ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อเวลาประมาณบ่ายสามโมงครึ่งของวันจันทร์ที่ ๒ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑ ที่ผ่านมา ระหว่างการสนทนาธรรมที่ท่านเจ้าภาพคือคุณสัมพันธ์ คุณนวรัตน์ พงษ์พรรณากูล จัดขึ้น ณ กนกรัตน์ รีสอร์ท อัมพวา สมุทรสงคราม คุณรัชนีวรรณ บุญชู (พี่เจี๊ยบ) สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ลำดับที่ ๑๑๕๐ ได้เสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน ในขณะกำลังสนทนาธรรมกับท่านอาจารย์และอาจารย์วิทยากร ในช่วงท้ายของการสนทนาธรรมในวันนั้น
(ภาพที่ เดอะ บัฟฟาโล อัมพวา เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๑)
คุณรัชนีวรรณ หรือ พี่เจี๊ยบ เป็นผู้ที่มีจิตใจงดงาม ยิ้มแย้มแจ่มใส มีจิตเมตตา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เจริญกุศลทุกประการ ทุกวันพระใหญ่ที่มูลนิธิฯ มีการจัดสนทนาธรรมตลอดทุกปีที่ผ่านมา พี่เจี๊ยบจะนำอาหารมาร่วมเจริญกุศลทุกครั้งไม่เคยขาด หลายท่านคงจำปลาทูแม่กลองต้มเค็มแสนอร่อยที่พี่เจี๊ยบต้องนำมาทุกครั้ง รวมถึงขนมจีน-แกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากราย น้ำพริกกะปิรสเลิศและอาหารคาวหวานอื่นๆ ด้วย นอกจากนั้น เมื่อมีสหายธรรมที่จัดสนทนาธรรมในวาระต่างๆ พี่เจี๊ยบ (และพี่ประสาร) ก็มักจะนำมะพร้าวน้ำหอมแช่เย็นชื่นใจนับร้อยลูกและของอื่นๆ ไปร่วมเจริญกุศลด้วยเป็นประจำ
(ภาพที่ อาคารพัฒน์ธนะ บุญชู เมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๖)
พี่เจี๊ยบ ซึ่งบัดนี้ได้สิ้นสุดความเป็นบุคคลที่ทุกๆ ท่านเคยพบและรู้จัก ได้จากไปแล้วสู่ความเป็นบุคคลใหม่ในภพใหม่ชาติใหม่ เป็นผู้ซึ่งพรั่งพร้อมไปด้วยกุศลกรรมคือบุญแต่ปางก่อน อันมีอริยทรัพย์คือปัญญา ความเข้าใจธรรมะ ซึ่งเป็นกุศลสูงสุดจากการที่ได้สะสมอบรมไว้บ่อยๆ เนืองๆ ในชาตินี้ เป็นเสบียง เป็นที่พึ่งอันยอดเยี่ยมสำหรับการเดินทางในสังสารวัฏฏ์ยาวนาน จนกว่าจะได้พบกันใหม่ แม้ว่าจะจำไม่ได้ว่าเราเคยได้พบกันมากี่ภพกี่ชาติแล้วก็ตามนะครับพี่เจี๊ยบครับ
(ภาพที่ เดอะ บัฟฟาโล อัมพวา เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๑)
ในวาระนี้ คงไม่มีสิ่งใดที่จะเป็นการแสดงความระลึกถึงพี่เจี๊ยบได้ประเสริฐไปกว่า การที่จะนำข้อความการสนทนาธรรมบางตอน ที่พี่เจี๊ยบได้สดับรับฟังในวาระสุดท้ายของชีวิตในชาตินี้ ซึ่งเป็นข้อความที่เตือนใจทุกท่านได้ดีมากๆ พี่เจี๊ยบเองก็กล่าวไว้ในที่สนทนา ก่อนที่จะเสียชีวิตในขณะต่อมา ถึงการที่ได้มีความเข้าใจขึ้นในเรื่องขันธ์ห้า ทั้งเรื่องกรรมและผลของกรรม ซึ่งจะขอถอดความการสนทนาธรรมบางตอนในวันนั้น มาลงไว้ พร้อมภาพที่ข้าพเจ้าได้เคยบันทึกไว้ในโอกาสต่างๆ ที่พี่เจี๊ยบ (และพี่ประสาร สามีของพี่เจี๊ยบ) เป็นเจ้าภาพเชิญท่านอาจารย์และวิทยากรไปสนทนาธรรมในสถานที่ต่างๆ คือ ที่ อาคารพัฒน์ธนะ บุญชู เมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖ ในวาระขึ้นบ้านใหม่ของลูกชาย ซึ่งปัจจุบัน เป็นอาจารย์สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งพี่เจี๊ยบและพี่ประสาร ได้ซื้อที่ดินแปลงใหญ่ติดหน้าประตูโรงเรียนบดินทร์เดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ๒ ถนนนวมินทร์ กรุงเทพมหานคร และสร้างบ้าน (อาคาร) หลังใหญ่ไว้ให้ และกราบเรียนเชิญท่านอาจารย์ไปสนทนาธรรมในโอกาสขึ้นบ้านใหม่ ท่านที่สนใจ สามารถคลิกชมได้ที่นี่ ...
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ อาคารพัฒน์ธนะ บุญชู ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๖
(ภาพที่โรงเลื่อยจักรประสาร ต.นาโคก อ.เมือง จ.สมุทรสาคร เมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๐)
สำหรับสถานที่ที่สอง ที่ได้บันทึกไว้ คือ ที่บ้านหลังใหม่ของพี่เจี๊ยบและพี่ประสาร ที่ โรงเลื่อยจักรประสาร ซึ่งมีการจัดสนทนาธรรมในโอกาสขึ้นบ้านใหม่ด้วยเช่นกัน ท่านสามารถติดตามอ่านได้ ตามกระทู้นี้ ...
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ โรงเลื่อยจักรประสาร ต.นาโคก อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๐
(ภาพที่โรงเลื่อยจักรประสาร ต.นาโคก อ.เมือง จ.สมุทรสาคร เมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๐)
และ ครั้งที่สาม คือ ที่ เดอะ บัฟฟาโล อัมพวา ซึ่งเป็นรีสอร์ทแสนสวยของพี่เจี๊ยบที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ เมื่อไม่นานมานี้เอง และได้กราบเรียนเชิญท่านอาจารย์และวิทยากรจากมูลนิธิฯ ไปสนทนาธรรม เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ถึงวันที่ ๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑ ที่ผ่านมา (ท่านสามารถติดตามอ่านได้ที่นี่ ...
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ เดอะ บัฟฟาโล อัมพวา ๓๐ เมษายน - ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑)
และแม้ในคราวนี้ หลังจากจบการสนทนาธรรมที่ กนกรัตน์ รีสอร์ท ในวันที่ ๒ กรกฎาคม พี่เจี๊ยบก็ได้กราบเรียนเชิญท่านอาจารย์เพื่อพักผ่อนค้างคืนต่อที่ เดอะ บัฟฟาโล อัมพวา เพื่อสนทนาธรรมต่อในวันรุ่งขึ้น คือวันที่ ๓ กรกฎาคม ซึ่งพี่เจี๊ยบได้โทรศัพท์มาหาเพื่อเชิญข้าพเจ้าและครอบครัวไปพักผ่อนและสนทนาธรรมที่ เดอะ บัฟฟาโล ในครั้งนี้ เมื่อสามวันก่อนหน้านี้เอง แต่ข้าพเจ้าแจ้งพี่เจี๊ยบไปว่าไม่สามารถไปร่วมสนทนาด้วยได้เนื่องจากป่วยเป็นไข้หวัด ซึ่งไม่คิดเลยว่า จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้สนทนากัน
(ภาพที่ อาคารพัฒน์ธนะ บุญชู เมื่อวันมี่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๖)
เพื่อเป็นการระลึกถึงและเป็นเกียรติแก่ผู้ที่มีนามในชาตินี้ว่า รัชนีวรรณ บุญชู (พี่เจี๊ยบ) จึงขอนำภาพในวาระต่างๆ ดังกล่าวแล้วข้างต้น มาประกอบกับความการสนทนา ที่พี่เจี๊ยบได้สดับในวันสุดท้ายแห่งชีวิตในชาตินี้ เพื่อเป็นการรำลึกถึงพี่เจี๊ยบ (รัชนีวรรณ บุญชู) ผู้เพิ่งจากไป ดังต่อไปนี้
(ภาพที่โรงเลื่อยจักรประสาร ต.นาโคก อ.เมือง จ.สมุทรสาคร เมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๐)
คุณสัมพันธ์ ผมอยากให้ทุกท่าน ได้มีส่วนในการสนทนาธรรมให้มากนะครับ เพราะว่าจริงๆ การเปิดโอกาสให้มีการสนทนาธรรมในวันนี้ จุดประสงค์ อยากให้ทุกๆ ท่านที่มีคำถามได้ใช้เวลาอย่างเต็มที่ โดยที่ไม่ต้องเกรงใจทางผู้จัดแต่อย่างใด
(พี่เจี๊ยบ พี่ประสาร และลูกชาย อาจารย์พัฒน์ธนะ บุญชู ณ อาคารพัฒน์ธนะ บุญชู ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๖)
วันนี้ทำให้ผมนึกถึงหลายเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คติที่เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของคุณแม่กานดา คุณแม่ของคุณนวรัตน์ (คุณแป๊ว) เรื่องแรก ผมมองเห็นคุณแป๊วป่วยเมื่อสี่ห้าวันที่แล้ว ก็เห็นถึงความไม่แน่นอนขึ้นมา ในเรื่องของเกี่ยวกับสมอง เรื่องเส้นเลือดในสมอง ก็ป่วยไม่เยอะ นิดหน่อย
(พี่เจี๊ยบและคุณย่าสงวน สุจริตกุล ที่ เดอะ บัฟฟาโล อัมพวา เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๑)
อีกเรื่องหนึ่ง เมื่อเช้านั่งทานอาหาร เปิดทีวี เห็นโรงงานของเพื่อนไฟไหม้ ที่มหาชัย ไทยรอแยลฟรอเซนฟู๊ด ผมเพิ่งไปเป็นประธานที่ประชุมตรงไฟไหม้นี่แหละครับ เมื่อวันศุกร์นี้เอง ผมประชุมคณะกรรมการหอการค้ากลุ่มจังหวัด ใช้สถานที่เขา แล้วก็นั่งอยู่ตรงนั้น ชั้นสี่ที่เราเห็นควันไฟ ก็ทำให้เราคิดว่า ถ้าจังหวะเวลามันเกิดขึ้นเร็ว มันเกิดขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมานี่ไม่รู้ผมไปอยู่ไหนแล้ว อันนี้คือ เมื่อเช้านี้นั่งนึกอยู่ ก็เลยทำให้คิดว่า เรื่องความไม่แน่นอนนี้เอง ทำให้ผมรู้สึกว่า สิ่งที่ผ่านมานี้ประมาทค่อนข้างมาก ก็เลยอยากจะเรียนสนทนากับท่านอาจารย์และวิทยากรว่า สิ่งเหล่านี้ที่เกิดขึ้นกับตัวผมแล้วก็ครอบครัว เกี่ยวข้องกับเรื่องของธรรมะอย่างไรบ้างครับ กราบเรียนถามท่านอาจารย์ครับ
ท่านอาจารย์ ก่อนอื่นนะคะ ไม่ลืมว่า "สิ่งที่กำลังมี มีจริงๆ " แต่ว่า "รู้ยาก" และบางคนก็ไม่รู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ สิ่งที่มี แน่นอน เพราะเหตุว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ที่ยังไม่เกิดขึ้น ใครจะรู้
อย่างเมื่อวันศุกร์ คุณสัมพันธ์ไม่มีโอกาสรู้เลยว่า วันจันทร์หรือวันไหน อะไรจะเกิดขึ้น!! ทุกอย่าง รู้เมื่อเกิดแล้ว!! ใช่ไหม แต่ละคำ เป็นสิ่งที่เราจะต้องคิด ไม่ใช่ว่าเราฟังธรรมะแล้วเราก็อยากจะเป็นอย่างนั้น อยากจะเป็นอย่างนี้ อยากจะหมดกิเลส อยากจะมีปัญญา อยากจะรู้สิ่งต่างๆ ตามที่ได้ฟัง นั่นคือ ธรรมะอย่างหนึ่ง ซึ่งมีจริงๆ อยากจริงๆ แต่อยากสักเท่าไหร่ ก็ไม่ได้เป็นไปตามอยาก เพราะว่า ทุกอย่าง เหตุต้องตรงกับผล
เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่า สิ่งที่มี ที่ได้ฟังจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ลึกซึ้งเกินกว่าที่จะคิดเอง และเกินกว่าที่จะเข้าใจได้ง่ายๆ เราฟังมาแล้วชาตินี้ บางท่านก็สิบปี ยี่สิบปี สามสิบปี สี่สิบปี ห้าสิบปี ถึงหกสิบปี ก็จะรู้ได้ว่า สิ่งที่ควรจะรู้และเข้าใจ ไม่พ้นจากสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้!!
แต่ก็เป็นสิ่งที่ยากมาก เพราะว่า เพียงกล่าวถึงสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ก็หมดแล้ว!! แต่ไม่มีใครรู้เลย!! ว่าแท้ที่จริง สิ่งที่เราพูดว่า "เดี๋ยวนี้" ก็คือ หมดแล้ว!! ไม่เหลือเลย!!! แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย!!
เพราะฉะนั้น ทุกอย่าง ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งยากที่จะรู้ได้!!! เพราะฉะนั้น ฟัง เพื่อ เข้าใจ ในภาษาไทยเราใช้คำว่า "เข้าใจถูกตามความเป็นจริง ของสิ่งที่มี" แต่ภาษาบาลีก็ใช้คำว่า "ปัญญา" ถ้าเราไม่เข้าใจ เราก็คิดว่า เราอยากมีปัญญา แต่ถามว่า ปัญญารู้อะไร อยากมีปัญญาไปทำไม และปัญญานั้นรู้อะไร จะมีใครตอบไหมว่า เพื่อจะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ให้ถูกต้อง ตามความเป็นจริง
เพราะว่า แต่ละคำ แม้แต่ฟัง ก็ยากที่จะเข้าใจ เดี๋ยวนี้ "เห็น" ดับแล้ว!! เห็นไหม? ใครจะเข้าใจได้ แต่ว่า ขณะที่ได้ยิน ก็ไม่ใช่ ขณะที่เห็น เพราะฉะนั้น คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นคำจริง จากการที่ได้บำเพ็ญพระบารมี ที่จะรู้ความจริงอย่างนี้ได้ นานมาก เพราะฉะนั้น คนฟัง ก็ต้องเป็นผู้ที่รู้ว่า เพื่อความเข้าใจ หรือข้อความในพระไตรปิฎกมีว่า เพื่อปัญญาเกิดขึ้น เพื่อปัญญาปรากฏ!! ถ้าปัญญายังไม่เกิด จะรู้ไหมว่า ปัญญาต่างกับความไม่รู้เดี๋ยวนี้ ที่กำลังไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ!!
(ภาพที่ เดอะ บัฟฟาโล อัมพวา เมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑)
เพราะฉะนั้น แต่ละคำก็เป็นเรื่องที่ฟังแล้วไตร่ตรอง แต่ละคำต้องมีความมั่นคงว่า เป็นคำที่ถูกต้อง เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เช่น ขณะนี้มีจริงๆ ไม่ปฏิเสธเลย แต่ไม่รู้ตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ฟังทำไม ก็ฟังเพื่อเข้าใจ เพื่อรู้ความจริงของสิ่งที่มี จะไปรู้ความจริงของอะไรที่ไม่มีได้หรือ สิ่งที่มีแล้วไม่รู้นี้แหละ แสดงถึงความไม่รู้ว่า ไม่รู้มานานมาก และสิ่งที่จะรู้ได้ ก็ถูกปิดบัง ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ความจริง
(ด.ญ.ปัญญวา และ ด.ช.อธิปติ เริ่มรวย หลานสาวและหลานชายสุดที่รักของพี่เจี๊ยบ กราบเท้าท่านอาจารย์)
(คุณสารีรัตน บุญชู ลูกสาวของพี่เจี๊ยบและพี่ประสาร ผู้บริหาร เดอะ บัฟฟาโล อัมพวา)
แต่ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ละคำ เป็นปาฏิหาริย์ เป็นเตชะ เป็นเดช มีกำลังที่จะทำให้ความไม่รู้ซึ่งไม่รู้มานาน ค่อยๆ เป็นความรู้ความเข้าใจขึ้น จึงเป็นผู้ที่ไม่ประมาทในสิ่งที่มี ว่า ยากที่สุดที่จะรู้ได้ แต่รู้ได้ แต่ไม่ใช่ด้วยความไม่รู้ ด้วยความเป็นตัวตน ด้วยความอยาก แต่ด้วยการที่ ได้ฟังคำ ซึ่งทำให้ไตร่ตรอง แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจความจริงว่า ความจริงอย่างนี้ เป็นอย่างนี้ เปลี่ยนไม่ได้เลย แน่นอนที่สุด ใครจะเปลี่ยน "เห็น" ให้เป็นอย่างอื่น "กำลังได้ยิน" ก็ไม่ใช่ "เห็น" แล้ว และ "คิด" ก็ไม่ใช่ทั้งเห็นทั้งได้ยิน
ขณะนี้ ก็เป็นสิ่งซึ่ง เราก็ไม่เคยรู้ล่วงหน้ามาก่อนเลย ไม่มีใครรู้ว่า ขณะต่อไป จะเป็นอะไร
เพราะฉะนั้น ก็เป็นผู้ที่ไม่ประมาท ว่า ฟังพระธรรม ไม่ใช่เพื่อลาภ ยศ สักการะ ชื่อเสียง หรือว่า อยากจะเป็นพระอริยบุคคลหรือใครก็ตาม แต่ฟังเพราะไม่รู้!! และฟังเพื่อ เมื่อฟังแล้ว ค่อยๆ รู้ แล้วจะไปทำอะไรไหม? จะไปเปลี่ยนแปลงชีวิตไหม? นั่นคือ ไม่รู้สิ่งที่เกิดแล้ว ทันทีที่คิดจะทำอะไร ก็คือ ไม่รู้สิ่งที่ปรากฏแล้ว!!
เพราะฉะนั้น คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มากมาย ๔๕ พรรษา ตั้งแต่คำแรก จนถึงคำสุดท้าย ทุกคำ เป็นคำที่ ให้ผู้ที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อน ได้ไตร่ตรอง ได้พิจารณา แล้วเป็นความรู้ของบุคคลนั้นเอง!!
เพราะฉะนั้น ให้อะไรใครนี้ให้ได้ไหม? จะให้อย่างไร? เกิดแล้วดับแล้วทั้งนั้น!! แต่ว่า ให้ "คำ" ซึ่งเกิดจากปัญญา ซึ่งเป็นผู้ที่ทรงตรัสรู้ ไม่มีคำอื่นใดจะจริงเท่าคำนี้แต่ละคำ แต่ละคำ มีประโยชน์ที่ทำให้ความไม่รู้ ค่อยๆ หมดไป และความรู้ก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น
เพราะว่า ทุกคน ต้องจากทุกอย่าง ที่มี เดี๋ยวนี้ก็กำลังเป็นอย่างนั้น!! แต่ไม่ปรากฏให้รู้ แต่จะรู้ ต่อเมื่อมีการสูญเสีย เราก็คิดว่า เราจาก ... แต่ว่า ความจริง สูญเสียทุกขณะ!!! ไม่มีขณะไหนที่เหลืออยู่ได้เลย!! แต่เพราะความไม่รู้ ซึ่งปกปิดการเกิดดับสืบต่อ อย่างเร็วสุดที่จะประมาณ ก็ทำให้เหมือนกับว่า กำลังมีทุกอย่าง !!!
เพราะฉะนั้น คำแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพิจารณาแล้ว สามารถประจักษ์แจ้ง และคุณค่ามหาศาล ไม่มี ... แล้วจึงมี ... เมื่อเกิดขึ้น!! เกิดแล้วก็หมด!! ดับไป ไม่เหลือเลย!!! ไม่มี!!
เพราะฉะนั้น มีอะไร? มีแต่เพียง สิ่งซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้น ชั่วคราว แล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก!!!
แต่สิ่งที่เกิด ไม่ได้หยุดยั้งเลย เกิดตลอด มากมาย เป็นโลก เป็นดวงดาว เป็นอะไรสารพัดอย่าง เป็นคน เป็นวัตถุ สิ่งของ แต่ละหนึ่ง เกิดขึ้น ละเอียดยิบ ตามเหตุ ตามปัจจัย แต่เมื่อรวมกัน ก็ปรากฏ "ความลวง" เหมือนเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เพราะฉะนั้น สัตว์โลกจึงถูกลวงด้วยความไม่รู้ จากไม่มี แล้วก็เกิดมี แล้วก็หมดไป ก็ไม่รู้!! แต่ก็ยังติดข้อง พอใจ เพราะหลงยึดถือว่า ยังมีอยู่
เพราะฉะนั้น คุณค่าของการที่จะได้รู้ความจริง ซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย ใครก็เปลี่ยนไม่ได้ ความจริงเป็นอย่างนี้ ก็คือ ไม่มี!! แต่ มี เมื่อเกิดขึ้น!! แล้วไม่รู้!! แล้วติดข้อง!! ซึ่ง ทั้งหมด .. ก็ ... หมดแล้ว ....
เมื่อกี้นี้ เสียงเพลงเพราะๆ หมดแล้ว เสียงใหม่ หมดอีก คิดใหม่ ก็หมดอีก ไม่มีอะไรที่เหลือเลย ...
เพราะฉะนั้น ฟังไป เพราะเหตุว่า ความเข้าใจที่กำลังเข้าใจนี้แหละ ที่กำลังสะสม จนกระทั่ง เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า แต่ละคำ มาจากที่ได้ทรงตรัสรู้ เป็นคำที่ทำให้เกิดปัญญา ความเห็นที่ถูกต้อง ซึ่งไม่มีคำอื่น ที่จะสามารถทำให้เข้าใจสิ่งที่มี ซึ่งถูกปกปิดไว้นานมาก จนกระทั่ง สามารถที่จะเปิดเผย ความจริงประจักษ์แจ้ง ละความไม่รู้ สามารถที่จะรู้ความจริงยิ่งขึ้น ดับสิ่งที่เราเคย พอใจ อย่างยิ่ง ความสนุกสนาน ความติดข้อง ทรัพย์สมบัติมากมาย ซึ่งความจริงก็คือว่า ไม่เหลือเลย ไม่สามารถที่จะเหลือได้ เพราะเหตุว่า แท้ที่จริง ก็กำลังจากไปทุกขณะ ....
ก็เป็นสิ่งซึ่ง วันหนึ่ง แต่ละคำที่ได้ฟัง จะเป็นความจริงที่ปรากฏ ว่า เป็นอย่างนั้น เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย ...
พี่เจี๊ยบ กราบท่านอาจารย์ และอาจารย์วิทยากรค่ะ หนูไม่มีอะไรหรอก หนูก็เรียนมา ที่ศึกษามา ก็คือ ตอนนั้น ขันธ์ ๕ ไม่รู้จัก ตอนนี้เริ่มแล้ว รู้จักแล้ว แต่ตอนนี้ก็ค่อยๆ เข้าใจกรรมและผลของกรรม (หัวเราะ) ต้องค่อยๆ เข้าใจนะคะ อย่างที่เด็ก ๑๓ คน เมื่อวันอาทิตย์ที่สนทนากัน (ที่มูลนิธิฯ) ว่ากรรม ที่ว่าพระมา (ทำพิธี) ก็ผิด (พระวินัย) ใช่ไหม ที่ไป (ทำพิธี) เปิดถ้ำเปิดอะไร (หัวเราะ) ตอนนี้ หนูจะถามอาจารย์ธีรพันธ์ว่า วันนั้น ฟังพระสูตรมาอยู่สูตรหนึ่ง ที่ว่าเด็กเลี้ยงวัว ที่ไปปิดปากถ้ำ ...
อ.ธีรพันธ์ คือเด็กเลี้ยงโค ๗ คน
พี่เจี๊ยบ ๗ คน ใช่ค่ะ
อาจารย์ธีรพันธ์สนทนาตอบคำถามพี่เจี๊ยบด้วยการกล่าวถึงพระสูตรดังกล่าวได้เพียงไม่กี่คำ พี่เจี๊ยบก็จากทุกคนไปต่อหน้าท่านอาจารย์และวิทยากร ท่ามกลางกัลยาณมิตรของพี่เจี๊ยบที่เดินทางมาร่วมฟังการสนทนาธรรมในวันนี้เต็มห้องประชุมใหญ่ของ กนกรัตน์ รีสอร์ท สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ อย่างไม่มีวันที่จะหวนกลับมาพบกันอีกได้เลย ในสังสารวัฏฏ์
"เมื่อวานนี้ (๒ กรกฎาคม ๒๕๖๑) ตอนนั่งรถไปกับท่านอาจารย์เพื่อไปส่งท่านที่บ้าน โดยมีคุณนาง (นิยะดา) เป็นผู้ขับ ได้กราบเรียนท่านว่า ท่านอาจารย์คะ หนูไม่ได้รู้สึกเสียใจเศร้าใจ กับการจากไปของคุณเจี๊ยบเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะหนูจำคำที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวไว้อยู่เสมอว่า ... จุติจิตเกิดแล้ว ปฏิสนธิเกิดใหม่ทันที ไม่มีระหว่างคั่น ความตายเป็นเรื่องปกติเหมือนกับการเกิด ท่านบอกว่า ... ใช่สิคะ ... เป็นธรรมดามากๆ พูดบ่อยๆ เพื่อที่จะได้จำเอาไว้ว่า ... ว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาจริงๆ ท่านหัวเราะด้วยค่ะ และจำได้ครั้งหนึ่งตอนนั้น คุณแม่เสียชีวิต ก่อนวันคริสมาสต์ 1 วัน ความเสียใจ ความเศร้าโศกก็ถาโถมเข้ามา ไปกราบเรียนท่านในห้องพักด้วยน้ำตานองหน้า ว่าคุณแม่หนูเสียแล้ว (หวังว่าจะได้ยินท่านพูดปลอบใจ) ท่านหัวเราะค่ะ ... แล้วก็พูดว่า ... แล้วคุณแอ๊วจะร้องไห้ไปทำไมกันคะ ท่านไปเกิดใหม่ เป็นคนใหม่ คุณแอ๊วไม่รู้จักท่านแล้ว ร้องทำไมคะ สงสารตัวเองเหรอ ... คำพูดนี้ทำให้น้ำตาหยุดไหลทันทีและคิดขึ้นได้ค่ะ
ฟองจันทร์ วอลช (แอ๊ว)
(๓ กรกฎาคม ๒๕๖๑)
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออุทิศกุศลทุกประการที่ได้บำเพ็ญไว้ดีแล้วในชาตินี้ แด่พี่เจี๊ยบ (รัชนีวรรณ บุญชู) ขอจงมีจิตโสมนัสยินดี อนุโมทนาในกุศลนั้น ด้วยเทอญ
ขออนุญาตนำข้อความที่ อาจารย์พัฒน์ธนะ บุญชู บุตรชายของพี่เจี๊ยบ (รัชนีวรรณ บุญชู) เขียนบันทึกส่งให้เพื่อนๆ เพื่อทราบถึงเรื่องการจากไปของคุณแม่ มาลงไว้ เพื่อความสมบูรณ์ขึ้นของกระทู้นี้ ดังต่อไปนี้ ....
เช้าเห็นกัน เย็นอาจไม่เห็นกัน ...
คุณแม่ของผมได้เสียชีวิตลงอย่างกะทันหันเมื่อเวลาประมาณบ่ายสามโมงเศษของวันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 ในขณะที่สนทนาธรรมกับท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และคณะวิทยากรจากมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา (มศพ.) ที่ กนกรัตน์ รีสอร์ท อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาก็มีหลายท่านที่รู้จักกับคุณแม่ได้แสดงความไว้อาลัย และสอบถามเรื่องเกี่ยวกับการจากไปของคุณแม่ในหลายประเด็น ผมขอสรุปบางประเด็นเท่าที่จะสามารถถ่ายทอดออกมาเป็นภาษาเขียนได้ในขณะนี้ดังนี้ครับ
(1) คุณแม่เสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลัน โดยไม่มีอาการเกี่ยวกับการโรคหัวใจใดๆ มาก่อน คุณแม่จัดว่าเป็นคนที่แข็งแรงมาก น้อยครั้งที่จะเจ็บไข้ได้ป่วย ตรวจสุขภาพและออกกำลังกายอยู่อย่างสม่ำเสมอ เข้ารับการผ่าตัดก็ฟื้นกลับมาทำงานได้ในเวลาอันรวดเร็ว การจากไปในระหว่างการสนทนาธรรมหลังจากการสนทนาธรรมะแล้วหมดสติล้มลงไปหลังจากที่ได้ถามปัญหาธรรมะเสร็จ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแบบไม่มีสัญญาณบอกเหตุใดๆ เช้าเห็นกัน บ่ายหรือเย็นก็อาจจะไม่เห็นกันแล้วก็เป็นไปได้ เป็นสภาพธรรมะที่ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลยจริงๆ
(2) คุณแม่ได้ทำพินัยกรรมบริจาคร่างกายให้กับภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2560 และได้สั่งกำชับว่าหลังจากคุณแม่ได้เสียชีวิตแล้วให้ดำเนินการต่างๆ ดังต่อไปนี้
2.1 ให้โทรแจ้งคณะแพทย์ศิริราช ให้มานำร่างของคุณแม่ไปเป็นอาจารย์ใหญ่ให้กับนักศึกษาแพทย์ ถ้าหากเกิดเหตุอันใดที่ทำให้ไม่สามารถนำร่างกายที่บริจาคไปใช้ประโยชน์ได้ ให้ติดต่อทางวัดเพื่อทำการเผาศพทันที ไม่ให้จัดพิธีกรรมทางศาสนาใดๆ หากมีการเผาศพกับวัด ให้สอบถามกับทางวัดมีว่ามีความขาดแคลนสิ่งใด แล้วให้ทำบุญบริจาคสิ่งที่ขาดแคลนเหล่านั้น โดยมิให้เป็นเงินกับทางวัดโดยเด็ดขาด
2.2 ไม่ให้นำกระดูกใดๆ กลับมาเก็บไว้ที่บ้านหรือที่อื่นใด ให้ทางคณะแพทย์ศิริราชจัดการไปตามกระบวนการปกติ ในกรณีที่ต้องเผาศพที่วัดให้นำกระดูกไปลอยอังคารให้หมดโดยเร็วที่สุด ถ้าหากระลึกถึงกันเมื่อใด ก็ให้ไปทำบุญบริจาคสิ่งของให้กับผู้ที่ขัดสนและสมควรได้รับประโยชน์
2.3 ให้นำเงินในบัญชีที่คุณแม่เปิดไว้ต่างหากทั้งหมดไปซื้อสิ่งของที่จำเป็นให้กับผู้รับบริจาคที่มีความขัดสนตามที่ต่างๆ เช่น โรงพยาบาล โรงเรียนตามถิ่นธุรกันดาร ฯลฯ จนกว่าเงินในบัญชีจะหมด
(3) ประเด็นธรรมะที่คุณแม่ได้สอบถามท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ละคณะวิทยากรก่อนที่จะสิ้นลมหายใจ คือเรื่องขันธ์ 5 (รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์)
(4) ในวันที่คุณแม่จากไป ผมได้พูดคุยกับคุณแม่ในช่วงเช้ามืดประมาณตีห้าครึ่งที่ห้องนอนคุณแม่ก่อนเดินทางเข้าไปสอบวิทยานิพนธ์ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่บางเขน ตอนเข้าไปทักทายคุณแม่ คุณแม่กำลังบริหารร่างกาย ยืดเส้นยืดสาย และยังกำชับว่าให้ขับรถดีๆ ไม่ต้องขับซิ่งมาก หลังจากสอบวิทยานิพนธ์เสร็จในช่วงเช้า ผมกลับคอนโดไปนั่งทำงานพักหนึ่ง ก่อนที่จะเตรียมตัวขับรถกลับไปที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์อีกครั้งเพื่อสอบวิทยานิพนธ์ในช่วงเย็นต่อต่อ ก่อนที่จะได้รับโทรศัพท์จากน้องสาวโดยมีคุณอาเป็นคนพูดสาย บอกให้รีบกลับบ้านเพราะคุณแม่ล้มไป ผมรีบตีรถกลับบ้านขึ้นทางด่วนออกจากกรุงเทพฯ เวลาประมาณ 4 โมงเย็นและถึงโรงพยาบาลสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เวลาประมาณ 6 โมงเย็น ทันเวลาได้กราบลาร่างของคุณแม่ก่อนที่จะต้องนำร่างไปรักษาอุณหภูมิก่อนที่ทางศิริราชจะมารับร่างไปเป็นอาจารย์ใหญ่ในช่วงเช้าของวันรุ่งขึ้น
(5) คุณแม่จากไปด้วยอาการสงบ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ภาพสุดท้ายก่อนที่คุณแม่จะล้มไปเป็นภาพขณะที่คุณแม่ถามปัญหาธรรม นับว่าเป็นบุญของคุณแม่มากที่มีโอกาสได้ใช้ช่วงเวลาขณะสุดท้ายของชีวิต อยู่กับท่านอาจารย์สุจินต์ ที่คุณแม่ให้ความเคารพอย่างสูงในการศึกษาธรรมะ อาจารย์สุจินต์ คณะวิทยากร และสหายธรรมของคุณแม่ได้อยู่ส่งคุณแม่จนถึงจิตขณะสุดท้ายในชาตินี้ (จุติจิต) ก่อนที่จิตขณะแรกของชาติต่อไป (ปฏิสนธิจิต) จะเกิดขึ้นต่อเนื่องอย่างไม่มีอะไรมากแทรกคั่น การจากไปของคุณแม่เป็นการจากไปแบบไม่เจ็บไม่ปวดในช่วงเวลาที่ถ้าคิดว่าเป็นปาฏิหาริย์ก็เป็นปาฏิหาริย์ที่เกิดจากกุศลธรรมที่คุณแม่ได้สั่งสมไว้
(6) สุดท้ายนี้ผมเชื่อว่าบุญกุศลที่คุณแม่ได้สั่งสมมาจะพาคุณแม่ไปสู่สุคติภูมิ ในภพภูมิที่คุณแม่จะได้สร้างกุศลอย่างที่คุณแม่ได้กระทำไว้ในชาตินี้ และมีโอกาสที่จะได้เข้าใจธรรมะ เพื่อเป็นไปในการละคลายอกุศล ความติดข้องต้องการต่างๆ จนกว่าจะพ้นจากการเวียนว่ายในสังสารวัฏฏ์
(7) ดีใจที่ได้เป็นลูกของแม่ในชาตินี้
(8) ผมขออนุญาตปิดท้ายโพสต์นี้ด้วยข้อความบางส่วนจากพระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 7 สังยุตตนิกาย สคาถวรรค อัยยิกาสูตรที่ 2 ดังมีข้อความดังนี้
“สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงต้องตาย เพราะชีวิตมีความตายเป็นที่สุด สัตว์ทั้งหลายจักไปตามกรรม เข้าถึงผลแห่งบุญและบาป คือผู้มีกรรมเป็นบาป จักไปสู่นรก ส่วนผู้มีกรรมเป็นบุญ จักไปสู่สุคติ ฯ เพราะฉะนั้น พึงทำกรรมงามอันจะนำไปสู่สัมปรายภพ สั่งสมไว้ บุญทั้งหลายย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายในปรโลก ฯ”
ป.ล. ขออนุญาตแชร์โพสต์จากมูลนิธิเผยแพร่พระพุทธศาสนาที่เขียนถึงคุณแม่ไว้ต่อท้ายโพสต์นี้ครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบอนุโมทนาภาพและเรื่องราวที่รวดเร็วครับ
กราบอนุโมทนาสหายธรรมทุกท่านด้วยความเคารพครับ
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
"เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป"
ขออุทิศกุศลทุกประการที่ได้บำเพ็ญไว้ดีแล้วในชาตินี้ แด่คุณพี่รัชนีวรรณ บุญชู และขอจงมีจิตโสมนัสยินดี อนุโมทนาในกุศลนั้น ด้วยเทอญ
กราบอนุโมทนาค่ะ
กราบอนุโมทนาค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
แม้จะไม่เคยได้รู้จักหรือได้เคยสนทนาด้วยเป็นการส่วนตัว แต่ก็มีโอกาสได้ติดตามและร่วมอนุโมทนาในการสร้างกุศลด้วยการจัดสนทนาธรรมในที่ต่างๆ ของคุณรัชนีวรรณ บุญชูเป็นระยะๆ
ครั้น เมื่อทราบว่าคุณรัชนีวรรณ บุญชูเป็นผู้มีน้ำใจกว้างขวาง เป็นผู้ร่วมสนับสนุนธุระการงานของ มศพ. อีกทั้งเป็นผู้ตั้งใจฟังธรรมะและได้ฟังจวบจนกระทั่งขณะสุดท้ายวาระจิต ก็ให้รู้สึกซาบซึ้งในส่วนกุศลของท่าน และขอร่วมอนุโมทนาแด่กุศลจิตและกุศลอื่นๆ ที่คุณรัชนีวรรณ บุญชูได้กระทำไว้ในปัจจุบันชาติด้วยครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตครับและขออุทิศส่วนกุศลให้คุณรัชนีวรรณ บุญชูด้วยครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ ถึงแม้ว่าไม่ได้รู้จักคุณรัชนีวรรณ แต่ในฐานะที่เป็นสมาชิกบ้านธัมมะด้วยกัน การจากไปของท่านก็เป็นประโยชน์ เป็นสิ่งเตือนใจให้ชีวิตที่เหลืออยู่ไม่ประมาท ขอท่านไปสู่สุขคติได้พบและฟังพระธรรมเพิ่มขึ้นอีกเหมือนในชาตินี้ สาธุ..
ที่ได้ฟังจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ลึกซึ้งเกินกว่าที่จะคิดเอง และเกินกว่าที่จะเข้าใจได้ง่ายๆ เราฟังมาแล้วชาตินี้ บางท่านก็สิบปี ยี่สิบปี สามสิบปี สี่สิบปี ห้าสิบปี ถึงหกสิบปี ก็จะรู้ได้ว่า สิ่งที่ควรจะรู้และเข้าใจ ไม่พ้นจากสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้!!
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอแสดงความอาลัยของการจากไปของพี่ และทำให้เห็นถึงธัมมะขององค์พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งทรงแสดงไว้ในโลก
อนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ฯ
กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพอย่างยิ่ง
กราบอนุโมทนาในกุศลทุกๆ ประการที่คุณรัชนีวรรณ บุญชู ได้บำเพ็ญไว้แล้ว
ขออุทิศส่วนกุศลให้คุณรัชนีวรรณ บุญชู ได้อนุโมทนาด้วยค่ะ
กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาคุณวันชัย ภู่งาม ในกุศลวิริยะด้วยค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
กราบแทบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์
ดิฉันได้ฟังและชมการถ่ายทอดสนทนาธรรมที่เดอะบัฟฟาโลอัมวา
เป็นการจากไปที่กระทันหัน แม้ทุกอย่างเป็นธรรม ดังคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ท่านอาจารย์ได้เมตตานำมาถ่ายทอดให้เราได้ฟังอย่างไม่ย่อท้อ เพื่อให้เราไม่ประมาท เพราะชีวิตมีเพียงขณะจิตนิดเดียวเท่านั้น เป็นจริง จริงๆ
ธรรมะที่คุณรัชนีวรรณ ได้ฟังได้ศึกษาสะสมแล้วนั่นคือสิ่งที่ได้ติดตามกับจิตสุดท้าย
กราบอนุโมทนา
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
แต่ละคำ.....
เป็นสิ่งที่เราจะต้องคิด
ไม่ใช่ว่าเราฟังธรรมะแล้ว
เราก็อยากจะเป็นอย่างนั้น
อยากจะเป็นอย่างนี้
อยากจะหมดกิเลส
อยากจะมีปัญญา
อยากจะรู้สิ่งต่างๆ
ตามที่ได้ฟัง นั่นคือ
ธรรมะอย่างหนึ่ง
ซึ่งมีจริงๆ อยากจริงๆ
แต่อยากสักเท่าไหร่
ก็ไม่ได้เป็นไปตามอยาก
เพราะว่าทุกอย่าง
เหตุต้องตรงกับผล
กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ที่เคารพรักอย่างสูง....ศิษย์คนนี้จะพยายามประพฤติปฏิบัติตามคำที่ท่านพร่ำสอนตลอดระยะเวลา 60 กว่าปี และคำสอนที่ได้ยินได้ฟังมา จะก้องอยู่ในหัวใจของศิษย์เสมอและตลอดไปค่ะ
ขออนุโมทนาคุณวันชัยผู้ได้บันทึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้อย่างชัดเจน งดงามน่าประทับใจเป็นที่สุด อ่านไปก็น้ำตาไหลไปค่ะ เขียนได้ซาบซึ้งมาก เรื่องนี้คงจะอยู่ในความทรงจำไปอีกนานเท่านาน ขอบคุณมากๆ ค่ะ
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกกๆ ท่านคะ
ข้าพเจ้ารับทราบว่าพี่เจี๊ยบได้เจริญกุศลหลายประการ จนเป็นที่ทราบกันดีของทุกคนที่รู้จักพี่เจี๊ยบ (แม้จะไม่เคยคุยโดยตรงแต่อดชื่นชมบุคคลิกเรียบง่ายเป็นกันเอง ยิ้มแย้มทักทาย) แม้วาระสุดท้ายจุติเกิดในขณะสนทนาธรรม....ซึ่งยืนยันถึงความเป็นอนัตตาให้ปรากฏ
ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวพี่เจี๊ยบและขออนุโมทนากุศลทุกประการที่พี่เจี๊ยบกระทำไว้ในชาตินี้ให้ผลปฏิสนธิในสุขคติภพ ตามผลที่สมควรแก่เหตุ
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านนะคะ
ขอสะสมในการฟังพระธรรมและขอให้ได้พบกับทุกๆ ท่านในชาตินี้และชาติต่อๆ ไปค่ะ
ได้ฟังพระธรรมด้วยกันอีกนะคะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
กราบบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ไม่มีขณะไหนที่เหลืออยู่เลย!!! แต่เพราะความไม่รู้ซึ่งปกปิดการเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็ว สุดที่จะประมาณ ก็ทำให้เหมือนกับว่า กำลังมีอยู่ทุกอย่าง!!!
แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพิจารณาแล้ว สามารถประจักษ์แจ้งและคุณค่ามหาศาล ไม่มี...แล้วมี...เมื่อเกิดขึ้น!! เกิดแล้วก็หมด!! ดับไป ไม่เหลือเลย!!! ไม่มี!!
ขออนุโมทนาในกุศลทุกประการที่คุณรัชนีวรรณ บุญชู ได้กระทำไว้ดีแล้วในชาตินี้
ขออุทิศกุศลทุกประการที่ได้กระทำไว้ดีแล้ว แด่ คุณรัชนีวรรณ บุญชู ขอจงมีจิตโสมนัสยินดีอนุโมทนาในกุศลนั้นด้วยเทอญ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านด้วยค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
กราบบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ ด้วยความเคารพค่ะ
ขอร่วมอาลัยการจากไปของคุณรัชนีวรรณ บุญชู ขณะสนทนาธรรม ค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุญาต นำข้อความที่อาจารย์พัฒน์ธนะ บุญชู บุตรชายของพี่เจี๊ยบ เขียนชี้แจงเพื่อนๆ เพื่อทราบถึงการเสียชีวิตของคุณแม่ (รัชนีวรรณ บุญชู) มาบันทึกไว้ เพื่อความสมบูรณ์ขึ้นของกระทู้นี้ ดังนี้....
เช้าเห็นกัน เย็นอาจไม่เห็นกัน...
คุณแม่ของผมได้เสียชีวิตลงอย่างกะทันหันเมื่อเวลาประมาณบ่ายสามโมงเศษของวันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 ในขณะที่สนทนาธรรมกับท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และคณะวิทยากรจากมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา (มศพ.) ที่ กนกรัตน์ รีสอร์ท อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาก็มีหลายท่านที่รู้จักกับคุณแม่ได้แสดงความไว้อาลัย และสอบถามเรื่องเกี่ยวกับการจากไปของคุณแม่ในหลายประเด็น ผมขอสรุปบางประเด็นเท่าที่จะสามารถถ่ายทอดออกมาเป็นภาษาเขียนได้ในขณะนี้ดังนี้ครับ
(1) คุณแม่เสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลัน โดยไม่มีอาการเกี่ยวกับการโรคหัวใจใดๆ มาก่อน คุณแม่จัดว่าเป็นคนที่แข็งแรงมาก น้อยครั้งที่จะเจ็บไข้ได้ป่วย ตรวจสุขภาพและออกกำลังกายอยู่อย่างสม่ำเสมอ เข้ารับการผ่าตัดก็ฟื้นกลับมาทำงานได้ในเวลาอันรวดเร็ว การจากไปในระหว่างการสนทนาธรรมหลังจากการสนทนาธรรมะแล้วหมดสติล้มลงไปหลังจากที่ได้ถามปัญหาธรรมะเสร็จ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแบบไม่มีสัญญาณบอกเหตุใดๆ เช้าเห็นกัน บ่ายหรือเย็นก็อาจจะไม่เห็นกันแล้วก็เป็นไปได้ เป็นสภาพธรรมะที่ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลยจริงๆ
(2) คุณแม่ได้ทำพินัยกรรมบริจาคร่างกายให้กับภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2560 และได้สั่งกำชับว่าหลังจากคุณแม่ได้เสียชีวิตแล้วให้ดำเนินการต่างๆ ดังต่อไปนี้
2.1 ให้โทรแจ้งคณะแพทย์ศิริราช ให้มานำร่างของคุณแม่ไปเป็นอาจารย์ใหญ่ให้กับนักศึกษาแพทย์ ถ้าหากเกิดเหตุอันใดที่ทำให้ไม่สามารถนำร่างกายที่บริจาคไปใช้ประโยชน์ได้ ให้ติดต่อทางวัดเพื่อทำการเผาศพทันที ไม่ให้จัดพิธีกรรมทางศาสนาใดๆ หากมีการเผาศพกับวัด ให้สอบถามกับทางวัดมีว่ามีความขาดแคลนสิ่งใด แล้วให้ทำบุญบริจาคสิ่งที่ขาดแคลนเหล่านั้น โดยมิให้เป็นเงินกับทางวัดโดยเด็ดขาด
2.2 ไม่ให้นำกระดูกใดๆ กลับมาเก็บไว้ที่บ้านหรือที่อื่นใด ให้ทางคณะแพทย์ศิริราชจัดการไปตามกระบวนการปกติ ในกรณีที่ต้องเผาศพที่วัดให้นำกระดูกไปลอยอังคารให้หมดโดยเร็วที่สุด ถ้าหากระลึกถึงกันเมื่อใด ก็ให้ไปทำบุญบริจาคสิ่งของให้กับผู้ที่ขัดสนและสมควรได้รับประโยชน์
2.3 ให้นำเงินในบัญชีที่คุณแม่เปิดไว้ต่างหากทั้งหมดไปซื้อสิ่งของที่จำเป็นให้กับผู้รับบริจาคที่มีความขัดสนตามที่ต่างๆ เช่น โรงพยาบาล โรงเรียนตามถิ่นธุรกันดาร ฯลฯ จนกว่าเงินในบัญชีจะหมด
(3) ประเด็นธรรมะที่คุณแม่ได้สอบถามท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ละคณะวิทยากรก่อนที่จะสิ้นลมหายใจ คือเรื่องขันธ์ 5 (รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์)
(4) ในวันที่คุณแม่จากไป ผมได้พูดคุยกับคุณแม่ในช่วงเช้ามืดประมาณตีห้าครึ่งที่ห้องนอนคุณแม่ก่อนเดินทางเข้าไปสอบวิทยานิพนธ์ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่บางเขน ตอนเข้าไปทักทายคุณแม่ คุณแม่กำลังบริหารร่างกาย ยืดเส้นยืดสาย และยังกำชับว่าให้ขับรถดีๆ ไม่ต้องขับซิ่งมาก หลังจากสอบวิทยานิพนธ์เสร็จในช่วงเช้า ผมกลับคอนโดไปนั่งทำงานพักหนึ่ง ก่อนที่จะเตรียมตัวขับรถกลับไปที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์อีกครั้งเพื่อสอบวิทยานิพนธ์ในช่วงเย็นต่อต่อ ก่อนที่จะได้รับโทรศัพท์จากน้องสาวโดยมีคุณอาเป็นคนพูดสาย บอกให้รีบกลับบ้านเพราะคุณแม่ล้มไป ผมรีบตีรถกลับบ้านขึ้นทางด่วนออกจากกรุงเทพฯ เวลาประมาณ 4 โมงเย็นและถึงโรงพยาบาลสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เวลาประมาณ 6 โมงเย็น ทันเวลาได้กราบลาร่างของคุณแม่ก่อนที่จะต้องนำร่างไปรักษาอุณหภูมิก่อนที่ทางศิริราชจะมารับร่างไปเป็นอาจารย์ใหญ่ในช่วงเช้าของวันรุ่งขึ้น
(5) คุณแม่จากไปด้วยอาการสงบ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ภาพสุดท้ายก่อนที่คุณแม่จะล้มไปเป็นภาพขณะที่คุณแม่ถามปัญหาธรรม นับว่าเป็นบุญของคุณแม่มากที่มีโอกาสได้ใช้ช่วงเวลาขณะสุดท้ายของชีวิต อยู่กับท่านอาจารย์สุจินต์ ที่คุณแม่ให้ความเคารพอย่างสูงในการศึกษาธรรมะ อาจารย์สุจินต์ คณะวิทยากร และสหายธรรมของคุณแม่ได้อยู่ส่งคุณแม่จนถึงจิตขณะสุดท้ายในชาตินี้ (จุติจิต) ก่อนที่จิตขณะแรกของชาติต่อไป (ปฏิสนธิจิต) จะเกิดขึ้นต่อเนื่องอย่างไม่มีอะไรมากแทรกคั่น การจากไปของคุณแม่เป็นการจากไปแบบไม่เจ็บไม่ปวดในช่วงเวลาที่ถ้าคิดว่าเป็นปาฏิหาริย์ก็เป็นปาฏิหาริย์ที่เกิดจากกุศลธรรมที่คุณแม่ได้สั่งสมไว้
(6) สุดท้ายนี้ผมเชื่อว่าบุญกุศลที่คุณแม่ได้สั่งสมมาจะพาคุณแม่ไปสู่สุคติภูมิ ในภพภูมิที่คุณแม่จะได้สร้างกุศลอย่างที่คุณแม่ได้กระทำไว้ในชาตินี้ และมีโอกาสที่จะได้เข้าใจธรรมะ เพื่อเป็นไปในการละคลายอกุศล ความติดข้องต้องการต่างๆ จนกว่าจะพ้นจากการเวียนว่ายในสังสารวัฏฏ์
(7) ดีใจที่ได้เป็นลูกของแม่ในชาตินี้
(8) ผมขออนุญาตปิดท้ายโพสต์นี้ด้วยข้อความบางส่วนจากพระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 7 สังยุตตนิกาย สคาถวรรค อัยยิกาสูตรที่ 2 ดังมีข้อความดังนี้
“สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงต้องตาย เพราะชีวิตมีความตายเป็นที่สุด สัตว์ทั้งหลายจักไปตามกรรม เข้าถึงผลแห่งบุญและบาป คือผู้มีกรรมเป็นบาป จักไปสู่นรก ส่วนผู้มีกรรมเป็นบุญ จักไปสู่สุคติ ฯ เพราะฉะนั้น พึงทำกรรมงามอันจะนำไปสู่สัมปรายภพ สั่งสมไว้ บุญทั้งหลายย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายในปรโลก ฯ”
ป.ล. ขออนุญาตแชร์โพสต์จากมูลนิธิเผยแพร่พระพุทธศาสนาที่เขียนถึงคุณแม่ไว้ต่อท้ายโพสต์นี้ครับ
"ถึงเวลา สภาพธรรมะก็ปรากฏแก่ปัญญาที่ได้อบรมแล้ว..."
คำท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่กนกรัตน์รีสอร์ท 2 กค. 61
ขออุทิศส่วนกุศลที่ได้บำเพ็ญไว้ดีแล้ว แก่คุณพี่รัชนีวรรณ บุญชู ขอจงมีจิตโสมนัสยินดี และอนุโมทนาในส่วนกุศลนี้ด้วยเทอญ.
ขออุทิศกุศลทุกประการที่ได้บำเพ็ญไว้ดีแล้วในชาตินี้ แด่คุณพี่รัชนีวรรณ บุญชู และขอจงมีจิตโสมนัสยินดี อนุโมทนาในกุศลนั้น ด้วยเทอญ
ขอขอบคุณคุณวันชัยที่บันทึกเรื่องราวให้ทราบค่ะ
กราบอนุโมทนาในกุศลจิตที่พี่เจี้ยบสะสมมาและก็ไปสู่ความเข้าใจยิ่งขึ้นจนกว่าจะดับกิเลสหมดสิ้นค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขออุทิศกุศลทุกประการที่ได้บำเพ็ญไว้ดีแล้วในชาตินี้ แด่คุณป้ารัชนีวรรณ บุญชู และขอจงมีจิตโสมนัสยินดี อนุโมทนาในกุศลนั้น ด้วยเทอญ
ขอขอบคุณคุณวันชัยที่บันทึกเรื่องราวให้ทราบครับ พินัยกรรมที่ป้าเจี๊ยบทำไว้เป็นสิ่งที่เอื้อเฟื้อพระธรรมวินัยมากครับ
ขอนอบน้อมบูชาคุณพระรัตนตรัย
ขอกราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ คุณวันชัย ภู่งาม
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณเจี๊ยบ
ขออุทิศส่วนกุศลแด่คุณเจี๊ยบ
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ค่ะ
ขออนุโมทนาครับ า