คำว่า โลกิยปัญญา หมายถึง ปัญญาที่เกิดร่วมกับโลกียจิต เป็นไปกับอาสวะคำว่า โลกุตรปัญญา หมายถึง ปัญญาที่เกิดร่วมกับโลกุตตรจิต ไม่เป็นไปกับอาสวะ ในอรรถกถามีกล่าวปัญญาหลายระดับ รวมถึงคำว่าโลกียและโลกุตรปัญญาด้วยดังข้อความต่อไปนี้
[เล่มที่ 44] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ ๑๑๑
ฝ่ายปัญญาที่เป็น โลกิยะ ได้แก่ สุตมยปัญญา จินตามยปัญญาและภาวนามยปัญญาที่ยังมีอาสวะ ส่วน โลกุตรปัญญา ได้แก่ ปัญญาที่สัมปยุตด้วยมรรคและผล ชื่อว่า วิมุตติได้แก่ ผลวิมุตติและนิพพาน เพราะฉะนั้น วิมุตตินั้น จึงเป็นโลกุตระอย่างเดียว.
[เล่มที่ 44] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ ๔๐๖
ฝ่ายปัญญาก็เหมือนกัน ที่สำเร็จด้วยการฟัง สำเร็จด้วยการคิด ที่สัมปยุตด้วยฌานและวิปัสสนาญาณ จัดเป็นโลกิยปัญญา แต่ในที่นี้ เมื่อว่าโดยพิเศษ พึงยึดเอาวิปัสสนาปัญญา ปัญญาที่สัมปยุตด้วยมรรคและผล จัดเป็น โลกุตรปัญญา
[เล่มที่ 22] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้าที่ ๑๒๓
สติในคำว่า สติยา เอตํ อธิวจนํ นี้มีคติเหมือนปัญญา โลกิยปัญญา ย่อมมีได้ด้วยปัญญาอันเป็นโลกิยะ โลกุตรปัญญาย่อมมีได้ด้วยปัญญาอันเป็นโลกุตระ บทว่า อริยาเยตํ ปญฺญาย ได้แก่ วิปัสสนาปัญญา อันบริสุทธิ์.
[เล่มที่ 25] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ ๔๔๘
ในบทนี้ว่า สจฺเจน กิตฺตึ ปปฺโปติ (บุคคลย่อมได้รับชื่อเสียงด้วยคำสัตย์) หรือว่ายังมีเหตุได้โลกิยปัญญาและโลกุตรปัญญา ยิ่งกว่าทมะที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ด้วยอ้างถึงปัญญา ว่า สุสฺสูสา ในบทว่า สุสฺสูสํลภเต ปญญํ (ผู้ตั้งใจฟังย่อมได้ปัญญา)
ขออนุโมทนาครับ
อนุโมทนาคะ
ขออนุโมทนาครับ