บุญเก่า
โดย อ๊อด  18 เม.ย. 2556
หัวข้อหมายเลข 22773

มีบางคนบอกว่าไม่ต้องศึกษาพระธรรมก็ได้ถ้ามีบุญเก่าที่ได้สะสมมา คำนี้จะอธิบายอย่างไรครับ



ความคิดเห็น 1    โดย paderm  วันที่ 18 เม.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สำหรับชีวิตของสัตว์โลกในความเป็นจริงก็คือ จิต เจตสิก รูป ที่เกิดขึ้น ซึ่งจิตที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ก็มีทั้ง กุศลจิต อกุศลจิต ที่เป็นเหตุ วิบากจิตที่เป็นผลของกรรม

ดังนั้น บุญเก่า ก็คือ กุศลกรรมในอดีตที่ทำมา หากแต่ว่าชีวิตไม่ได้มีเพียงบุญเก่าเท่านั้น ก็ยังมีอกุศลกรรมในอดีตที่เรียกว่าบาปที่เคยทำไว้ในอดีตด้วย และ เมื่อมีการทำบุญและบาป ก็จะต้องได้รับผลของกรรมที่ดีและไม่ดี อันนำมาซึ่งสุขทุกข์ประการต่างๆ ดังนั้น ความทุกข์มีได้เพราะอาศัยการเกิด และ การเกิดมีได้เพราะอาศัยการทำกรรม ทั้งกุศลกรรมที่เป็นบุญและอกุศลกรรมที่เป็นบาป และ มีการทำกรรมที่เป็นบุญและบาปได้เพราะมีกิเลส ดังนั้น ต้นเหตุแห่งทุกข์ คือ เพราะมีกิเลส ชีวิตจึงไม่ได้ราบเรียบ พบแต่สิ่งที่ดีเสมอไป ที่เกิดจากบุญเก่า แต่พราะทำอกุศลกรรมในอดีตชาติมาด้วย ซึ่งมากกว่าบุญเก่าตั้งมากมาย ที่จะต้องประสบทุกข์ทั้งหลายประการต่างๆ มีความเจ็บป่วย เป็นต้น และ ต้องประสบทุกข์ทางใจ เพราะกิเลสที่สะสมมาในจิตใจ

ดังนั้น เพียงบุญเก่าที่สะสมมานั้นก็จะต้องหมดไป เปรียบดังเช่นคนที่มีทรัพย์หนึ่งพัน เมื่อใช้จ่ายทรัพย์วันละน้อยก็ตาม แต่ไม่แสวงหาเพิ่ม ทรัพย์นั้นก็ต้องหมดไป ผู้ที่ไม่เจริญกุศล ทำบุญในชาติปัจจุบัน เสวยแต่ความสุขที่เป็นบุญเก่า บุญนั้นก็หมดไป ก็เป็นโอกาสของอกุศลกรรมในอดีตที่ทำมามากกว่ามากให้ผล ให้ประสบทุกข์ประการต่างๆ ซึ่งการจะสะสมบุญและละทุกข์ และละกิเลสประการต่างๆ ได้นั้น ขาดไม่ได้เลย คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เพราะอาศัยการศึกษาพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ย่อมเป็นเหตุให้เกิดปัญญา เพราะปัญญาจะนำมาซึ่งความเห็นถูก เพราะแม้ว่าจะมีการทำบุญต่างๆ มากมาย ให้ทานในอดีตชาติ แต่ไม่มีปัญญา ความเห็นถูก ก็จะต้องเวียนว่ายตายเกิดและหมดบุญ และเป็นโอกาสของอกุศลกรรมให้ผลอีก ก็ต้องประสบทุกข์ เพราะไม่มีปัญญาที่จะสามารถดับกิเลสได้เลย เพราะเหตุที่แท้จริงของความทุกข์ทั้งหมด คือ กิเลส ดังนั้น หนทางการจะละกิเลส คือ การศึกษาพระธรรม ปัญญาที่เจริญขึ้นจะค่อยๆ ละความไม่รู้ และเป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของบุญที่จะสะสมบุญใหม่ สะสมต่อไปเป็นเสบียงที่จะต้องเดินทางไกลในอนาคต เพราะชีวิตไม่ใช่เพียงแค่ชาตินี้ชาติเดียว บุญเก่าก็ต้องหมดไป และ ต้องเดินทางไกลในสังสารวัฏฏ์ แม้การทำบุญแต่ไม่อบรมปัญญา ไม่ศึกษาธรรม ก็ไม่พ้นจากสังสารวัฏฏ์ ไม่พ้นจากทุกข์ได้เลย ครับ

บุคคลที่ไม่ศึกษาธรรมเป็นคนพาล คือ ตาบอด เพราะไม่มีตาคือปัญญา ย่อมเกิดบ่อยๆ และไม่พ้นจากทุกข์ แต่ผู้ที่เริ่มศึกษาธรรม แม้จะเกิดบ่อยๆ เพราะยังมีกิเลสอยู่ แต่ปัญญาก็เจริญขึ้นจากการศึกษาธรรม ย่อมละกิเลสได้เป็นลำดับและไม่เกิดอีก พ้นจากทุกข์ได้จริงๆ ในอนาคต ครับ

พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า กสิกรย่อมหว่านพืชบ่อยๆ ฝนย่อมตกบ่อยๆ ชาวนาย่อมไถนาบ่อยๆ แว่นแคว้นย่อมบริบูรณ์ด้วยธัญชาติบ่อยๆ ยาจกย่อมขอบ่อยๆ ทานบดีก็ให้บ่อยๆ ทานบดีให้บ่อยๆ แล้ว ก็เข้าถึงสวรรค์บ่อยๆ ผู้ต้องการน้ำนมย่อมรีดนมบ่อยๆ ลูกโคย่อมเข้าหาแม่โคบ่อยๆ บุคคลย่อมลำบากและดิ้นรนบ่อยๆ คนเขลาย่อมเข้าถึงครรภ์บ่อยๆ สัตว์ย่อมเกิดและตายบ่อยๆ บุคคลทั้งหลายย่อมนำซากศพไปป่าช้าบ่อยๆ ส่วนผู้มีปัญญาถึงจะเกิดบ่อยๆ ก็เพื่อได้มรรคแล้วไม่เกิดอีก ดังนี้.

ขออนุโมทนา


ความคิดเห็น 2    โดย ใฝ่รู้  วันที่ 18 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 3    โดย khampan.a  วันที่ 18 เม.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ตราบใดที่ยังไม่สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ดับกิเลสถึงความเป็นพระอรหันต์ได้เลยนั้น จะขาดการอบรมเจริญปัญญาและคุณความดีประการต่างๆ ไม่ได้เลย เพราะดีแค่ไหนก็ยังไม่พอจนกว่าจะได้เป็นพระอรหันต์ พระอริยบุคคลทั้งหลายในอดีตที่ท่านได้รู้แจ้งอริย

สัจจธรรมก็เพราะเป็นผู้ที่ได้สะสมความดีและอบรมเจริญปัญญามาแล้วทั้งนั้น

เป็นที่น่าพิจารณาว่า ในอดีตชาติที่ผ่านๆ มา แต่ละคนแต่ละท่านก็มีอกุศลมากด้วยกันทั้งนั้น แต่ส่วนที่ดีก็มีเหมือนกัน ที่เห็นได้ชัดเจนคือ ในภพนี้ชาตินี้ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ซึ่งการได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้นเป็นผลของกุศลกรรม ก็แสดงให้เห็นว่า ต้องเคยได้สะสมกุศลมาแล้วจึงทำให้ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ความตรึกนึกคิดของแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไป ไม่เหมือนกันเลย แต่ถ้ามีโอกาสได้ฟังพระธรรมได้ศึกษาพระธรรม ก็จะทำให้เห็นคุณของกุศล เห็นโทษของอกุศล ทำให้เป็นผู้มีความอดทนมีความเพียรที่จะเจริญกุศล สะสมความดี และอบรมเจริญปัญญาต่อไป เพราะกุศลธรรมเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งได้อย่างแท้จริง อกุศลเป็นที่พึ่งไม่ได้เลย มีแต่นำมาซึ่งทุกข์โทษภัยโดยส่วนเดียว เพราะฉะนั้นแล้ว โอกาสของชีวิตที่ยังเหลืออยู่นี้ ก็ควรที่จะเป็นไปเพื่อการสะสมกุศลและอบรมเจริญปัญญาในท่ามกลางคลื่นของอกุศลธรรมซึ่งมีมากเป็นอย่างยิ่งในชีวิตประจำวัน เพราะถ้ากุศลไม่เกิดแล้วก็ย่อมจะเป็นโอกาสเกิดขึ้นของอกุศลธรรม และที่ไม่ควรลืมคือปัญญาจะค่อยๆ เจริญขึ้นไปทีละเล็กทีละน้อยถ้าไม่ขาดการฟังพระธรรมในชีวิตประจำวัน เพราะเคยได้ฟังมาแล้ว เห็นประโยชน์ของพระธรรมมาแล้ว ก็ย่อมจะเป็นเหตุให้ได้ฟัง ได้ศึกษา ได้สะสมปัญญาต่อไปจนกว่าปัญญาจะถึงความเจริญสมบูรณ์ในที่สุด ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


ความคิดเห็น 4    โดย wannee.s  วันที่ 18 เม.ย. 2556

ความดีทำเท่าไหร่ก็ไม่พอจนกว่าจะเป็นพระอรหันต์ด้วยการศึกษาพระธรรม ค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย Boonyavee  วันที่ 19 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย jaturong  วันที่ 19 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 7    โดย boonpoj  วันที่ 19 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 8    โดย nong  วันที่ 20 เม.ย. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 9    โดย nopwong  วันที่ 21 เม.ย. 2556

ขออนุโมทนา


ความคิดเห็น 10    โดย pamali  วันที่ 22 เม.ย. 2556
ขอบคุณและขออนุโมทนาค่ะ

ความคิดเห็น 11    โดย อ๊อด  วันที่ 27 เม.ย. 2556

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 12    โดย orawan.c  วันที่ 6 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ