ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
จากการที่ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เดินทางไปพักผ่อนและสนทนาธรรมกับกลุ่มสนทนาธรรมของคุณฟองจันทร์ วอลช และเพื่อน ที่จังหวัดกระบี่ ระหว่างวันที่ ๒๖-๒๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ ที่ผ่านมา นอกจากจะมีความสนทนาธรรมในเรื่องพระวินัยที่น่าสนใจและได้นำลงไว้ในกระทู้ ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ซาบซึ้งในหทัย [14] ตอน ทำไมคฤหัสถ์ควรศึกษาพระวินัย ๑, ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ซาบซึ้งในหทัย [15] ตอน ทำไมคฤหัสถ์ควรศึกษาพระวินัย ๒, ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ซาบซึ้งในหทัย [16] ตอน ทำไมคฤหัสถ์ควรศึกษาพระวินัย ๓ ทั้ง ๓ ตอนแล้ว ข้าพเจ้าก็เห็นว่า ยังมีความการสนทนาที่น่าสนใจในเรื่องอื่นอีก จึงถอดความและนำลงเผยแพร่ให้ท่านที่สนใจได้อ่านและพิจารณาด้วยในตอนนี้ เนื่องจากเป็นความการสนทนา ที่ท่านอาจารย์เมตตากล่าวถึงเรื่องการภาวนา อบรมเจริญปัญญา ซึ่งเป็นความการสนทนาที่ไพเราะ ซาบซึ้งใจยิ่งในขณะที่ได้ฟัง จึงขออนุญาตนำมาฝากทุกๆ ท่านที่สนใจ ได้รับประโยชน์โดยทั่วกันอีกครั้งหนึ่ง นะครับ ขอเรียนว่า ไม่ควรพลาดที่จะอ่านและพิจารณาโดยละเอียดจริงๆ ครับ
ท่านอาจารย์ ภาวนา คือ อะไร?
คุณณภัทร คือ การอบรม เจริญ
ท่านอาจารย์ อบรม หมายความว่า ครั้งเดียวหรือ?
คุณณภัทร ไม่ใช่ครับ
ท่านอาจารย์ ต้องอบรม นานไหม?
คุณณภัทร นานครับ
ท่านอาจารย์ ปัญญาที่เกิดจาก "การอบรมที่ถูกต้อง" จะค่อยๆ เข้าใจขึ้นไหม?
คุณณภัทร ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ครับ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เป็นการ "ภาวนา" ใช่ไหม? ที่ "ค่อยๆ เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมะ"
คุณณภัทร ใช่ครับ
ท่านอาจารย์ เป็นขั้นต้นหรือเปล่า?
คุณณภัทร ขั้นต้น ครับ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็เริ่มจากที่ "สติสัมปชัญญะ" รู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมะ ต้องมีความรู้ว่า ต่างกับ ขณะที่หลงลืมสติ นี่ปัญญามีแล้ว!!! แต่ปัญญาน้อยมาก เพียงแต่สามารถที่จะ "รู้ความต่าง" ของขณะที่หลงลืมสติ กับ ขณะที่สติเกิด เพราะฉะนั้น "อารมณ์ปรากฏดี" กับ สติสัมปชัญญะ ในขณะนั้น ที่เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมะ ซึ่งขณะนั้น ไม่ใช่หลงลืมสติ แต่ไม่พอ คนนั้นก็รู้ว่า "ไม่พอ"
เพราะฉะนั้น เข้าใจความหมายของคำว่า "ภาวนา" เลย อีกนานเท่าไหร่ ที่จะต้องรู้อย่างนี้? ไม่ใช่เพียงขั้นฟัง แต่ "สภาพธรรมะที่ปรากฏดี" กับ "สภาพธรรมะที่ไม่ได้ปรากฏดี" ต้อง "ต่างกัน" ทุกคนมี "แข็ง" ปรากฏ "ปรากฏดี" หรือเปล่า? เห็นไหม? ถ้าไม่ใช่สติสัมปชัญญะ หมดแล้ว เป็นเรา เป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้ เป็นไมโครโฟน เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ จะชื่อว่า "แข็งปรากฏเป็นแข็ง" หรือ? ดีหรือ? ไม่ดี เพราะเหตุว่า ไม่ได้เข้าใจในความเป็นธาตุ ซึ่ง "เพียงแข็ง" ปัญญา ยังต้องรู้มากกว่านี้อีก "ตรง" อย่างนี้ แต่ว่า "ลึกซึ้งขึ้น ละเอียดขึ้น" ตามลำดับขั้น กว่าจะประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรมะได้ เพราะฉะนั้น "วิปัสสนาญาณ" มาจากไหน?
คุณณภัทร มาจากความเข้าใจ ครับ
ท่านอาจารย์ มาจาก "ภาวนาทีละขณะ" นั่นแหละ!!! ถ้าไม่มี "การรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมะ" ไม่มีทางที่จะประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปของสภาพธรรมะ ไม่มีการที่สภาพธรรมะจะปรากฏโดยความไม่ใช่เรา "นามรูปปริจเฉทญาณ" ถ้าไม่มี "ปัญญาขั้นฟัง" เลย "สติปัฏฐาน" จะมาจากไหน? ก็เกิดไม่ได้!!! ก็ไปนั่งทำอะไรกัน? ใช่ไหม?
เพราะฉะนั้น การฟัง ถ้าฟังผิด สติปัฏฐานก็เกิดไม่ได้ การฟังต้องละเอียด ต้องถูก และต้องตรง ว่า "เพื่อละ" แล้วรู้ทันทีที่สภาพธรรมะ พออ่านเจอคำว่า "สภาพธรรมะปรากฏดี" ผู้ที่สติสัมปชัญญะเกิดแล้ว เข้าใจทันที!!! เพราะว่า ก่อนนั้น หลงลืมสติแน่ๆ เดี๋ยวนี้ ใช่ไหม?
แต่ว่า พอสติสัมปชัญญะเกิด จะไม่รู้หรือ? ว่าขณะนั้น ลักษณะของสภาพนั้นที่ปรากฏ ธรรมดา แต่ไม่รู้ ขณะนั้น "ดี" เพราะว่า ลักษณะของความเป็นธาตุ ของความเป็นธรรมะ ของความไม่ใช่ตัวตน แม้เพียงแค่ "เริ่มเกิด" ก็จะนำไปสู่การที่จะชัดเจนขึ้น!!!
เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ สภาพธรรมะก็เหมือนเดิม แต่ว่า ความชัดเจนของปัญญา ค่อยๆ เพิ่มขึ้น!!! ขัดเกลา "ความไม่รู้" จนความไม่รู้ที่สะสมไว้ในใจ น้อยลงไป น้อยลงไป เพราะฉะนั้น การที่ใครก็ตาม ไม่มีความเข้าใจปริยัติเลย แล้วจะไปปฏิบัติ เอาปัญญาอะไรไปรู้สิ่งที่ปรากฏ!! ไม่มีเลย!!!
เพราะฉะนั้น เป็นผู้ที่ตรงว่า ไม่ใช่เป็นการไปประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมะ แต่เป็นความเข้าใจ ที่เกิดจากการขัดเกลากิเลส จนกระทั่ง ความไม่รู้ ค่อยๆ ลดน้อยลง และสภาพธรรมะ ก็ปรากฏโดยความเป็นอนัตตา โดยเราไม่ได้รู้ล่วงหน้า เพราะนั่นคือ สังขารขันธ์ เข้าใจเติมไปถึงคำว่า สังขารขันธ์ อีก ว่าไม่ใช่เรา
เพียงแต่บอกว่า "ขันธ์" ไม่ใช่เรา อะไรบ้าง? ไม่ใช่เรา รูปขันธ์ ไม่ใช่เรา เวทนา ความรู้สึก เป็นขันธ์ ไม่ใช่เรา สภาพจำ สัญญาขันธ์ ไม่ใช่เรา สังขารขันธ์ ไม่ใช่เรา ก็แค่พูด ใช่ไหม? แต่เวลาที่ขณะนั้น เป็นอย่างนั้น จะต้องรู้เหตุด้วย ว่ามาจากไหน? เพราะอะไร? อยู่ดีๆ เกิดขึ้นไม่ได้แน่ ที่จะมีความเข้าใจลักษณะนั้น และ สภาพธรรมะที่ดี คือ โดยความเป็นธาตุ หรือโดยความเป็นธรรมะ ซึ่งไม่เหมือนกับเป็นแก้ว เป็นโต๊ะ เป็นดอกไม้ เป็นเก้าอี้ เพราะฉะนั้น ธรรมะ ต้องฟังด้วยความเคารพ ด้วยความละเอียด ด้วยความตรง ผู้ที่ตรง จะได้สาระจากพระธรรม
แม้แต่ "ภาวนา" มาจากไหน? วิปัสสนา มาจากไหน? ถ้าไม่มีปริยัติเลย มีภาวนาได้ไหม? จึงทรงแสดงไว้ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ หรือ ปริยัติ ปฏิปัตติ ปฏิเวธ, สัจจญาณ กิจจญาณ กตญาณ ไม่ให้หลงเข้าใจผิดเลย แม้ว่าจะแสดงปริยัติแล้ว ก็ยังต้องถึง "สัจจญาณ" หรือเปล่า? ถ้าไม่ถึง ก็ไปสำนักปฏิบัติกัน ไปหลงว่า นี่ใช่แล้ว ทั้งๆ ที่การอบรมไม่พอ ปัญญาที่จะค่อยๆ รู้ความต่างกัน ของขณะที่หลงลืมสติ กับ ขณะที่สติเกิด ยังไม่พอ!!!
เพราะฉะนั้น เมื่อยังไม่พอ จะไปหวังอะไร? นอกจาก "เข้าใจขึ้น" หนทางเดียว!! และ สภาพธรรมะ ก็ปรากฏกับ "ปัญญา" แน่ๆ "ไม่ใช่เรา" แน่ๆ แต่ต้องปัญญา แน่ๆ ที่เข้าใจถึงระดับที่สภาพธรรมะนั้น จะปรากฏ ละความไม่รู้ ละความต้องการ ต้องละความต้องการ ละความสงสัย พร้อมกันไป เพราะว่า จะต้องดับอนุสัยกิเลส ที่เป็นทิฏฐานุสัย วิจิกิจฉานุสัย
เพราะฉะนั้น "ความรู้" สำคัญที่สุด และต้องเป็นผู้ตรง ว่า "รู้" เป็นธรรมะอย่างหนึ่ง "ไม่ใช่เรา" ตั้งแต่ขั้นฟัง นี่คือ "ขั้นฟัง" กว่าจะค่อยๆ รู้จริงๆ และ สภาพธรรมะปรากฏจริงๆ ขณะนั้น ไม่มีความสงสัย เพราะสะสมความรู้มาตามลำดับขั้น ถึงเวลาที่สภาพธรรมะปรากฏ ปรากฏกับปัญญาและสติสัมปชัญญะ ไม่ใช่ปรากฏกับเรา!! ไม่ใช่ปรากฏกับความไม่รู้!! ไม่ได้ปรากฏกับความสงสัย!!!
เพราะฉะนั้น เริ่มเข้าใจว่า "ปัญญา" คือ "ความเห็นถูกต้อง" ในอะไร? ในสิ่งที่มีจริงๆ และ กำลังมี!!! แล้วรู้ตามความเป็นจริงว่า นี่ "กำลังฟัง" ยังไม่สามารถที่จะ "ถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมะ" ตรงตามที่ได้ฟัง!! และ ใครก็ไปทำไม่ได้ นอกจากเห็นประโยชน์ เห็นคุณค่า ว่าจิตอย่างนี้ เน่าๆ สกปรก มีแต่กิเลส เยอะ มากมาย มีความไม่รู้กี่ชาติ นับไม่ถ้วน จะไปรู้อย่างนั้น ได้หรือ? นี่ต้องตรง!!!
ต้องขัดเกลาตรงนี้ ตรง "จิต" ซึ่งไม่รู้ เพราะฉะนั้น ที่กล่าวว่า ละชั่ว ทำความดีให้ถึงพร้อม ชำระจิตให้บริสุทธิ์ จากอกุศล จากความไม่รู้ จากการยึดถือสภาพธรรมะว่าเป็นตัวตน มิฉะนั้น จะไม่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่ได้ทรงแสดงความจริงให้คนอื่นได้สามารถที่จะรู้อย่างนี้ได้
แต่ต้องเป็นผู้ตรง และเป็นไปเพื่อละ จะไม่มีการคิดเลย ว่าเรารู้แค่ไหนแล้ว อย่างนี้ จะไม่มีเลย!!! เพียงแต่ว่า ไม่รู้เยอะ!! เยอะมาก ทั้งวัน หลงลืมสติทั้งนั้น!! แล้วก็รู้ด้วยว่า ปัญญาเกิด ท่ามกลางอกุศลจริงๆ ชั่วขณะนิดเดียว แล้วก็ดับ แล้วมีปัจจัยพอที่จะ เนืองๆ บ่อยๆ ไหม? แล้วถ้าไม่เกิด อยากให้เกิดไหม? ไปทำอย่างอื่นให้เกิดไหม? นี่ก็ผิดอีกแล้ว!!!
เพราะฉะนั้น เรื่องผิด เรื่องไม่ยากแต่เรื่องที่จะต้องมีความตรงต่อธรรมะ ถึงจะรู้ตามความเป็นจริง ว่านี่ "คิด" แข็งอย่างนี้ อย่างนี้เลย คิดเองก็ได้ จะเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ กับ "ไม่ใช่คิด" ต่างกันแล้วใช่ไหม? แล้วโดยความเป็นอนัตตา แล้วในขณะนั้น ทันที!!!
เพราะฉะนั้น หนทางนี้ เป็นหนทางที่จะมั่นคง ในความเป็นอนัตตา คือ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เราจะไม่มีความสงสัยในความเป็นธรรมะ แต่ยังไม่ดับเป็นสมุทเฉท ปัญญาจะรู้ด้วยว่า สงสัยเป็นธรรมะ มิฉะนั้น สงสัยเป็นเรา เดือดร้อนแล้ว เพราะฉะนั้น "ทุกอย่างเป็นธรรมะ" คำนี้คำเดียว ถึงความเป็นพระอรหันต์ แต่ต้องเป็นปัญญาที่รู้จริงๆ !!!
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
สาธุขออนุโมทนาครับ
เป็นหัวข้อที่น่าสนใจ ขออนุโมทนา
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งามเป็นอย่างยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
เป็นภาพที่อบอุ่นมีความสุขจัง ขออนุโมทนาด้วยครับ