นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
... สนทนาธรรมที่ ...
มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา (มศพ.)
พระสูตร ที่จะนำมาสนทนาที่มูลนิธิฯ
วันเสาร์ที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๒.๐๐ น. คือ
๓. สังคารวสูตร
(ว่าด้วยผลของการมีและไม่มีนิวรณ์ ๕)
... จาก ...
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้า ๔๑๔ - ๔๒๑
(ภาพแสดงบรรยากาศการสนทนาธรรมที่มูลนิธิฯ ในวันเสาร์ที่ ๗ ม.ค. ๒๕๕๕)
... นำสนทนาโดย ...
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และ คณะวิทยากร
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้าที่ ๔๑๔ - ๔๒๑
๓. สังคารวสูตร
ว่าด้วยผลของการมีและไม่มีนิวรณ์ ๕
[๑๙๓] ครั้งนั้นแล สังคารวพราหมณ์ เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้วจึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม อะไรหนอ เป็นเหตุ เป็นปัจจัยเครื่องให้มนต์แม้ที่ทำการสาธยายตลอดกาลนาน ก็ไม่แจ่มแจ้งในกาลบางคราว ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่ไม่ทำการสาธยาย และอะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้มนต์แม้ที่ไม่ได้ทำการสาธยายตลอดกาลนาน ก็แจ่มแจ้งได้ ในกาลบางคราว ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่ทำการสาธยาย. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อนพราหมณ์ สมัยใด บุคคลมีใจอันกามราคะกลุ้มรุมอันกามราคะครอบงำอยู่ และย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่งธรรมเป็นเครื่องสลัดออกแห่งกามราคะที่เกิดขึ้นแล้ว สมัยนั้น บุคคลย่อมไม่รู้ไม่เห็นตามความเป็นจริง แม้ซึ่งประโยชน์ตน แม้ซึ่งประโยชน์ผู้อื่น แม้ซึ่งประโยชน์ทั้งสองฝ่าย มนต์แม้ที่ทำการสาธยายตลอดกาลนาน ก็ไม่แจ่มแจ้ง ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่ไม่ทำการสาธยาย เปรียบเหมือนภาชนะที่เต็มด้วยน้ำ ซึ่งระคนด้วยครั่ง ขมิ้น สีเขียว หรือสีเหลืองอ่อน บุรุษมีตาดี มองดูเงาหน้าของตนในภาชนะอันเต็มด้วยน้ำนั้น ไม่พึงรู้ไม่พึงเห็นตามความเป็นจริง แม้ฉันใด ดูก่อนพราหมณ์ สมัยใด บุคคลมีใจอันกามราคะกลุ้มรุม อันกามราคะครอบงำอยู่ และย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่งธรรมเป็นเครื่องสลัดออกแห่งกามราคะที่เกิดขึ้นแล้ว สมัยนั้น บุคคลย่อมไม่รู้ไม่เห็น ตามความเป็นจริงแม้ซึ่งประโยชน์ตน แม้ซึ่งประโยชน์ผู้อื่น แม้ซึ่งประโยชน์ ทั้งสองฝ่าย มนต์แม้ที่ทำการสาธยายตลอดกาลนานก็ไม่แจ่มแจ้ง ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่ไม่ทำการสาธยาย ฉันนั้นเหมือนกัน. ดูก่อนพราหมณ์ อีกประการหนึ่ง สมัยใด บุคคลมีใจอันพยาบาทกลุ้มรุม อันพยาบาทครอบงำอยู่ และย่อมไม่รู้ชัดตามเป็นจริงซึ่งธรรมเป็นเครื่องสลัดออกแห่งพยาบาทที่เกิดขึ้นแล้ว .. ฯลฯ ... มนต์แม้ที่ทำการสาธยายตลอดกาลนานก็ไม่แจ่มแจ้ง ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่ไม่ทำการสาธยาย เปรียบเหมือนภาชนะที่เต็มด้วยน้ำร้อนเพราะไฟ เดือดพล่านเป็นไอ บุรุษมีตาดีมองดูเงาหน้าของตนในภาชนะที่เต็มด้วยน้ำนั้น ไม่พึงรู้ ไม่พึงเห็นตามเป็นจริง แม้ฉันใด ดูก่อนพราหมณ์ สมัยใด บุคคลมีใจอันพยาบาทกลุ้มรุม อันพยาบาทครอบงำอยู่ และย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่งธรรมเป็นเครื่องสลัดออกแห่งพยาบาทที่เกิดขึ้นแล้ว ... ฯลฯ ... มนต์แม้ที่ทำการสาธยายตลอดกาลนาน ก็ไม่แจ่มแจ้ง ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่ไม่ทำการสาธยาย ฉันนั้นเหมือนกัน.
ดูก่อนพราหมณ์ อีกประการหนึ่ง สมัยใด บุคคลมีใจอันถีนมิทธะกลุ้มรุม อันถีนมิทธะครอบงำอยู่ และย่อมไม่รู้ชัดตามเป็นจริง ซึ่งธรรมเป็นเครื่องสลัดออกแห่งถีนมิทธะที่เกิดขึ้นแล้ว ... ฯลฯ ... มนต์แม้ที่ทำการสาธยายตลอดกาลนาน ก็ไม่แจ่มแจ้ง ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่ไม่ทำการสาธยาย เปรียบเหมือนภาชนะที่เต็มด้วยน้ำอันสาหร่ายและแหนปกคลุมแล้ว บุรุษมีตาดี มองดูเงาหน้าของตนในภาชนะที่เต็มด้วยน้ำนั้น ไม่พึงรู้ไม่พึงเห็นตามเป็นจริง แม้ฉันใด ดูก่อนพราหมณ์ สมัยใด บุคคลมีใจอันถีนมิทธะกลุ้มรุมอันถีนมิทธะครอบงำอยู่ และย่อมไม่รู้ชัดตามเป็นจริง ซึ่งธรรมเป็นเครื่องสลัดออกแห่งถีนมิทธะเกิดขึ้นแล้ว ... ฯลฯ ... มนต์แม้ที่ทำการสาธยายตลอดกาลนาน ก็ไม่แจ่มแจ้งไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่ไม่ทำการสาธยาย ฉันนั้นเหมือนกัน.
ดูก่อนพราหมณ์ อีกประการหนึ่ง สมัยใด บุคคลมีใจอันอุทธัจจะกุกกุจจะกลุ้มรุม อันอุทธัจจะกุกกุจจะครอบงำอยู่ และย่อมไม่รู้ชัดตามเป็นจริงซึ่งธรรมเป็นเครื่องสลัดออกแห่งอุทธัจจกุกกุจจะที่เกิดขึ้นแล้ว ... ฯลฯ ... มนต์แม้ที่ทำการสาธยายตลอดกาลนานก็ไม่แจ่มแจ้ง ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่ไม่ทำการสาธยาย เปรียบเหมือนภาชนะที่เต็มด้วยน้ำ อันลมพัด ไหว วน เป็นคลื่นบุรุษมีตาดีมองดูเงาหน้าของตนในภาชนะที่เต็มด้วยน้ำนั้น ไม่พึงรู้ ไม่พึงเห็นตามเป็นจริง แม้ฉันใด ดูก่อนพราหมณ์ สมัยใด บุคคลมีใจอันอุทธัจจะกุกกุจจะกลุ้มรุม อันอุทธัจจะกุกกุจจะครอบงำอยู่ และย่อมไม่รู้ชัดตามเป็นจริงซึ่งธรรมเป็นเครื่องสลัดอออกแห่งอุทธัจจะกุกกุจจะที่เกิดขึ้นแล้ว ... ฯลฯ ... มนต์แม้ที่ทำการสาธยายตลอดกาลนาน ก็ไม่แจ่มแจ้ง ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่ไม่ทำการสาธยาย ฉันนั้นเหมือนกัน. ดูก่อนพราหมณ์ อีกประการหนึ่ง สมัยใด บุคคลมีใจอันวิจิกิจฉากลุ้มรุม อันวิจิกิจฉาครอบงำอยู่ และย่อมไม่รู้ชัดตามเป็นจริง ซึ่งธรรมเป็นเครื่องสลัดออกแห่งวิจิกิจฉาที่เกิดขึ้นแล้ว ... ฯลฯ ... มนต์แม้ที่ทำการสาธยายตลอดกาลนานก็ไม่แจ่มแจ้ง ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่ไม่ทำการสาธยาย เปรียบเหมือนภาชนะที่เต็มด้วยน้ำขุ่น มัว เป็นตม ที่เขาวางไว้ในที่มืด บุรุษมีตาดีมองดูเงาหน้าของคนในภาชนะที่เต็มด้วยน้ำนั้น ไม่พึงรู้ ไม่พึงเห็นตามเป็นจริง แม้ฉันใด ดูก่อนพราหมณ์ สมัยใด บุคคลมีใจอันวิจิกิจฉากลุ้มรุม อันวิจิกิจฉาครอบงำอยู่ และย่อมไม่รู้ชัดตามเป็นจริง ซึ่งธรรมเป็นเครื่องสลัดออกแห่งวิจิกิจฉาที่เกิดขึ้นแล้ว ... ฯลฯ ... มนต์แม้ที่ทำการสาธยายตลอดกาลนานก็ไม่แจ่มแจ้ง ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่ไม่ทำการสาธยาย ฉันนั้นเหมือนกัน.
ดูก่อนพราหมณ์ ก็สมัยใดแล บุคคลมีใจอันกามราคะไม่กลุ้มรุม อันกามราคะไม่ครอบงำอยู่ และย่อมรู้ชัดตามเป็นจริง ซึ่งธรรมเป็นเครื่องสลัดออกแห่งกามราคะที่เกิดขึ้นแล้ว สมัยนั้น บุคคลย่อมรู้ ย่อมเห็นตามเป็นจริง แม้ซึ่งประโยชน์ตน แม้ซึ่งประโยชน์ผู้อื่น แม้ซึ่งประโยชน์ทั้งสองฝ่าย มนต์แม้ที่ไม่ทำการสาธยายตลอดกาลนาน ก็แจ่มแจ้งไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่ทำการสาธยาย เปรียบเหมือนภาชนะอันเต็มด้วยน้ำซึ่งไม่ระคนด้วยครั่ง ขมิ้น สีเขียวหรือสีเหลืองอ่อน บุรุษมีตาดีมองดูเงาหน้าของตนในภาชนะที่เต็มด้วยน้ำนั้น พึงรู้พึงเห็นตามเป็นจริง แม้ฉันใด สมัยใด บุคคลมีใจอันกามราคะไม่กลุ้มรุมอันกามราคะไม่ครอบงำอยู่ และย่อมรู้ชัดตามเป็นจริง ซึ่งธรรมเป็นเครื่องสลัดออกแห่งกามราคะที่เกิดขึ้นแล้ว สมัยนั้น บุคคลย่อมรู้ย่อมเห็นตามเป็นจริงแม้ซึ่งประโยชน์ตน แม้ซึ่งประโยชน์ผู้อื่น แม้ซึ่งประโยชน์ทั้งสองฝ่าย มนต์แม้ที่ไม่ทำการสาธยายตลอดกาลนาน ก็แจ่มแจ้ง ไม้ต้องกล่าวถึงมนต์ที่ทำการสาธยาย ฉันนั้นเหมือนกัน.
ดูก่อนพราหมณ์ อีกประการหนึ่ง สมัยใด บุคคลมีใจอันพยาบาทไม่กลุ้มรุม อันพยาบาทไม่ครอบงำอยู่ และย่อมรู้ชัดตามเป็นจริง ซึ่งธรรมเป็นเครื่องสลัดออกแห่งพยาบาทที่เกิดขึ้นแล้ว ... ฯลฯ ... มนต์ที่ไม่ทำการสาธยายตลอดกาลนานก็แจ่มแจ้ง ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่ทำการสาธยาย เปรียบเหมือนภาชนะที่เต็มด้วยน้ำไม่ร้อนเพราะไฟ ไม่เดือดพล่าน ไม่เป็นไอ บุรุษมีตาดี มองดูเงาหน้าของตนในภาชนะที่เต็มด้วยน้ำนั้น พึงรู้ พึงเห็นตามเป็นจริงแม้ฉันใด สมัยใด บุคคลมีใจอันพยาบาทไม่กลุ้มรุม อันพยาบาทไม่ครอบงำอยู่ และย่อมรู้ชัดตามเป็นจริง ซึ่งธรรมเป็นเครื่องสลัดออกแห่งพยาบาทที่เกิดขึ้นแล้ว ... ฯลฯ ... มนต์แม้ที่ไม่ทำการสาธยายตลอดกาลนานก็แจ่มแจ้ง ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่ทำการสาธยาย ฉันนั้นเหมือนกัน.
ดูก่อนพราหมณ์ อีกประการหนึ่ง สมัยใด บุคคลมีใจอันถีนมิทธะไม่กลุ้มรุม อันถีน-มิทธะไม่ครอบงำอยู่ และย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงซึ่งธรรมเป็นเครื่องสลัดออกแห่งถีน-มิทธะที่เกิดขึ้นแล้ว ... ฯลฯ ... มนต์แม้ที่ไม่ทำการ สาธยายตลอดกาลนานก็แจ่มแจ้ง ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่ทำการสาธยาย เปรียบเหมือนภาชนะที่เต็มด้วยน้ำ อันสาหร่ายและแหนไม่ปกคลุมแล้ว บุรุษมีตาดีมองดูเงาหน้าของตนในภาชนะที่เต็มด้วยน้ำนั้นพึงรู้พึงเห็นตามเป็นจริง แม้ฉันใด สมัยใด บุคคลมีใจอันถีนมิทธะไม่กลุ้มรุม อันถีน-มิทธะไม่ครอบงำอยู่ และย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงซึ่งธรรมเป็นเครื่องสลัดออกแห่งถีนมิทธะที่เกิดขึ้นแล้ว ... ฯลฯ ... มนต์แม้ที่ไม่ทำการสาธยายตลอดกาลนาน ก็แจ่มแจ้ง ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่ทำการสาธยาย ฉันนั้นเหมือนกัน.
ดูก่อนพราหมณ์ อีกประการหนึ่ง สมัยใด บุคคลมีใจอันอุทธัจจะกุกกุจจะไม่กลุ้มรุม อันอุทธัจจะกุกกุจจะไม่ครอบงำอยู่ และย่อมรู้ชัดตามเป็นจริง ซึ่งธรรมเป็นเครื่องสลัดออกแห่งอุทธัจจกุกกุจจะที่เกิดขึ้นแล้ว ... ฯลฯ ... มนต์แม้ที่ไม่ทำการสาธยายตลอดกาลนานก็แจ่มแจ้ง ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่ทำการสาธยาย เปรียบเหมือนภาชนะที่เต็มด้วยน้ำอันลมไม่พัด ไม่ไหว ไม่วนไม่เป็นคลื่น บุรุษมีตาดีมองดูเงาหน้าของตนในภาชนะที่เต็มด้วยน้ำนั้น พึงรู้พึงเห็นตามเป็นจริง แม้ฉันใด บุคคลมีใจอันอุทธัจจะกุกกุจจะไม่กลุ้มรุม อันอุทธัจจะกุกกุจะไม่ครอบงำอยู่ และย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงซึ่งธรรมเป็นเครื่องสลัดออกแห่งอุทธัจจะกุกกุจจะที่เกิดขึ้นแล้ว ... ฯลฯ ... มนต์แม้ที่ไม่ทำการสาธยายตลอดกาลนานก็แจ่มแจ้ง ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่ทำการสาธยาย ฉันนั้นเหมือนกัน.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง สมัยใด บุคคลมีใจอันวิจิกิจฉาไม่กลุ้มรุม อันวิจิกิจฉาไม่ครอบงำ และย่อมรู้ชัดตามเป็นจริง ซึ่งธรรมเป็นเครื่องสลัดออกแห่งวิจิกิจฉาที่เกิดขึ้นแล้ว ... ฯลฯ ... มนต์แม้ที่ไม่ทำการสาธยายตลอดกาลนานก็แจ่มแจ้ง ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่ทำการสาธยาย เปรียบเสมือนภาชนะที่เต็มด้วยน้ำอันใสแจ๋ว ไม่ขุ่นมัว ที่เขาวางไว้ในที่สว่าง บุรุษมีตาดี มองดูเงาหน้าของตนในภาชนะที่เต็มด้วยน้ำนั้น พึงรู้ พึงเห็นตามความเป็นจริง แม้ฉันใด สมัยใดบุคคลมีใจอันวิจิกิจฉาไม่กลุ้มรุม อันวิจิกิจฉาไม่ครอบงำอยู่ และย่อมรู้ชัดตามเป็นจริง ซึ่งธรรมเป็นเครื่องสลัดออกแห่งวิจิกิจฉาที่เกิดขึ้นแล้ว ... ฯลฯ ... มนต์แม้ที่ไม่ทำการสาธยายตลอดกาลนาน ก็แจ่มแจ้ง ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่ทำการสาธยาย ฉันนั้นเหมือนกัน. ดูก่อนพราหมณ์ นี้แล เป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้มนต์แม้ที่ทำการสาธยายตลอดกาลนานไม่แจ่มแจ้งได้ไนกาลบางคราว ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่ไม่ทำการสาธยาย และนี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้มนต์แม้ที่ไม่ทำการสาธยายตลอดกาลนานก็แจ่มแจ้งได้ในกาลบางคราว ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่ทำการสาธยาย.
สังคาวรพราหมณ์ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือตามประทีปในที่มืด ด้วยหวังว่าผู้มีจักษุจักเห็นรูปได้ ฉะนั้น ข้าพระองค์นี้ขอถึงพระโคดมผู้เจริญ กับทั้งพระธรรมและพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระโคดมผู้เจริญ โปรดทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสกถึงสรณะตลอดชีวิต จำเดิมตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป.
จบสังคารวสูตรที่ ๓.
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความจากอรรถกถาได้ที่นี่
อรรถกถา ... สังคารวสูตร ปัญจกนิบาต
ขอความเจริญมั่นคงในกุศลธรรมจงมีแด่ทุกท่าน
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความโดยสรุป
สังคารวสูตร
ว่าด้วยผลของการมีและไม่มีนิวรณ์ ๕
สังคารวพราหมณ์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลถามพระองค์ ถึงเหตุปัจจัยที่ทำให้มนต์ที่สาธยายตลอดกาลนาน ไม่แจ่มแจ้ง และเหตุปัจจัยที่ทำให้มนต์ แม้ไม่ได้สาธยายตลอดกาลนาน ก็แจ่มแจ้ง
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงว่า เหตุปัจจัยที่ทำให้มนต์ที่สาธยายตลอดกาลนาน ไม่แจ่มแจ้ง ๕ ประการ คือ
๑. ถูกกามราคะกลุ้มรุม ถูกกามราคะครอบงำ และไม่รู้ธรรมที่เป็นเครื่องสลัดออกซึ่งกามราคะ เมื่อนั้น ย่อมไม่เห็นประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่น และประโยชน์ทั้งสองฝ่าย มนต์ที่สาธยายตลอดกาลนาน ก็ไม่แจ่มแจ้ง เหมือนกับการมองเงาหน้าในภาชนะน้ำที่เต็มไปด้วยครั่ง ขมิ้น ไม่สามารถมองเห็นได้
๒. ถูกพยาบาทกลุ้มรุม ถูกพยาบาทครอบงำ และไม่รู้ธรรมที่เป็นเครื่องสลัดออกซึ่งพยาบาท เมื่อนั้น ย่อมไม่เห็นประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่น และประโยชน์ทั้งสองฝ่าย มนต์ที่สาธยายตลอดกาลนาน ก็ไม่แจ่มแจ้ง เหมือนกับการมองเงาหน้าในภาชนะน้ำที่ร้อน เดือดพล่าน เป็นไอ ไม่สามารถมองเห็นได้
๓. ถูกถีนมิทธะ (ความง่วงเหงาหาวนอน เซื่องซึม) กลุ้มรุม ถูกถีนมิทธะครอบงำ และไม่รู้ธรรมที่เป็นเครื่องสลัดออกซึ่งถีนมิทธะ เมื่อนั้น ย่อมไม่เห็นประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่น และประโยชน์ทั้งสองฝ่าย มนต์ที่สาธยายตลอดกาลนาน ก็ไม่แจ่มแจ้ง เหมือนกับการมองเงาหน้าในภาชนะน้ำที่ถูกสาหร่ายและแหนปกคลุมไว้ ไม่สามารถมองเห็นได้
๔. ถูกอุทธัจจะกุกกุจจะ (ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ) กลุ้มรุม ถูกอุทธัจจะกุกกุจจะ ครอบงำ และไม่รู้ธรรมที่เป็นเครื่องสลัดออกซึ่งอุทธัจจะกุกกุจจะ เมื่อนั้น ย่อมไม่เห็นประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่น และประโยชน์ทั้งสองฝ่าย มนต์ที่สาธยายตลอดกาลนานก็ไม่แจ่มแจ้ง เหมือนกับการมองเงาหน้าในภาชนะน้ำที่มีลมพัด ไหว วน เป็นคลื่น ไม่สามารถมองเห็นได้
๕. ถูกวิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัยในสภาพธรรม) กลุ้มรุม ถูกวิจิกิจฉาครอบงำ และไม่รู้ธรรมที่เป็นเครื่องสลัดออกซึ่งวิจิกิจฉา เมื่อนั้นย่อมไม่เห็นประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่น และประโยชน์ทั้งสองฝ่าย มนต์ที่สาธยายตลอดกาลนาน ก็ไม่แจ่มแจ้ง เหมือนกับมองเงาหน้าในภาชนะน้ำที่ขุ่นมัว เป็นตม และวางอยู่ในที่มืด ไม่สามารถมองเห็นได้
ส่วนเหตุปัจจัยที่ทำให้มนต์แม้ไม่ได้ทำการสาธยายตลอดกาลนาน ก็แจ่มแจ้ง ๕ ประการ มีนัยตรงกันข้าม เมื่อได้ฟังดังนี้แล้ว สังคารวพราหมณ์ ได้กล่าวสรรเสริญพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมทั้งขอถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต.
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมเพื่อความเข้าใจยิ่งขึ้นได้ที่นี่ ครับ
นิวรณ์และตัณหา
นิวรณธรรม
นิวรณ์ คือ ปิดกั้นจิตไว้
การละนิวรณ์
... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
และขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของทุกท่าน
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของทุกๆ ท่านด้วยครับ
ขออนุโมทนาทุกท่านครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาทุกท่านครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของทุกๆ ท่านด้วยค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ