ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความบางส่วนจากการสนทนาธรรม
ณ กาลครั้งหนึ่ง สนทนาธรรม ที่บ้านซ.พัฒนเวศม์ 5 เม.ย. 65
จิตเกิดขึ้นเป็นธาตุรู้ ทุกครั้งที่เกิดต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้เลย เมื่อเป็นจิตแล้วต้องรู้ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้อะไรๆ ก็ตามที่ปรากฏเพราะจิตเกิดรู้สิ่งนั้น ... ไม่ใช่เรา ... เริ่มเห็นความบังคับบัญชาไม่ได้และก็ไม่ใช่เราด้วย ต้องตรง ขณะที่ตรงเป็นความเข้าใจที่ตรงขึ้น มั่นคงขึ้น
"แต่สิ่งที่จิตรู้ไม่ปรากฏก็ได้" ถ้าเราไม่ฟังจะได้ยินประโยคนี้ไหม ที่จะมั่นคงว่า จิตเป็นสภาพรู้แต่สิ่งที่จิตรู้ไม่ปรากฏก็ได้
ความจริงเป็นสิ่งที่สามารถรู้ได้ กำลังนอนหลับสนิทมีจิตไหม ... มีแต่ขณะนั้นจิตไม่ได้รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ถ้ายังรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดคือยังหลับไม่สนิท เพราะฉะนั้นจิตที่หลับแม้เป็นจิตที่เกิดดับรู้อารมณ์แต่อารมณ์ไม่ปรากฏ
เวลานี้เรารู้ว่าเห็นน่ะมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ได้ยินมีสิ่งที่ปรากฏให้ได้ยิน แต่ก็ยังมีจิตที่เกิดแล้วต้องรู้ แต่สิ่งที่จิตรู้ไม่ปรากฏ ตอนเกิดมีจิตเกิดแน่ๆ ขณะเกิดไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่คิดนึกใดๆ เลย ขณะนั้นไม่เห็น ... หนึ่งขณะที่เกิดไม่ใช่ขณะเห็น ... ยังไม่มีตาจะไปเห็นอะไรได้
มีเหตุมีผลทุกอย่างที่จะเป็นความชัดเจนในการที่ฟังแล้วเคารพในความจริงว่าลึกซึ้ง เพราะเหตุว่ากว่าจะเข้าใจในความไม่มีเรา ต้องละเอียดมากนัก แต่ต้องเริ่มต้นให้ถูกต้อง ให้มั่นคงว่า ไม่มีจริงๆ เพราะสิ่งที่มีเป็นจิต เป็นธาตุรู้ เป็นเจตสิกไม่ใช่จิต และเป็นรูป ... แค่นี้
มีคำว่า "ธรรม" สิ่งที่มีจริงถึงที่สุดไม่ต้องไปเรียกว่าคอมพิวเตอร์มือถือไม่ต้องไปเรียกว่าอะไรต่อไปต้องมีอีกแล้วก็ต้องไปหาคำมาเรียกอีกแต่ถ้าแท้จริงๆ คือ เป็นธาตุรู้ คือ จิตและเจตสิก หรือไม่ใช่ธาตุรู้ คือ ไม่สามารถจะรู้ได้ ... แต่มี มั่นคงว่าที่มีจริงๆ เท่านั้นเอง คือ ธาตุรู้กับสภาพที่ไม่รู้อะไร
ธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริงหนึ่ง แยกเป็นสอง ... โดยความต่างกันที่เกิดขึ้นไม่รู้อะไร อีกอย่างนึงเกิดขึ้นต้องรู้ ... และไหนเป็นเรา ... เราอยู่ไหน? ต้องมีความเข้าใจมั่นคง เพื่อจะเข้าใจขึ้นๆ กว่าจะไปลบล้างความที่เป็นเรามา นานแสนนาน แสนโกฏิกัปป์ ไม่ใช่เป็นเรื่องเร่งรีบ ไม่ใช่เรื่องไปทำ แต่เป็นเรื่องที่ตรงต่อความเป็นจริง และความเข้าใจถูกต้องจริง ... ก็มีจริงๆ
มีความเข้าใจ 2 อย่าง คือ เข้าใจผิดและเข้าใจถูก เข้าใจผิดจะเป็นถูกไม่ได้ เข้าใจถูกก็เป็นผิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นเป็นสิ่งที่มีจริง 2 อย่าง เป็นธาตุรู้ซึ่งเป็นเจตสิก ... เริ่มรู้จักเจตสิก เพราะจิตมีหน้าที่เดียว คือ รู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ จิตรู้แจ้งทีละหนึ่ง จะไม่รู้อะไรที่ต่างกันเลย ... ถ้าจิตไม่รู้แจ้งตั้งแต่สีชมพูอ่อนที่สุดจนแก่ที่สุดจนแดง จิตเท่านั้นที่รู้แจ้ง เพราะฉะนั้นไม่มีเราแต่เป็นจิตเพียงแต่รู้แจ้งทุกอย่างทุกขณะ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงแท้ ธรรมมะทั้งหมดต้องเป็นประเภทหนึ่งประเภทใด คือ จิต เจตสิกและรูป เพราะฉะนั้นจากธรรมะคือสิ่งที่มีจริงเป็นปรม (ภาษาไทยใช้คำว่าบรม) แปลว่าใหญ่ยิ่งไม่มีใครไปเปลี่ยนแปลงไปอะไรได้เลยสักอย่างเดียว อัตถะ ความเป็นสิ่งนั้น ลักษณะแท้จริงเป็นสิ่งนั้น รวมกันเป็นปรมัตถธรรม แปลว่า ธรรมะที่มีลักษณะที่ใครๆ ก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เกิดที่ไหนก็เป็นปรมัตถธรรม เห็นก็ต้องเป็นเห็น เห็นไม่ใช่นก ไม่ใช่คน แต่รูปร่างสัณฐานที่หลากหลายทำให้ไปจำว่า นี่คนเห็น นั่นนกเห็น นั่นงูเห็น แต่เห็นเป็นเห็น เห็นเป็นนกเป็นงูไม่ได้ นี่คือปรมัตถธรรมที่มีจริง มีลักษณะที่ใครๆ ก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ได้ยินคำว่าปรมัตถธรรม รู้เลยว่าหมายถึงตัวจริงๆ ของธรรมะที่เป็นจิต เจตสิกหรือรูป และเวลานี้ใครไม่มีปรมัตถธรรมบ้าง ... มีแต่ไม่รู้ว่าเป็นปรมัตถธรรม
เพราะฉะนั้นความเห็นถูกว่าไม่ใช่เรา ... ความเห็นผิดว่าเป็นเรา เพราะมันไม่ใช่เรา แล้วไปเห็นว่าเป็นเรามันก็ผิดมาตั้งแต่เกิดทุกชาติไป แล้วก็ตาย เกิดแล้วต้องตาย ใครทำให้ไม่ต้องตายได้ ... เป็นเรื่องของเหตุปัจจัยที่จะต้องเป็นอย่างนั้น
นอกจากนั้นอีกความหมายของธรรมะก็ยังเป็นอภิธรรม อภิ คือ ลึกซึ้ง ละเอียดอย่างยิ่ง พอพูดถึงจิตรู้จักจิตแต่ไม่รู้จักเจตสิก ละเอียดกว่านั้นคือจิตไม่ใช่เจตสิก เป็นธาตุรู้แต่แบ่งเป็น 2 อย่าง อย่างหนึ่งคือเป็นใหญ่เป็นประธานใช้คำว่าจิต ... รู้อย่างเดียว รู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ นอกจากนั้นทั้งหมดที่เป็นธาตุรู้เป็นเจตสิก
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ
เชิญคลิกชมและฟัง ...
ณ กาลครั้งหนึ่ง "สนทนาธรรมบ้าน ซ.พัฒนเวศม์" วันอังคาร ที่ ๕ เม.ย. ๖๕ (รายการสดที่บันทึกไว้)
🔵 fb.watch/o0Mf2jTjgc/?mibextid=v7YzmG
ขอบคุณ และยินดีในกุศลจิตค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ