพระอรหันต์
ทุกคนที่เกิดมา ล้วนมีความตายเป็นที่สุดทั้งนั้น เมื่อตายไปแล้วไม่มีอะไรติดตัวไปเลยแม้แต่อย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าอาภรณ์ ทร้พย์สินเงินทอง ญาติสนิทมิตรสหายผู้เป็นที่รัก, บุคคลผู้ที่เคยรู้จักกัน ก็จะไม่ได้เห็น ไม่ได้รู้จักกันอีกแล้วในชาตินี้ เพราะต้องจากทุกสิ่งทุกอย่างไป
เมื่อละจากโลกนี้ไปแล้ว สิ่งที่สั่งสมอยู่ในจิตของแต่ละบุคคล ไม่หายไปไหน ไม่ว่าจะเป็นกุศลหรืออกุศล และยังจะต้องสั่งสมต่อไปอยู่เรื่อยๆ ในสังสารวัฎฎ์
สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง มีความตายเป็นธรรมดา มีความตายเป็นที่สุด ไม่สามารถล่วงพ้นความตายไปได้ ถึงอย่างไรก็จะต้องถึงวันนั้นอย่างแน่นอน แต่ช่วงเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่นี้ เป็นช่วงเวลาที่สำคัญ ควรที่จะเป็นโอกาสของการสั่งสมคุณงามความดี เจริญกุศลประการต่างๆ ตามกำลัง รวมถึงการศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สั่งสมความเข้าใจถูก เห็นถูก ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ก่อนที่วันนั้นจะมาถึง ครับ
ขออนุญาตเพิ่มเติมข้อความบางตอน
จากคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
"...ความจริง ความตายเร็วที่สุด ก่อนตายอาจจะนอน ป่วย ไข้ หรือ สนุกสนานร่าเริง แต่พอถึงเวลาตายก็ตายได้ แม้ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยก็ตายได้ เพราะฉะนั้น ความตายตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ชั่วขณะจิต ดังนั้น ใครจะรู้ว่าเมื่อใด ถ้าคิดว่าก่อนตายจะทำอย่างไร จงทำเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ แต่ว่าไม่มีใครจะไปทำอะไรได้ เพราะปกติ คนอยากจะมีกุศลทุกวัน แต่ตามเหตุ พอมีเหตุของอกุศล อกุศลก็เกิด... และไม่ต้องคร่ำครวญว่า อกุศลมากเหลือเกินเพราะเหตุว่า ถ้ารู้เรื่องเหตุและผลแล้ว และรู้ว่ากุศลน้อย ก็ต้องอบรมเจริญกุศลโดยไม่ประมาท เพราะฉะนั้น ถ้ากลัวเกิดในอบายภูมิ ต้องเป็นผู้ไม่ประมาทในการอบรมเจริญกุศล โดยเฉพาะการเจริญปัญญา เพราะพระอริยบุคคลเท่านั้น ที่จะไม่เกิดในอบายภูมิ แต่ถ้าไม่เป็นพระอริยบุคคล อกุศลกรรมที่มี ที่ได้กระทำแล้ว ไม่เฉพาะที่ทำในชาตินี้ ...อาจจะเป็นชาติไหนๆ ก็ได้จากอดีตหลายแสนโกฏิกัปป์ก็อาจจะมาทำให้เกิดในชาตินี้ได้ แต่เรื่องที่จะทำอะไรก่อนตาย ไม่มีใครทำได้จริงๆ เหมือนกับขณะนี้จะรอทำไมให้ถึงก่อนตาย ทำเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ทำให้จิตเป็นกุศลเสียเดี๋ยวนี้ ให้ปัญญาเกิดเสียเดี๋ยวนี้แทนที่จะไปรอทำก่อนตาย..."
ส่วนพระไตรปิฎก ที่เกี่ยวกับความตาย มีหลายเรื่อง เชิญคลิกดังนี้ ครับ
ภัทเทกรัตตสูตร .. ใครเล่าจะรู้ความตายในวันพรุ่ง
อายุของสัตว์ทั้งหลายเป็นของน้อย [จิตตสัมภูตชาดก]
ใครจะรู้เวลาตาย
ทุกคนจะต้องตายควรเมตตากัน [อนนุโสจิยชาดก]
แม้อยู่ได้ถึงชราก็ต้องตาย
อายุน้อย [ปฐมอายุสูตร]
...ขออนุโมทนา ครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ไม่ว่าอยู่ที่ไหน จะเป็นบนอากาศ ในน้ำ บนบก เมื่อถึงคราวที่กรรมจะให้ผล ก็ไม่สามารถรอดพ้นไปได้เลย กรรมเที่ยงตรงยุติธรรมที่สุดในการให้ผล ไม่พ้นจากธรรม เพราะถ้ากล่าวถึงการตาย ไม่ว่าจะตายในลักษณะใด ก็ต้องเป็นธรรมซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้นคือเป็นจิตที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้นในชาติหนึ่งๆ เป็นจิตขณะสุดท้ายที่เกิดขึ้นแล้วดับไป จิตขณะสุดท้ายของภพนี้ชาตินี้ ทำกิจจุติคือทำกิจเคลื่อน หรือพรากให้สิ้นสุดสภาพความเป็นบุคคลนี้ในชาตินี้จะกลับมาสู่ความเป็นบุคคลนี้อีกไม่ได้เลย
ที่น่าพิจารณา ซึ่งจะเป็นประโยชน์เกื้อกูลในชีวิตประจำวัน คือ ความตาย เป็นความจริงที่ทุกคนหลีกหนีไม่พ้น เมื่อถึงคราวตาย ใครๆ ก็ช่วยไม่ได้ ใครๆ ก็ต้านทานไว้ บุคคลที่เกิดมาแล้ว ย่อมไม่พ้นไปจากความตายได้เลย ล้วนมีความตายเป็นที่สุดด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครสามารถเอาชนะความความตายได้ ด้วยเวทมนต์คาถา ด้วยการสู้รบ หรือ แม้ด้วยทรัพย์ ไม่ว่าจะไปอยู่ ณ ที่ไหนๆ ก็ไม่พ้น ไม่ว่าจะเกิดเป็นใคร เพศไหน ฐานะใด ก็ต้องตายด้วยกันทั้งนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้สิ่งที่ควรทำที่จะเป็นประโยชน์สำหรับตนเองนั้น คืออะไร? ไม่ใช่การทำชั่วเป็นแน่ แต่ต้องเป็นการสะสมความดี ไม่ประมาทในการเจริญกุศลประการต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ การฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ เพราะเมื่อความตายมาถึงก็จะต้องละจากโลกนี้ไป ไม่สามารถจะทำการต่อรองหรือผัดเพี้ยนได้ว่าจงรอก่อน ขอฟังธรรมก่อน ขอทำดี ก่อน เพราะฉะนั้น ไหนๆ ก็จะต้องถึงวันนั้นอยู่แล้ว การเป็นคนดีและศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ สำคัญที่สุด ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
การระลึกถึงความตายเนืองๆ บ่อยๆ ย่อมมีประโยชน์แก่การเจริญสติปัฏฐาน เมื่อระลึกได้ว่าอาจจะตายเย็นนี้หรือพรุ่งนี้ก็ได้ ก็จะเป็นปัจจัยเกื้อกูลให้สติระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมที่กำลังปรากฏ
ความตายตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ชั่วขณะจิต
จึงไม่ประมาทในการอบรมเจริญกุศล เพื่อปัญญาเจริญ
เพราะไม่รู้ว่าจะมีโอกาสให้เจริญกุศลกี่ขณะจิต
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาคะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบอนุโมทนาค่ะ