ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อวันที่ ๑๗ - ๑๙ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และ คณะผู้ศึกษาธรรม ชาวชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ได้ร่วมกันจัดการสนทนาธรรม และ งานแสดงกัลยาณจิต แด่ คุณย่าสงวน สุจริตกุล เนื่องในโอกาสครบรอบวันเกิด ๘ รอบ ๙๖ ปี ณ บ้านอัมพวา รีสอร์ทแอนด์สปาอำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม
เพื่อเป็นเกียรติแด่คุณย่า และ แก่ชาวสมาชิกเวปไซต์บ้านธัมมะ ข้าพเจ้าใคร่ขอนำข้อความบางตอน จากหนังสือ ประมวลธรรม ที่ได้จัดพิมพ์ขึ้นเป็นธรรมบรรณาการ เนื่องในโอกาสวันเกิดครบ ๘ รอบ ของคุณย่า มาบันทึกไว้ ดังนี้
คุณย่าสงวน สุจริตกุล
จากนักกีฬาทีมชาติ สู่เส้นทางธรรม
"...คุณย่าเล่าให้ฟังว่า คุณย่าสนใจเล่นกีฬาทั้งเทนนิสและแบดมินตันมาแต่วัยเด็กอายุ ๘ ขวบ คุณย่าก็หัดตีเทนนิสและแบดมินตันแล้ว โดยมีสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายาในรัชกาลที่ ๖ เป็นผู้ควบคุมอย่างใกล้ชิด (สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจีฯ ทรงเป็นน้องสาวของคุณพ่อคุณย่า....พระพิบูลย์ไอศวรรย์) สมเด็จพระนางเจ้าฯทรงโปรดการกีฬา มีสนามเทนนิสส่วนพระองค์ที่สวนนกไม้ พระราชวังดุสิต คุณย่าฝึกซ้อมกีฬาอย่างเอาจริงเอาจัง กลางวันตีเทนนิส กลางคืนเปิดไฟซ้อมแบดมินตัน
รางวัลของความตั้งใจฝึกฝนเทนนิสและแบดมินตัน คือ คุณย่าชนะเลิศ ในการแข่งขันกีฬาเทนนิสและแบดมินตัน จนได้เป็นนักกีฬาทีมชาติ สามารถนำชื่อเสียงมาสู่ประเทศไทย โดยไปแข่งขันที่ต่างประเทศ อาทิ มาเลเซีย พม่าสามารถคว้าเหรียญทองจากการแข่งขันกีฬา Seap Game มาได้ ไม่นับการแข่งในประเทศ ที่คุณย่าชนะหลายครั้งหลายหน จนได้ถ้วยรางวัลมากมาย ซึ่งคุณย่ากับเพื่อนได้รวบรวม (ถึง ๓ เข่ง) นำไปสมทบสร้างพระพุทธรูปพระประธานองค์ใหญ่ ที่วัดจิตภาวัน บางละมุง
(ถ้วยรางวัลพระราชทาน จากสมเด็จพระนางเจ้า รำไพพรรณี ซึ่งคุณย่าเล่าว่า ต้องชนะเลิศติดต่อกันสามปีซ้อน จึงจะได้ถ้วยรางวัลมาครอบครอง)
(คุณย่าสงวน สุจริตกุล รับพระราชทานถ้วยรางวัล จาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว)
จนกระทั่ง เมื่ออายุได้ ๕๐ คุณย่าเริ่มสนใจในพระธรรม มีโอกาสได้ฟังธรรมบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ทางวิทยุ และ คุณย่าถึงกับเขียนจดหมายไปหาท่านอาจารย์ เมื่อฟังแล้วไม่เข้าใจคำศัพท์บาลีหรือข้อความที่ท่านอาจารย์บรรยาย ซึ่งท่านอาจารย์ได้แนะนำให้คุณย่าไปฟังท่านบรรยายที่วัดมหาธาตุฯ และ จากวันนั้นจนวันนี้ คุณย่าติดตามฟังการบรรยายของท่านอาจารย์อย่างสม่ำเสมอมิได้ขาด
นอกจากฟังธรรมแล้ว คุณย่ายังบันทึกเทป (เพื่อกันลืม) และถอดเทปการบรรยายธรรมทางวิทยุของท่านอาจารย์ ด้วยความมุ่งมั่นและสนใจจริง ตั้งแต่เริ่มฟังจนบัดนี้ เกือบจะครบ ๔๖ ปี ในเดือนตุลาคม ศกนี้ (พุทธศักราช ๒๕๕๕) จากผลงานการถอดเทปของคุณย่าเพื่อกันลืมนั้น ได้เป็นผลงานที่ทรงคุณค่ายิ่งแก่พระพุทธศาสนา นั่นคือ หนังสือของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา อาทิ แนวทางเจริญวิปัสสนา ๑ - ๔ บารมีในชีวิตประจำวัน ฯลฯ ล้วนมาจากการถอดเทปของคุณย่าทั้งสิ้น (ตีสองจนรุ่งเช้า เป็นเวลาถอดเทปของคุณย่าในปัจจุบัน ส่วนสมัยก่อนนั้น คุณย่าบอกว่าถอดเทปแทบทั้งวัน) ..."
จากประวัติโดยย่อข้างต้น ให้ได้เห็นว่า คุณย่าเป็นแบบอย่างอันดี แก่สหายธรรม เป็นผู้ที่ศึกษาธรรมกับท่านอาจารย์ ด้วยความมั่นคง มาตลอดระยะเวลาอันยาวนาน ทั้งท่านยังเป็นผู้ที่เจริญกุศลทุกประการอีกด้วย ทำให้ข้าพเจ้าได้คิดถึงคำของท่านอาจารย์ ที่ได้กล่าวถึง เรื่องบารมี และ ความเป็นผู้ที่มั่นคง ในตอนเช้าของวันที่ ๑๙ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕ ณ บ้านอัมพวา รีสอร์ทแอนด์สปา มีใจความว่า
"...ความไม่รู้ ก็ทำให้พอใจ ติดข้อง ในสิ่งที่ปรากฏ ทั้งทางตาบ้าง หูบ้าง จมูกบ้าง ลิ้นบ้าง กายบ้าง ใจบ้าง เป็นอย่างนี้ ไม่มีวันจบ นานแสนนานมาแล้ว ออกจากกรงของสังสารวัฏฏ์ คือ การเกิดดับสืบต่อของธาตุรู้ ซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นไม่ได้เลย จนกว่า สามารถที่จะรู้ว่า เกิดขึ้นได้อย่างไร? และ จะดับสิ่งที่มี ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้อย่างไร? แต่ก็เป็นสิ่งซึ่งแสนยาก ถ้าไม่มีบารมี คือ คุณความดี และ ความมั่นคง ในการที่จะเป็นผู้ที่มีโอกาส ได้เข้าใจสิ่งที่มีจริง..."
ดังที่ข้าพเจ้าเคยปรารภกับทุกๆ ท่านไว้หลายครั้งว่า กระทู้ที่ข้าพเจ้าจัดทำขึ้นนี้ เพื่อบันทึกเรื่องราว และ เหตุการณ์ต่างๆ ที่สำคัญๆ ของมูลนิธิฯ สำคัญที่สุด คือ การบันทึกความการสนทนาธรรมบางตอน ที่ท่านอาจารย์ได้บรรยายไว้ ณ สถานที่นั้นๆ อันเป็น ณ กาลครั้งหนึ่ง เป็น "ขณะ" ที่หาได้ยากยิ่ง ในสังสารวัฏฏ์ ที่จะไม่มีวันหวนกลับมาอีกเลย เพื่อประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจ ในการศึกษาพระธรรม จะได้พิจารณาข้อความโดยละเอียด
สำหรับตัวข้าพเจ้าเอง ได้รับประโยชน์มาก จากการถอดข้อความดังกล่าว ซึ่งเมื่อได้นำลงเสร็จแล้ว ข้าพเจ้ายังชอบอ่านและพิจารณาความในกระทู้อีก อย่างช้าๆ ซ้ำไปซ้ำมา อีกหลายหนมาก ในทุกๆ กระทู้ที่ข้าพเจ้าได้จัดทำขึ้น ในครั้งนี้ ได้มีการสนทนาธรรมโดยตลอดทั้ง ๓ วัน แต่ข้าพเจ้าขออนุญาตทุกท่าน นำเพียงข้อความที่ท่านอาจารย์กล่าวไว้ ในตอนต้นของการสนทนาธรรม เมื่อช่วงเช้าของวันที่ ๑๙ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕ ซึ่งท่านอาจารย์กล่าวไว้อย่างไพเราะลึกซึ้ง เกื้อกูลแก่ทุกท่านในวันนั้น อย่างยิ่ง ข้าพเจ้าจะขอนำลงทั้งหมดโดยครบถ้วน จึงอาจมีความยาวมาก แต่ด้วยหวังว่า ทั้งภาพและความธรรมะ จะเป็นประโยชน์กับทุกๆ ท่านที่สนใจ ตามควรแก่กาลเช่นเคย
อนึ่ง สำหรับงานการแสดงกัลยาณจิต ที่ชาวชมรมบ้านธัมมะ มศพ. จัดให้มีการแสดงต่างๆ เพื่อคุณย่านั้น จะได้นำเสนอแก่ทุกท่านในโอกาสถัดไป ครับ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ, นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ, นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
อ.วิชัย กราบท่านอาจารย์ คณะวิทยากร และ ท่านผู้ร่วมสนทนาธรรมทุกๆ ท่านครับ ก็เป็นการสนทนาธรรม เนื่องในการแสดงกัลยาณจิต ในโอกาสครบรอบ ๘ รอบวันเกิด ๙๖ ปี ของคุณย่าสงวน สุจริตกุล เป็นการมีโอกาส ได้เจริญความรู้ ความเข้าใจ อีกครั้งหนึ่ง
เมื่อวานนี้ ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงว่า สิ่งต่างๆ ที่มี แม้ในขณะนี้ ก็เสมือนกับ ความฝัน คือ มีแล้วก็ไม่มี คือ ไม่มีอะไรที่จะหลงเหลือ ให้ยึดถือ ว่ามั่นคงหรือว่าเที่ยงเลย แต่ว่า แม้จะกล่าวอย่างนี้อยู่ครับท่านอาจารย์ แต่ก็เพียงฟังแล้ว เพียงคิดตามว่า สิ่งที่มีในขณะนี้ ก็ไม่มี ดังนั้น การจะรู้ถึงความไม่เที่ยง ของสิ่งที่มี ก็ต้องมีการเริ่มต้น สำหรับผู้ที่ใหม่ ไม่ใช่เพียงแค่คิดว่า สิ่งที่มีในขณะนี้ไม่เที่ยง ดังนั้น การเริ่มต้นที่จะรู้ ว่ามีลักษณะของความไม่เที่ยง มีจริง ควรเริ่มต้นอย่างไรครับ
ท่านอาจารย์ ในขั้นการฟังก่อน นะคะ เพราะเหตุว่า แม้ขณะนี้ สภาพธรรมะจะเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป ไม่มีอะไรเหลือเลย แต่ก็ไม่ใช่ว่า จะปรากฏเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น "การฟัง" แล้วก็ "มีความเข้าใจ" จริงๆ อย่าง "มั่นคง" ว่าทุกอย่างเป็นอย่างนี้ แม้ในขณะนี้ก็เช่นเดียวกัน "ฟัง" จนกระทั่งสามารถที่จะ ชำระจิตที่เคยเต็มไปด้วยเรื่องราวอื่นๆ ที่ทำให้มีการผูกพัน ยึดมั่นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือว่า มีความไม่พอใจ ขุ่นเคืองใจใดๆ ทั้งหมดที่มี ค่อยๆ จางลง แล้วก็ประกอบด้วย ความเห็นถูก ตามความเป็นจริงว่า ทั้งที่จริงแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นสิ่งซึ่งมี ไม่ใช่ไม่มี แต่ว่า...มีเมื่อ...เกิด...ปรากฏ...แล้วหมดไป...เพราะฉะนั้น ถ้ามีความที่ เข้าใจจริงๆ และ มีความจำอย่างมั่นคง เวลาที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดจะเกิด ปรากฏเฉพาะหน้า ก็สามารถที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งนั้นได้
แต่ไม่ใช่หมายความว่า เมื่อขณะนี้ สภาพธรรมะกำลังเกิดดับ แล้วจะรู้ได้อย่างไร? เป็นไปไม่ได้เลยค่ะนอกจาก มีความเข้าใจขึ้น แล้วก็ค่อยๆ มั่นคงขึ้น เป็นปรกติด้วย เพราะเหตุว่า ทุกขณะ ไม่มีใครสามารถที่จะบันดาลดลให้เกิดขึ้นตามใจชอบได้เลย แต่ก็ "เกิดแล้ว" ทุกวัน เมื่อวานนี้ก็เป็น ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ผ่านไปแล้ว ตามวัน เดือน ปี ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ อีกไม่นานก็ถึงพันปี หรือว่า สองพันปี ต่อๆ ไป ทุกขณะ ก็เป็นเพียง...ณ กาลครั้งหนึ่ง...
เพราะฉะนั้น กว่าจะได้ฟัง จนกระทั่งมีความเข้าใจที่มั่นคงจริงๆ ว่า พระผู้มีพระภาคฯทรงตรัสรู้ความจริง ของสิ่งซึ่ง ขณะนี้ กำลังเกิดดับ แต่ก็ได้บำเพ็ญพระบารมี คือ คุณความดีทั้งหลาย ที่จะ "ชำระจิต" จากความเน่า เป็นขยะ หรือว่าเป็นพิษ เป็นโทษภัย จนสามารถที่จะสะอาด แล้วก็แข็งแรง มั่นคง พอที่จะกล้าพบกับความจริง คือ...ในขณะนี้...ทุกสิ่งที่กำลังปรากฏ...ไม่เหลือเลย...
แต่ว่า ในความจำ ไม่ว่านานแสนนานมาแล้ว หลายภพ หลายชาติ ก็ "จำ" ว่าเป็นสิ่งหนึ่ง สิ่งใด ที่เที่ยง มี "อัตตะ" คือ ความเป็นตัวตน สิ่งหนึ่ง สิ่งใด "สัญญา" คือ ความจำ พอเห็น ก็จำได้เลย นี่ก็แสดงให้เห็นว่า กว่า "ปัญญา" จะค่อยๆ เข้าใจ เพราะเหตุว่า ถ้าไม่มี "ความเข้าใจ" ที่เพิ่มขึ้น แล้วก็คิดว่า จะไปรู้ความจริงของสภาพธรรมะ ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เป็นไปไม่ได้เลย!! เพราะขณะนั้น เป็นตัวตน เป็นเรา แล้วก็เป็นความต้องการ และ เป็นความไม่รู้ ครบทั้งหมด แล้วจะไปรู้ความจริงได้อย่างไร?
เพราะฉะนั้น การฟังธรรมะ ก็ฟังเพื่อที่จะเข้าใจขึ้น ในสิ่งที่มี แล้วก็จะรู้ได้ว่า มีแล้ว โดยที่ไม่ต้องมีใครไปทำอะไรเลยทั้งสิ้น!!
เพราะฉะนั้น แทนที่คิด "จะทำ" ก็เป็น "เข้าใจ" สิ่งที่มีในขณะนี้ แต่ละหนึ่ง จากการฟัง รู้ว่า เป็นสิ่งที่มีปัจจัย เกิดแล้วดับ แล้วก็ไม่กลับมาอีก เพราะฉะนั้น จะเป็นอันเก่าได้อย่างไร? ตั้งนานแสนนานมาแล้ว ก็มีธรรมะ สิ่งที่มีจริง เป็นธาตุ หรือ ธา-ตุ ซึ่งใครก็เปลี่ยนลักษณะไม่ได้ และธาตุนี้ก็มีมากมาย ประมาณไม่ได้เลย แม้ในวันนี้เอง จิตเกิดดับสืบต่อ ขณะนี้ไม่ใช่ขณะก่อน และไม่ใช่ขณะต่อไปด้วย
เพราะฉะนั้น แต่ละหนึ่งขณะนี้ ใครจะนับได้ ว่าหลากหลายมากมายสักเท่าไหร่ แต่ก็เป็นสิ่งซึ่ง เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ ผู้ที่ต้องการรู้ความจริง เกิดมามีสิ่งที่ปรากฏ และ ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ เป็นอย่างไร? ถ้าไม่อยากจะรู้เลย ก็คือว่า ไม่มีทางที่จะรู้ได้เลย แต่ถ้าคิดว่าเกิดมาแล้ว มีสิ่งที่ปรากฏ ให้เห็น ให้ได้ยิน ควรเข้าใจถูกต้อง ในสิ่งที่มีหรือเปล่า? ว่า คือ อะไรแน่?
นี่คือ พระดำริ ของพระโพธิสัตว์ จากการที่ยังไม่ได้รู้ความจริงของสภาพธรรมะ แต่จากการที่สภาพธรรมะปรากฏ ก็ทำให้มีการวิตก ตรึก ถึงว่า แล้ว "สิ่งนี้มี" เพราะอะไร? เกิดขึ้นได้อย่างไร? นี่ก็เป็นการค่อยๆ อบรม ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก เพราะว่า เรื่องการเกิดการตาย เป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีใครที่จะตายแล้วไม่เกิด หรือว่า เกิดมาแล้ว ที่จะไม่ตาย ไม่มีเลย แต่ว่า จากการเกิดล่วงไป...ล่วงไป...ทีละขณะนี้....ได้อะไร?...จากชีวิตที่เกิดมา...นอกจากความติดข้อง...ต้องการ...และ...ไม่จบ
บางคน อาจปรารถนาลาภ ปรารถนายศ ปรารถนาอำนาจ ปรารถนาความชมเชย ปรารถนาทรัพย์สมบัติ ได้มาแล้ว อะไรเกิดตามมา? ความติดข้อง ความไม่รู้ เพิ่มพูนขึ้น แสวงหามากขึ้น แม้ไม่ได้ในทางสุจริต ก็ในทางทุจริต เพราะความต้องการ จนลืมว่า ต้องจากทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการ ที่ผูกพันไปโดยที่ว่า ไม่ใช่เจ้าของอะไรเลยทั้งสิ้น!!
สมบัติที่อยู่นอกกาย "มี" เมื่อ "คิด" แต่ว่าความจริง สภาพธรรมะทั้งหมด เกิดแล้วดับ ถอย...มาใกล้...จนถึง...ตัว...ซึ่งเป็นสิ่งที่รักที่สุด ยิ่งกว่าอย่างอื่น ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า จะรัก "อื่น" ยิ่งกว่า "ตัว" เป็นไปไม่ได้เลย เพราะว่า ตั้งแต่เกิดมา ยังไม่มีใครเลย แต่ก็มีตัวนี้ เกิดมาแล้ว เพราะฉะนั้น จะรักอะไร? ยังไม่เห็นอะไร ยังไม่มีเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น แต่ความ "รักตน" มีแล้ว ตั้งแต่เกิด เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่า ตั้งแต่เกิดจนตาย รักตน...รักตัว...เห็นแก่ตัว...โดยที่ว่า ไม่ได้รู้เลย ว่าแท้ที่จริงแล้ว ความเห็นแก่ตัว เป็นปรกติธรรมดา จนกระทั่งไม่ได้สังเกตุกันเลย ว่าแท้ที่จริงแล้ว รักตัวมากแค่ไหน?
เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ "เพื่อตัว" เข้าใจว่า มีตัวจริงๆ แล้วก็จากตัวนี้ไปด้วย ไม่สามารถที่จะเอาตัวนี้ไปได้เลย แต่ว่า "จิต" ซึ่งเกิดดับ สืบต่อ สะสมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความดี หรือ ความชั่ว ที่ใช้ภาษาว่า "กุศล" หรือ "อกุศล" สะสมอยู่ในจิต ติดตามไป ไม่มีใครสามารถที่จะเอาไปจากจิตได้เลย โขมยลักไม่ได้ น้ำท่วมไม่ได้ ไฟไหม้ไม่ได้ เพราะเหตุว่าไม่ใช่รูปธรรม ที่ใครจะทำลายได้เลย เป็น "ธาตุรู้" คิดถึงคำนี้ ไม่มีรูปใดๆ เจือปนเลย ขณะนี้กำลังมี แต่เพราะเหตุว่า เป็นธาตุซึ่งเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป เร็วสุดที่จะประมาณได้ เมื่อเป็นธาตุรู้ เกิดขึ้น ก็ต้องมีสิ่งที่ปรากฏให้รู้ เพราะฉะนั้น แทนที่จะเข้าใจถูกในขณะนั้นว่า ถ้าไม่มี "ธาตุรู้" เกิดขึ้น อะไรๆ ก็ไม่มีปรากฏเลยทั้งสิ้น!!!
ความไม่รู้ ก็ทำให้พอใจ ติดข้อง ในสิ่งที่ปรากฏ ทั้งทางตาบ้าง หูบ้าง จมูกบ้าง ลิ้นบ้าง กายบ้าง ใจบ้าง เป็นอย่างนี้ไม่มีวันจบ นานแสนนานมาแล้ว ออกจากกรงของสังสารวัฏฏ์ คือ การเกิดดับสืบต่อของธาตุรู้ ซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้น ไม่ได้เลย จนกว่า สามารถที่จะรู้ว่า เกิดขึ้นได้อย่างไร? และ จะดับสิ่งที่มี ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ได้อย่างไร แต่ก็เป็นสิ่งซึ่งแสนยาก ถ้าไม่มีบารมี คือ คุณความดี และ ความมั่นคงในการที่จะเป็นผู้ที่มีโอกาส ได้เข้าใจ สิ่งที่มีจริง
เพราะว่าทุกคน พูดคำว่า วิชชา หรือ ปัญญา เหมือนต้องการ ไม่อยากจะไม่รู้โน่น ไม่รู้นี่ ก็เรียนโน่น เรียนนี่ เพื่อที่จะได้รู้โน่น รู้นี่ เป็นสิ่งซึ่งทุกคนแสวงหา แต่ไม่ได้แสวงหา "ความจริง" คือ ในขณะนี้เอง ซึ่งถ้าไม่มีเห็น ไม่มีได้ยิน ไม่มีได้กลิ่น ไม่มีการลิ้มรส ไม่มีการรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่มีการคิดนึก วิชาใดจะมี? ศาสตร์ใดจะมี? อะไรๆ ก็ไม่มีทั้งสิ้น และ สิ่งที่เข้าใจว่า เป็นสิ่งที่เป็นวิชาการทางโลก ที่สำคัญมาก ที่ขวนขวายแสวงหาติดตามไปหรือเปล่า?
แต่ว่า สิ่งที่ติดตามไปนั้น ก็คือ ความติดข้อง และ ความไม่รู้ความจริง ซึ่งเป็นแต่เพียงสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่ไม่มี แต่ "ชั่วคราว" เกิดขึ้น เมื่อมีเหตุปัจจัยที่จะเกิด ก็ต้องเกิด แล้วก็ไม่เป็นอิสระ ถึงแม้ว่า ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็เป็นอนัตตา คือ บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่มีใครสามารถที่จะเลือกได้เลย และ ทุกขณะ ทุกวัน ก็เป็นความจริง แต่ลืมคิด ลืมที่จะ "เข้าใจ" แม้แต่ขณะนี้เอง "กำลังเห็น" ไม่มีทางที่จะเข้าใจเลยว่าเป็นสิ่งซึ่ง "ไม่ใช่เรา" เกิดขึ้นเพียง "ชั่วคราว" เพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป "หนึ่งขณะแล้ว", "ได้ยิน" ก็เช่นเดียวกัน แม้แต่ "คิดนึก" ต่างคน ก็ ต่างใจ
เพราะฉะนั้น ก็ไม่มีทางเลย ที่สิ่งที่มีปัจจัยเกิดขึ้นเพียงหนึ่ง ดับไป แล้วก็ขณะต่อไปจะเหมือนเดิม เป็นไปไม่ได้ เพราะเหตุว่า เมื่อมีการเห็นครั้งหนึ่ง มีความติดข้องครั้งหนึ่ง ก็เป็นปัจจัยให้เกิดความติดข้อง พอใจ ไม่มีวันจบ ซึ่งแต่ละคน ถ้าไม่ได้ศึกษาธรรมะ ก็จะไม่รู้ความเป็นมา เป็นไป ของแต่ละขณะในชีวิตเลย จึงเป็นผู้ที่ หวั่นไหว เดือดร้อน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็ดูเหมือนสำคัญเหลือเกิน แต่ความจริง เพียงจิตหนึ่งขณะ เกิดขึ้น "คิด" แล้วดับไป สืบต่อกัน
แม้แต่ความคิด ก็ต้องคิดทีละหนึ่งคำ กว่าจะเป็นเรื่องราวมากมายใหญ่โต สำคัญเหลือเกิน แต่ความจริง ถ้าจิตขณะนั้นไม่คิด เรื่องนั้นไม่มี หรือว่า กำลังคิดอยู่ แต่หยุดคิด แล้วเปลี่ยนเป็นเรื่องอื่น เรื่องเก่าก็ไม่มีแล้ว เพราะฉะนั้น ทุกขณะในขณะนี้ พิสูจน์ได้ กำลังเห็น กำลังฟัง ก็มีสิ่งอื่นแทรกได้ ใครทำ? ไม่มีใครทำเลย...แล้วทำไมไม่เห็นความเป็นอนัตตา? การที่ทุกสิ่งทุกอย่าง เดี๋ยวนี้เอง เป็นการที่จะพิสูจน์ให้รู้ว่า ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาได้เลย
เพราะฉะนั้น มีสองโลก "โลกของความไม่รู้" กับ "โลกของความรู้" โลกของความไม่รู้ ไม่รู้อะไร? ก็ไม่รู้ สิ่งที่กำลังมี ในขณะนี้ (แล้ว) จะไปรู้อื่นได้อย่างไร? ในเมื่อมีสิ่งที่กำลังปรากฏแล้วไม่รู้จักความจริงของสิ่งที่ปรากฏ ก็เป็นโลกของความไม่รู้ โลกของความหลง คิด ติดข้อง ในทุกสิ่ง ทุกอย่าง แล้วก็ไม่รู้เลย "กำลังคิด" ก็จากโลกนี้ไปได้ เรื่องสำคัญทั้งหลายก็ "จบ" ไม่สามารถติดตามไปได้เลย แต่ระหว่างที่ยังไม่จากโลกนี้ไป เรื่องก็ต่อไปเรื่อยๆ เหมือนกับเป็นเรื่องสำคัญ นั่นคือ โลกของความไม่รู้!!!
แต่อีกโลกหนึ่ง ไม่ได้ต่างจากโลกเดี๋ยวนี้เลย โลกเดิม เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เห็น - ได้ยิน เหมือนเดิม แต่ มีความเห็นถูก มีความเข้าใจถูก ในสิ่งที่มี ที่เดิม เข้าใจว่า เป็นเรา หรือว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะไม่รู้ความจริง ก็จะเป็นอีกโลกหนึ่ง ซึ่งค่อยๆ เข้าใจว่า สิ่งที่มีจริงๆ นั้น คือ อะไร? เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏลักษณะแต่ละหนึ่ง แล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก แล้วจะเป็นเราได้อย่างไร?
เพราะฉะนั้น ที่ว่าเราเกิด สัตว์เกิด อะไรก็ตามแต่ ถ้าไม่มีธาตุรู้เกิดขึ้น ก็จะไม่มีสิ่งที่มีชีวิต ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ใดๆ เลยทั้งสิ้น แต่เมื่อมีธาตุรู้เกิดขึ้น ก็จะต้องเป็นไป เพราะเหตุว่า ใครจะไปบังคับธาตุ ให้เป็นอย่างที่พอใจได้ ธาตุทุกอย่าง เป็นธาตุจริงๆ แต่ละหนึ่ง ซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เช่น ธาตุรู้ มีปัจจัยที่จะทำให้เกิดขึ้น ต้องรู้ จะให้ไม่รู้ ไม่ได้ อย่างขณะนี้ "เห็น" ไม่ให้เห็น ไม่ได้ เพราะว่า "เห็น" เกิดแล้ว เด็กเล็กๆ ก็เห็น สัตว์ก็เห็น คนก็เห็น ถ้าจะกล่าวถึงโลกอื่น เช่น เทพ เทวดา ก็เห็น รูปพรหมก็เห็น แต่ "เห็น" ก็เป็น "เห็น" เกิดขึ้น "เห็น" แล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า แม้แต่ในขณะนี้ ที่เต็มไปด้วยเห็น ก็เป็นโลกของความไม่รู้จักเห็น แล้วก็เห็นมาแล้วมาก แล้วก็ไม่รู้จักมาแล้วมาก แล้วก็จะเห็นต่อไปอีกมาก ก็ไม่รู้ความจริงอยู่นั่นแหละ
เพราะฉะนั้น ก็เป็นอีกโลกหนึ่ง โลกของความมืดบอด โลกของความไม่รู้ โลกของความติดข้อง โลกของความเข้าใจว่า ทุกอย่างเที่ยง โลกของการคิด ว่าเป็นเรา มีเรา แล้วก็ เป็นของเราด้วย ซึ่งความจริง ไม่เป็นอย่างนั้นเลย
เพราะฉะนั้น "ปัญญา" ที่จะรู้ความจริง ไม่ง่าย ลึกซึ้ง เพราะเหตุว่า เป็นการตรัสรู้ ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า "เริ่มรู้จัก" พระองค์ เมื่อ "ได้ฟังพระธรรม" แต่ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมเลย จะ "รู้จัก" พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้อย่างไร?
เพราะฉะนั้น คำพูด ก็เป็นคำที่ว่างเปล่าจากความจริง เมื่อกล่าวว่า มีพระรัตนตรัย เป็นที่พึ่ง มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง มีพระธรรมเป็นที่พึ่ง มีพระสงฆ์ คือ พระอริยสงฆ์ เป็นที่พึ่ง กล่าวอย่างนี้ จริงใจแค่ไหน? เป็นความจริงแค่ไหน? เข้าใจแค่ไหน?
หรือว่า ยังไม่ได้พึ่งเลย แต่ก็กล่าวว่า มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นที่พึ่ง มีพระธรรม เป็นที่พึ่ง มีพระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง จะ "รู้จัก" พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือ พระอริยสงฆ์ ก็ต่อเมื่อ ได้ "เข้าใจ" พระธรรม
ถ้าไม่มีการศึกษา การไตร่ตรอง จนกระทั่ง "เข้าใจ" พระธรรมที่ทรงแสดง จากการที่ทรงตรัสรู้ความจริง ไม่มีทางเลย ที่ใคร จะ "คิด" ธรรมะ คือ ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ได้ แต่ว่า ผู้ที่ประมาท แม้คำว่า "พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า" ก็เข้าใจว่า "เพียงอ่าน" ก็เข้าใจได้ หรือว่า เพียงคำ สองคำ ก็เข้าใจ เพราะฉะนั้น "บางคน" ได้ยินคำ "บางคำ" แต่ก็ "คิดเอง" จนกระทั่งเป็นหนังสือเล่มใหญ่ๆ แล้วใครคิด? ใครเขียน? เป็นความจริงหรือเปล่า?
เพราะฉะนั้น พระธรรม จะดำรงอยู่ต่อไปได้ จะอันตรธาน หรือ ไม่อันตรธาน คือ สูญไป หรือ ไม่สูญไป ไม่ใช่อยู่ที่ตัวหนังสือ แต่ อยู่ที่ความเข้าใจของแต่ละคน ซึ่งเป็นผู้ที่พิจารณา ไตร่ตรอง แล้วก็ศึกษา ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ที่จะไม่เปลี่ยนคำสอน ซึ่งถ้าเปลี่ยนไป โดยการที่แต่ละคน "คิดเอง" และ เข้าใจผิด ก็คือ เป็นเหตุให้พระธรรมอันตรธาน
ด้วยเหตุนี้ การฟังธรรมะแต่ละครั้ง ไม่ใช่เพื่อที่จะหมดกิเลสวันนี้ หรือว่า จะเป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี หรือ พระอรหันต์ เหมือนบุคคลในอดีต วิสาขามิคารมารดา เป็นพระโสดาบัน เมื่ออายุ ๗ ขวบ อยากจะเป็นไหม? สนใจไหม? หรือว่า ไม่ว่าจะเป็น ท่านพระราหุล หรือเป็นใครก็ตาม ลืมคิดถึง เหตุปัจจัย ที่จะทำให้ "ปัญญา" ถึงการรู้ความจริง ของสิ่งที่กำลังปรากฏ ตามปรกติ แต่หวังว่า จะไปทำอย่างหนึ่ง อย่างใด เพื่อที่จะให้เป็นอย่างท่านเหล่านั้น ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย!!
เพราะฉะนั้น ก็ต้องฟัง ด้วยการที่ "เข้าใจจริงๆ " ใน "แต่ละคำ" ทีละคำด้วย!!!
[เล่มที่ 26] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้าที่ 737
ข้อความบางตอนจาก อาณีตสูตร
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุ ในอนาคต เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึก มีอรรถ อันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญต-ธรรมอยู่ จักไม่ปรารถนาฟังจักไม่เข้าไปตั้งจิตเพื่อรู้ และจักไม่สำคัญธรรมเหล่านั้น ว่าควรเล่าเรียนว่าควรศึกษา แต่ว่าเมื่อเขากล่าวพระสูตรอันนักปราชญ์รจนาไว้ อันนักปราชญ์ร้อยกรองไว้ มีอักษรอันวิจิตร มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นของภายนอก เป็นสาวกภาษิตอยู่ จักปรารถนาฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับจักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้ และจักสำคัญธรรมเหล่านั้น ว่าควรเรียน ควรศึกษา.
[๖๗๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระสูตรเหล่านั้น ที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึก มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม จักอันตรธาน ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะเหตุดังนี้นั้น เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึก มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม อยู่ พวกเราจักฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้ และจักสำคัญธรรมเหล่านั้นว่าควรเรียน ควรศึกษา ดังนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แหละ.
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
กราบอนุโมทนาในกุศลทุกประการของ คุณย่าสงวน สุจริตกุล
กราบอนุโมทนาในกุศลทุกประการของ พี่แก้วตา อเนกพุฒิ
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
กัลยาณมิตร เป็นทั้งสิ้น ของพรหมจรรย์
ขออนุโมทนา
ขออนุโมทนาในกุศลของทุกๆ ท่านค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
กราบอนุโมทนาในกุศลทุกประการ ของคุณย่าสงวน สุจริตกุล
อนุโมทนาในกุศลเจตนาของพี่แก้วตา อเนกพุฒิ และผู้จัดงานทุกๆ ท่าน
อนุโมทนาในกุศลจิตและวิริยะของคุณวันชัย มา ณ กาลครั้งนี้
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
"ทุกขณะ ก็เป็นเพียง... ณ กาลครั้งหนึ่ง..." กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง กราบอนุโมทนาในกุศลทุกประการ ของคุณย่าสงวน สุจริตกุล กราบอนุโมทนาในกุศลเจตนา ของพี่แก้วตา อเนกพุฒิ กราบอนุโมทนาในกุศลวิริยะ ของคุณวันชัย และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
กราบขอบพระคุณ คุณวันชัย เป็นอย่างมากครับ ที่เกื้อกูลนำสารธรรมะพร้อมภาพ ที่น่าประทับใจยิ่ง รู้สึกปลาบปลื้มโสมนัสกับธรรมะที่ท่านอาจารย์แสดงผ่านออกมา ได้มีโอกาสได้อ่านได้รู้ถือว่ายังมีบุญครับ ใจนั้นอยากจะยึดธรรมะที่ท่านอาจารย์กล่าวไว้ ให้ประทับไว้ในใจให้นานแสนนาน แต่ธรรมะที่ควรค่าแก่ความทรงจำนั้นก็เป็นอนัตตา ถึงอยากจะให้จดจำแต่เดี๋ยวก็ลืม ลืมแล้วจำ จำแล้วลืมอีก แต่โดยในที่สุดแล้วในดวงใจนั้นก็ปรารถนาเข้าใจและปรารถนารู้สิ่งนี้ครับ
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"ปัญญา" ที่จะรู้ความจริง ไม่ง่าย ลึกซึ้ง เพราะเหตุว่า เป็นการตรัสรู้ ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า "เริ่มรู้จัก" พระองค์ เมื่อ "ได้ฟังพระธรรม" แต่ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมเลย จะ "รู้จัก" พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้อย่างไร?
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
กราบอนุโมทนาในกุศลทุกประการ ของคุณย่าสงวน สุจริตกุล
อนุโมทนาในกุศลเจตนาของพี่แก้วตา อเนกพุฒิ และผู้จัดงานทุกๆ ท่าน
อนุโมทนาในกุศลจิตและวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ด้วยครับ
กราบอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ.
ขออนุโมทนาครับ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
กราบอนุโมทนาในกุศลทุกประการ ของคุณย่าสงวน สุจริตกุล
อนุโมทนาในกุศลเจตนาของพี่แก้วตา อเนกพุฒิ และผู้จัดงานทุกๆ ท่าน
อนุโมทนาในกุศลจิตและวิริยะของคุณวันชัย ภู่งาม
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ด้วยค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
กราบอนุโมทนาในกุศลทุกประการ ของคุณย่าสงวน สุจริตกุล
กราบอนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.วิทยากร ทุกๆ ท่าน
กราบขอบพระคุณ และอนุโมทนาในกุศลจิตของพี่แก้วตา อเนกพุฒิ
และผู้จัดงานทุกๆ ท่าน
อนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลวิริยะของคุณวันชัย ภู่งาม
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ด้วยค่ะ
ระลึกได้ว่า เพราะเหตุที่ได้สะสมมาแล้ว เป็นผลให้ได้ศึกษาพระสัทธรรมต่อในชาตินี้ และจะเป็นปัจจัยให้ได้ศึกษาต่อไปในอนาคต
ขอกราบอนุโมทนาในส่วนกุศลของทุกท่านด้วยค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
กราบสาธุค่ะ