ต้องมีความเข้าใจถูกในขั้นฟัง และขั้นฟังนี้ก็ต้องตรง เปลี่ยนไม่ได้เลย แม้แต่คำว่าธรรมะก็ไม่ได้หมายความว่า ให้ไปรู้ตอนโน้นตอนนี้ แต่แม้ขณะที่ฟังนี้ ต้องเข้าใจว่าธรรมะ คือสิ่งที่มีจริงๆ ทั้งหมด ที่มีลักษณะเฉพาะแต่ละอย่าง ปรากฎได้แต่ละทาง ก็สอดคล้องกับขณะที่กำลังรู้กาย ว่าจะต้องมีลักษณะของธรรมะที่ปรากฏที่กาย
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ต้องมีความเข้าใจถูกขั้นการฟังว่า
๑. ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา บังคับไม่ได้ ๒. ธรรมมีอยู่ในชีวิตประจำวัน ไม่ต้องไปหาธรรม ๓. ธรรมปรากฏทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ๔. ธรรมปรากฎทีละอย่าง ไม่พร้อมกัน ๕. การจะรู้ลักษณะของสภาพธัมมะว่าไม่ใช่เรา ต้องเป็นสติปัฏฐาน
ฟังจนกว่าจะเข้าใจและเข้าถึงสภาพธรรมจริงๆ เช่น ลักษณะของธรรมะที่ปรากฏทางกาย ระลึกตรงสภาพธรรมะอย่างหนึ่ง เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตรงลักษณะ ขณะนั้น จะไม่ปะปนกับทวารอื่นเลย เป็นธรรมะอย่างหนึ่ง ที่ปรากฏให้รู้ เกิดแล้วก็ดับ ไม่มีเราจริงๆ ในขณะที่ระลึกค่ะ
ขออนุโมทนากับทุกคน ที่สนใจในธรรมะ รวมทั้งผู้บรรยายธรรม
ผู้ก่อตั้งมูลนิธิฯ และผู้ร่วมสนทนาธรรมด้วยค่ะ
ยินดีในกุศลจิตค่ะ