เมื่อวันที่ ๑๑ ธ.ค. ๒๕๕๓ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์และอาจารย์คำปั่นอักษรวิลัย ได้รับเชิญจากมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยให้ไปสนทนาธรรม เรื่อง “การศึกษาธรรมในชีวิตประจำวัน” ที่ห้องประชุมปุญญานุภาพ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย อ. ศาลายา จ. นครปฐม ซึ่งเป็นสถานที่ใหม่ของมหาวิทยาลัยที่จะย้าย จากวัดบวรนิเวศไปเป็นการถาวร
เมื่อเข้าไปนั่งในห้องประชุมนั้น เห็นจีวรสีเหลืองเต็มห้องไปหมด ได้ทราบว่าห้องประชุม สามารถนั่งได้ ๕๐๐ ที่นั่ง แต่มีพระภิกษุจำนวนเกือบ ๘๐๐ รูป ที่สมัครอบรมหลักสูตร “ครูพระ” ที่จะไปอบรมวิชาศีลธรรมแก่เด็กนักเรียนชั้นประถม ทั่วประเทศ ทาง มหาวิทยาลัยจึงเปิดอบรมเป็นรุ่นๆ รุ่นนี้เป็นรุ่นที่ ๓
เมื่อท่านอาจารย์เริ่มบรรยาย และเปิดโอกาสให้ถาม ก็ได้รับคำถามที่เขียนมาให้พิธีกร (รศ. สงบ เชื้อทอง) อ่านเป็นจำนวนมาก เกินกว่าที่คาดไว้หลายเท่า จึงได้ช่วยกับคุณธนากร นรวชิรโยธิน คัดกรองคำถามที่จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ฟัง มีแนวทางเดียวกัน ไม่ พาดพิงถึงบุคคลอื่น และไม่ทำความเสื่อมเสียแก่ใคร เมื่อหมดเวลาก็เหลือคำถามอีก มากมายที่ยังไม่ได้ตอบ แต่คำถามส่วนใหญ่ที่เหลือนั้นก็เป็นเรื่องยอดนิยม ไม่ว่าท่านอาจารย์จะไปบรรยายธรรมที่ไหน คำถามเหล่านี้ต้องมีคนถามเสมอคือ เรื่องความลึกลับ ของชาติก่อน ชาติหน้า ซึ่งท่านอาจารย์ก็ตอบท่านหนึ่งไปแล้วว่า ระหว่างชาตินี้กับชาติ ก่อน เหมือนบานประตูที่ปิดสนิท ไม่สามารถมองเห็นได้ว่า หลังประตูนั้นเป็นอย่างไร ที่สามารถจะรู้ได้แน่ๆ ก็คือ ชาตินี้กำลังจะเป็นชาติก่อนของของชาติหน้า
ก็ไม่คงไม่น่าแปลกใจ เพราะทุกคนอยู่ในความมืดของอวิชชา จึงไม่รู้ว่า ที่จริงสิ่งที่ลึกลับ น่าสนใจ ควรจะรู้ยิ่งกว่าชาติก่อน ชาติหน้านั้น คือ ขณะนี้เอง กำลังปรากฏอยู่แท้ๆ ก็ยังไม่รู้ลักษณะที่แท้จริงของสิ่งนั้น แม้จะทรงแสดงบ่อยๆ เนืองๆ ว่า เป็นสภาพธรรม แต่ละอย่างที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ก็ตาม
คิดเอาเองว่า มนุษย์คงมีสัญชาตญาณที่อยากรู้สิ่งที่ไม่สามารถรู้ได้ ทุกคนมีแนวโน้มที่จะเชื่อ ถ้ามีใครอ้างว่าเป็นผู้วิเศษ สามารถรู้ว่าใครเคยเกิดเป็นใครในชาติก่อน และตายแล้วจะเป็นใครในชาติหน้า มีหลายสำนักที่อ้างว่า ลูกศิษย์ต่างๆ นั้นเคยเกี่ยวพันเป็นพ่อแม่ ลูก สามี ภรรยา เลยแสดงความคิดเห็นกับท่านอาจารย์ว่า เขาอาจจะอ้างพระสูตรที่ว่า ถ้าเอาดินในชมพูทวีปทั้งหมดมาปั้นเป็นก้อนๆ แล้ววางเรียงกันบอกว่า นี่คือบิดาของตนๆ ๆ แม้จะหมดก้อนดิน ความเป็นบิดากับบุตรก็ยังไม่หมด เพราะฉะนั้นการอ้างว่าใครมีความสัมพันธ์กับใคร ก็คงไม่ผิด เพราะคนเราก็ต้องเคยเกี่ยวพันกันในทางใดทางหนึ่งเสมอ ท่านอาจารย์บอกว่า แต่พระพุทธประสงค์ที่แสดงพระสูตรนี้ ก็เพื่อให้ละความติดข้องผูกพัน ไม่ใช่ให้มีความผูกพันมากยิ่งขึ้น นี่ก็เป็นเรื่องของความไม่เข้าใจพระธรรมตั้งแต่เริ่มต้นว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน และธรรมต้องเป็นเรื่องละความติดข้องในความเป็นตัวตน
มีคำถามหนึ่งที่อ้างถึงพระภิกษุผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นปราชญ์ของเมืองไทยว่า พระอภิธรรมไม่ใช่พระพุทธพจน์ เพราะไม่ปรากฏในการสังคายนาครั้งที่ ๑ พระอภิธรรมเพิ่งปรากฏในการสังคายนาครั้งที่ ๓ โดยพระเจ้าอโศกมหาราช หลังจากพุทธปรินิพพาน แล้วหลายร้อยปี ท่านผู้ถามขอหลักฐานอ้างอิงว่า พระอภิธรรมเป็นพระพุทธพจน์ เพื่อจะ ได้ไปโต้แย้งกับผู้อื่นได้
สำหรับเราผู้เป็นปุถุชนคนธรรมดา ไม่มีความสามารถมากมายถึงกับค้นหาหลักฐานได้และหลักฐานที่เป็นตัวอักษรนั้นก็เพิ่งเริ่มจารึกเมื่อพระพุทธศาสนาเผยแพร่ไปที่ประเทศศรีลังกาแล้ว
จึงขอแสดงความคิดเห็นตามสติปัญญาที่คิดเอาเองตามสามัญสำนึกว่า พระไตรปิฎกคือ ตะกร้า ๓ ใบ ที่ประกอบไปด้วย พระวินัย ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ พระสูตร ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ และพระอภิธรรม ๒๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ รวมเป็น ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ถ้าพระอภิธรรมไม่ใช่พระพุทธพจน์ ก็ไม่น่าจะเรียกว่า พระไตรปิฎก ควรจะเป็นพระทวิปิฎก และคำสอนทั้งหมด ก็มีแค่ ๒๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ และคำสอนที่เป็นพระธรรมส่วนละเอียด ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตนนั้น เป็นธรรมล้วนๆ ที่แสดงเหตุและผลของ
สภาพธรรมต่างๆ นั้นมาจากไหน เมื่อไร และผู้ใดจะสามารถแสดงได้อย่างนั้น ถ้าไม่ใช่ พระพุทธพจน์ จะเป็นอรรถกาจารย์หรืออย่างไร? และเมื่อท่านพระสารีบุตรได้ฟังธรรม สั้นๆ จากท่านพระอัสสชิว่า “ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระสมณะทรงแสดงเหตุแห่งธรรมนั้น” ไม่ใช่พระอภิธรรมหรือ
คิดเอาเองอีกว่า ผู้ที่ไม่เชื่อว่า พระอภิธรรมเป็นพระพุทธพจน์นั้น คือ ผู้ที่ยังไม่ได้ศึกษา พระอภิธรรม หรือศึกษาแล้วยังไม่เข้าใจว่า พระอภิธรรมคืออย่างไรมากกว่า
ผิดถูกประการใดไม่ทราบ แต่ตนเองเห็นว่า พระอภิธรรม คือ พระพุทธพจน์ที่ทรงแสดง โดยพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแท้จริง เป็นธรรมที่ควรศึกษาอย่างยิ่ง เพราะคำว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ซึ่งเป็นแก่นของพระพุทธศาสนานั้น ถ้าไม่ ศึกษาพระอภิธรรม จะไม่เข้าใจเลยว่า เป็นอนัตตานั้นคืออย่างไร
กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์ สุจินต์ และคุณคำปั่น ด้วยค่ะ อีกทั้งกราบขอบพระคุณ คุณkanchana.c และอนุโมทนาใ่นกุศลวิริยะที่นำมาเผยแพร่นะคะ
ผู้ที่ควรแก่การอนุโมทนาอย่างยิ่งอีก ๒ ท่าน คือ คุณวันชัย ภู่งาม ที่ไปถ่ายภาพทุกแง่มุม และนำมาใส่ภาพประกอบเรื่องทุกครั้ง และคุณวรศักดิ์ ที่ถ่ายวิดีโอ ที่จะนำมาเผยแพร่ต่อไปค่ะ รวมทั้งสหายธรรมจากมูลนิธิที่ไปช่วยกันแจกหนังสือแก่พระภิกษุที่เข้าร่วมอบรมด้วยค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาด้วยครับ
ขอกราบอนุโมทนาท่านอ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และขออนุโมทนาทุกๆ ท่านที่เกี่ยวข้องด้วยค่ะ
ขอบพระคุณมากค่ะและกราบอนุโมทนานะคะ
ขออนุโมทนาคร้บ
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง คือธรรมะ ธรรมะเป็นพระอภิธรรม อภิ หมายถึงละเอียดยิ่ง
กราบอนุโมทนาพี่แดงค่ะ ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนา คุณวันชัย ภู่งาม และคุณวรศักดิ์ (น้องเอ็ม) ค่ะ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
ขอกราบอนุโมทนาทุกท่าน ค่ะ
ขออนุโมทนากับ คุณ Kanchana.c ด้วยที่กรุณานำมาเผยแพร่ให้ได้ศึกษาและทราบมาว่า คุณ Kanchana c. เป็นภรรยาของ รศ. สงบ เชื้อทองคือว่าในสมัยที่ศึกษาอยู่ที่ ม.มมร. ท่านอาจารย์เป็นหัวหน้าภาควิชาสังคมฯศิษย์เก่า ม.มมร. รุ่น ๔๒ ปี ๒๕๓๘ BOONKMH มุุกดาหาร
เรียนท่าน BOONKMH
ขอบคุณที่ติดตามอ่าน ได้เรียนให้อาจารย์สงบทราบว่า มีลูกศิษย์ ม.มมร. เขียนข้อความมา ท่านดีใจมาก ฝากให้เรียนว่า
"ขอขอบคุณที่ยังระลึกถึง ขอให้ความสุขความเจริญ ขออนุโมทนาที่สนใจศึกษาพระธรรม ศึกษาเ้ข้าใจดีแล้ว อย่าลืมบำเพ็ญประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น ช่วยกันเผยแพร่พระพุทธศาสนา ตามปณิธานมหาวิทยาลัย ที่ว่า "ระเบียบ สามัคคี บำเพ็ญประโยชน์"
ขอขอบคุณ คุณ Kanchana. c เป็นอย่างมาก ที่ได้เรียนให้ ท่านอาจารย์ทราบถ้าจำไม่ผิด รู้สึกว่าสมัยก่อนบ้านอาจารย์อยู่ที่จังหวัดหวัดอยุธยาจำได้ว่าเคยไป
BOONKMH
กราบอนุโมทนาท่านอจ.สุจินต์..อจ.สงบ และคุณกาญจนา เชื้อทอง คุณวันชัย.. และผู้เกี่ยวข้องทุกๆ ท่านค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
เป็นภาพที่งดงามสำหรับเป็นเครื่องระลึกถึงกุศลจิต และ ขอกราบอนุโมทนาท่านอ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ขออนุโมทนาทุกๆ ท่านที่เกี่ยวข้อง
ขอกราบอนุโมทนาในกุศลของทุกๆ ท่านค่ะ
ขออนุโมทนาครับ