[เล่มที่ 74] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 1
๑. อกิตติจริยา
ว่าด้วยจริยาวัตรของอกิตติดาบส 1
อรรถกถาจริยาปิฎก
ในขุททนิกายชื่อว่าปรมัตถทีปนี
คันถารัมภกถา (กถาเริ่มแต่งคัมภีร์) 3
นิทานกถา 8
อรรถกถาอกิตติจริยาที่ ๑ 39
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 74]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 1
จริยาปิฎก
๑. การบำเพ็ญทานบารมี
๑. อกิตติจริยา
ว่าด้วยจริยาวัตรของอกิตติดาบส
[๑] ในสี่อสงไขยแสนกัป ความประพฤติอันใดในระหว่างนี้ ความประพฤติทั้งหมดนั้นเป็นเครื่องบ่มพระโพธิญาณ เราจักเว้นความประพฤติในภพน้อยใหญ่ในกัปล่วงแล้วเสีย จักบอกความประพฤติในกัปนี้ จงฟังเรา ในกาลใด เราเป็นดาบส ชื่ออกิตติ เข้าไปอาศัยอยู่ในป่าใหญ่อันว่างเปล่า สงัดเงียบ ปราศจากเสียงอื้ออึง ในกาลนั้น ด้วยเดชแห่งการประพฤติตบะของเรา สมเด็จอัมรินทร์ผู้ครองไตรทิพย์ทรงร้อนพระทัย ทรงแปลงเพศเป็นพราหมณ์เข้ามาหาเราเพื่อภิกษา เราได้เห็นอินทพราหมณ์มาขึ้นอยู่ใกล้ประตูบรรณศาลาของเรา จึงเอาใบหมากเม่าที่เรานำมาแต่ป่า อันไม่มีน้ำ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 2
มัน ทั้งไม่เค็มให้หมด พร้อมกับภาชนะ ครั้นได้ให้หมากเม่าแก่อินทพราหมณ์นั้นแล้ว เราจึงคว่ำภาชนะ ละการแสวงหาใบหมากเม่าใหม่ เข้าไปยังบรรณศาลา แม้ในวันที่ ๒ แม้ในวันที่ ๓ อินทพราหมณ์ก็เข้ามายังสำนักของเรา เราไม่หวั่นไหว ไม่อาลัยในชีวิต ได้ให้หมดสิ้นเช่นวันก่อนเหมือนกัน ในสรีระของเราไม่มีความหมองศรีเพราะการอดอาหารนั้นเป็นปัจจัย เรายังวันนั้นๆ ให้น้อมล่วงไปด้วยปีติ สุข และความยินดี ถ้าเราพึงได้ทักขิไณยบุคคลผู้ประเสริฐ แม้เดือนหนึ่งสองเดือนเราก็ไม่หวั่นไหว ไม่ท้อแท้ใจ พึงให้ทานอันอุดม เมื่อให้ทานแก่อินทพราหมณ์นั้น เราจะได้ปรารถนายศและลาภก็หามิได้ เราปรารถนาพระสัพพัญญุตญาณเท่านั้น จึงได้ประพฤติกรรมเหล่านั้น ฉะนี้.
จบอกิตติจริยาที่ ๑
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 3
อรรถกถาจริยาปิฎก
ในขุททนิกายชื่อว่าปรมัตถทีปนี
คันถารัมภกถา
(กถาเริ่มแต่งคัมภีร์)
พระจริยาเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่สรรพโลกของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงแสวงหาคุณใหญ่พระองค์ใด ข้าพเจ้าขออภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ผู้มีอานุภาพเป็นอจินไตย ผู้เป็นนายกเลิศของโลก.
พระจริยาสมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะ นำสัตว์ออกจากโลกด้วยพระธรรมใด ข้าพเจ้าขอนมัสการพระธรรมอันอุดมนั้น อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบูชาแล้ว.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 4
พระอริยสงฆ์ใด เป็นผู้ตั้งอยู่ในมรรคและผล สมบูรณ์ด้วยคุณมีศีลเป็นต้น ข้าพเจ้า ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์นั้น ผู้เป็นเนื้อนาบุญอันยอดเยี่ยม.
บุญใด เกิดแต่การนอบน้อมนมัสการพระรัตนตรัย ขอข้าพเจ้าปราศจากอันตรายในที่ทั้งปวงด้วยเดชแห่งบุญนั้น.
บารมีใด มีทานบารมีเป็นต้น อันเป็นบารมีชั้นอุกฤษฏ์ซึ่งบุคคลทำได้ยาก อันพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงแสวงหาคุณใหญ่ประทับ อยู่ ณ นิโครธารามในแคว้นสักกะ ทรงประกาศอานุภาพแห่งสัมโพธิจริยา แห่งพระบารมีเหล่านั้น ทรงสะสมไว้ในภัทรกัปนี้.
ปิฎกใด ชื่อว่าจริยาปิฎกอันพระโลกนาถทรงแสดงแล้วแก่พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรผู้เป็นยอดแห่งพระสาวกทั้งปวง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 5
พระธรรมสังคาหกาจารย์ทั้งหลายผู้แสวงหาคุณใหญ่ ได้ร้อยกรองปิฎกใดอันแสดงถึงเหตุสมบัติของพระศาสดา.
การพรรณนาอรรถที่ทำได้ยาก ข้าพเจ้าสามารถจะทำได้เพราะอาศัยนัยอันจำแนกสัมโพธิสมภารแห่งปิฎกนั้น.
เพราะการพรรณนาอันเป็นคำสอนของพระศาสดา จะทรงอยู่ การวินิจฉัยของบุรพจารย์ผู้เป็นดังสีหะ จะดำรงอยู่ ฉะนั้น ข้าพเจ้าจะรักษาและยึดปิฎกนั้นอันเป็นนัยแห่งอรรถกถาเก่า อาศัยชาดกโดยประการทั้งปวงเป็นที่อาศัยได้ มิใช่เป็นทางแห่งคำพูด บริสุทธิ์ด้วยดี ไม่วุ่นวาย เป็นข้อวินิจฉัยอรรถอันละเอียดของพระเถระทั้งหลายผู้อาศัยอยู่ ณ มหาวิหาร แล้วจักทำการพรรณนาอรรถแห่งจริยาปิฎกนั้น แสดงพระบารมีอันมีเนื้อความที่ได้แนะนำแล้ว และควรแนะนำต่อไป.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 6
ด้วยประการฉะนี้ขอท่านสาธุชนทั้งหลาย เมื่อหวังให้พระสัทธรรมดำรงอยู่ตลอดกาลนาน จงพิจารณาอรรถแห่งปิฎกนั้น ซึ่งจำแนกไว้ฉะนี้แล.
ในบทเหล่านั้นบทว่า จริยาปิฎกํ ชื่อว่าจริยาปิฎกด้วยอรรถว่าอย่างไร? ด้วยอรรถว่าเป็นตำราประกาศถึงพระจริยานุภาพของพระศาสดาในชาติที่เป็นอดีต. จริงอยู่ ปิฎก ศัพท์นี้ มีอรรถว่า ตำรา ดุจในบทมีอาทิว่า มา ปิฏกสมฺปาทเนน อย่าเชื่อโดยอ้างตำรา. อีกอย่างหนึ่ง เพราะปริยัตินั้นเป็นดังภาชนะประกาศอานุภาพของพระจริยาทั้งหลายในชาติก่อนของพระศาสดานั้นเอง ฉะนั้นท่านจึงเรียกว่า จริยาปิฎก จริงอยู่ แม้อรรถว่าภาชนะ ท่านก็แสดงถึง ปิฎก ศัพท์ ดุจในประโยคมีอาทิว่า อถ ปุริโส อาคจฺเฉยฺย กุทาลปิฏกํ อาทาย ครั้นบุรุษเดินมาก็ถือเอาจอบและ ตะกร้า มาด้วย. อนึ่ง จริยาปิฎกที่นั้นนับเนื่องอยู่ในสุตตันตปิฎก ในปิฎก ๓ คือ วินัยปิฎก สุตตันตปิฎก อภิธรรมปิฎก. นับเนื่องอยู่ในขุททกนิกายในนิกาย ๕ คือ ทีฆนิกาย มัชฌิมนิกาย สังยุตตนิกาย อังคุตตรนิกาย ขุททกนิกาย. สงเคราะห์เข้าใน คาถา ในองค์แห่งคำสอน ๙ องค์ คือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาตกะ อัพภูตะ เวทัลละ. สงเคราะห์เข้าในธรรมขันธ์เบ็ดเตล็ดในธรรมขันธ์ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ อันท่านผู้เป็นธรรมภัณฑาคาริก ได้ประกาศไว้อย่างนี้ว่า :-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 7
เราได้ถือธรรมที่ปรากฏแก่เราจากพระพุทธเจ้า ๘๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ จากภิกษุ ๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์.
โดยวรรคสงเคราะห์เข้าใน ๓ วรรค คือ อกิตติวรรค หัตถินาควรรค ยุธัญชนวรรค. โดยจริยาสังเคราะห์เข้าในจริยา ๓๕ คือใน อกิตติวรรค ๑๐ ในหัตถินาควรรค ๑๐ ในยุธัญชนวรรค ๑๕. ใน ๓ วรรค อกิตติวรรค เป็นวรรคต้น. ในจริยา อกิตติจริยา เป็นจริยาต้น. คาถาต้นของอกิตติจริยานั้น มีอาทิว่า :-
ความประพฤติทั้งหมด ในระหว่างสี่อสงไขยแสนกัป เป็นเครื่องบ่มพระโพธิญาณ.
ต่อจากนี้ไปจะเป็นการพรรณนาอรรถของจริยาปิฎกนั้นตามลำดับ.
จบ คันถารัมภกถา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 8
นิทานกถา
เพราะการพรรณนาอรรถนี้ ท่านกล่าวแสดงนิทาน ๓ เหล่านี้ คือ ทูเรนิทาน นิทานมีในที่ไกล อวิทูเรนิทาน นิทานมีในที่ไม่ไกล สันติเกนิทาน นิทานมีในที่ใกล้ เป็นอันผู้ฟังทั้งหลายย่อมรู้แจ้งด้วยดีตั้งแต่เริ่มเรื่อง. ฉะนั้น พึงทราบการจำแนกนิทานเหล่านั้น ดังต่อไปนี้.
กถามรรคตั้งแต่พระมหาโพธิสัตว์ทรงสะสมบารมี ในศาสนาของพระทศพลพระนามว่าทีปังกรจนกระทั่งทรงอุบัติในสวรรค์ชั้นดุสิต ชื่อว่า ทูเรนิทาน. กถามรรคที่เป็นไปแล้วตั้งแต่สวรรค์ชั้นดุสิตจนถึงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ ณ โพธิมณฑล ชื่อว่า อวิทูเรนิทาน. กถามรรคที่เป็นไปแล้วตั้งแต่มหาโพธิมณฑลจนถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ชื่อว่า สันติเกนิทาน. ในนิทาน ๓ อย่างนี้ เพราะทูเรนิทานและอวิทูเรนิทาน เป็นสรรพสาธารณะ ฉะนั้น นิทานเหล่านั้น พึงทราบโดยพิสดารตามนัยกล่าวไว้พิสดารแล้วในอรรถกถาชาดกนั่นแล. แต่ในสันติเกนิทานมีความต่างออกไป ดังนั้น พึงทราบกถาโดยสังเขปแห่งนิทานแม้ ๓ อย่าง ตั้งแต่ต้น ดังต่อไปนี้.
ในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าทีปังกร พระพุทธเจ้าผู้เป็นที่พึ่งของโลก เป็นพระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญบารมี ๓๐ ทัศ สมควรแก่อภินิหารของพระองค์ ทรงยังบารมีที่สะสมมาเพื่อพระสัพพัญญุตญาณให้ถึงที่สุด เสด็จอุบัติในสวรรค์ชั้นดุสิต รอเวลาเพื่อให้เกิดความเป็นพระพุทธะ ทรงดำรงอยู่ ณ สวรรค์ชั้นดุสิตนั้นตราบเท่าถึงอายุขัย จุติจากนั้นแล้วทรง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 9
ถือปฏิสนธิในตระกูลศากยราช ทรงได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ทรงเจริญด้วยสิริโสภาคอันยิ่งใหญ่ ถึงความเป็นหนุ่มโดยลำดับ เมื่อพระชนม์ ๒๙ พรรษา เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ทรงเริ่มทำความเพียรใหญ่อยู่ถึง ๖ ปี ประทับนั่ง ณ โคนต้นโพธิในวันวิสาขบูรณมี เมื่อดวงอาทิตย์ตกทรงกำจัดมารและพลมาร ในปฐมยามทรงได้บุพเพนิวาสญาณ (ระลึกชาติได้) ในมัชฌิมยามทรงได้ทิพยจักษุ ในปัจฉิมยามทรงยังกิเลสพันห้าร้อยให้สิ้นไป ทรงบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ.
แต่นั้นทรงประทับอยู่ ณ แถวๆ นั้นล่วงไป ๗ สัปดาห์ แล้วเสด็จไปยังป่าอิสิปตนมฤคทายวันกรุงพาราณสี ในวันอาสาฬหบูรณมี (ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘) ยังพรหม ๑๘ โกฏิ มีพระอัญญาโกณฑัญญะเป็นประมุขให้ดื่มอมตธรรม ทรงยังพระธรรมจักรให้เป็นไป ยังเวไนยสัตว์มีพระยสะเป็นต้น ให้ตั้งอยู่ในอรหัตตผล แล้วทรงมอบให้พระอรหันต์ ๖๐ รูป ทั้งหมดเหล่านั้นไปเพื่ออนุเคราะห์สัตวโลก พระองค์เองเมื่อจะเสด็จไปยังอุรุเวลา ยังพระภัททวัคคีย์ ๓๐ รูป ให้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลเป็นต้น ณ ไร่ฝ้าย ครั้นเสด็จถึงอุรุเวลาแล้วได้ทรงแสดงปาฏิหาริย์ ๓,๕๐๐ ครั้ง ทรงแนะนำชฏิลสามพี่น้องมีอุรุเวลกัสสปเป็นต้นกับชฏิลบริวารอีกหนึ่งพัน อันชฎิลเหล่านั้นแวดล้อมแล้วประทับนั่ง ณ สวนลัฏฐิวัน ใกล้กรุงราชคฤห์ ทรงยังพราหมณ์และคฤหบดีแสนสองหมื่น มีพระเจ้าพิมพิสารเป็นประมุข ให้หยั่งลงใน พระศาสนาประทับอยู่ ณ เวฬุวันมหาวิหารอันพระราชามคธทรงสร้างถวาย.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 10
ครั้นต่อมาเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ เวฬุวันมหาวิหาร เมื่อทรงตั้งพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะไว้ในตำแหน่งพระอัครสาวก เมื่อเกิดสาวกสันนิบาต พระเจ้าสุทโธทนมหาราช ทรงสดับว่า มีข่าวว่าพระโอรสของเราบำเพ็ญทุกรกิริยาอยู่ถึง ๖ ปี แล้วได้บรรลุพระปรมาภิเษกพสัมโพธิญาณ ทรงยังธรรมจักรอันบวรให้เป็นไป ทรงอาศัยกรุงราชคฤห์ประทับอยู่ ดังนี้ จึงทรงส่งอำมาตย์ ๑๐ คนมีบุรุษหนึ่งหมื่นเป็นบริวารรับสั่งว่า พวกเจ้าจงนำโอรสของเรามา ณ ที่นี้. เมื่ออำมาตย์เหล่านั้นไปกรุงราชคฤห์แล้ว ได้ตั้งอยู่ในพระอรหัต เพราะพระธรรมเทศนาของพระศาสดา พระกาฬุทายีเถระกราบทูลความประสงค์ของพระราชบิดาให้ทรงทราบ พระผู้มีพระภาคเจ้าแวดล้อมด้วยพระขีณาสพสองหมื่นเสด็จออกจากกรุงราชคฤห์ ถึงกรุงกบิลพัสดุประมาณ ๖๐ โยชน์ เวลาสองเดือน. บรรดาเจ้าศากยะทั้งหลาย ทรงประชุมกันด้วยหวังพระทัยว่า จักเห็นพระญาติผู้ประเสริฐของพวกเรา จึงรับสั่งให้สร้างนิโครธารามเป็นที่ประทับของพระผู้มีพระภาคเจ้า และเป็นที่อยู่ของภิกษุสงฆ์ ต่างถือของหอมและดอกไม้เป็นต้น ทรงกระทำการต้อนรับทูลอาราธนาพระศาสดาให้เสด็จเข้าไปยังนิโครธาราม.
ณ ที่นั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า แวดล้อมด้วยพระขีณาสพสองหมื่น ประทับเหนือพุทธาสนะอันประเสริฐที่เจ้าศากยะปูถวาย. เจ้าศากยะทั้งหลายทรงมานะจัดมิได้ทรงทำความเคารพ. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูอัธยาศัยของเจ้าศากยะเหล่านั้น แล้วทรงเข้าจตุตถฌานมีภิญญาเป็นบาทเพื่อทำ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 11
ลายมานะ แล้วทำเจ้าศากยะเหล่านั้นให้เป็นภาชนะรองรับพระธรรมเทศนา ทรงออกจากสมาบัติเหาะไปสู่อากาศ ดุจเรี่ยรายฝุ่นพระบาทลงบนพระเศียรของเจ้าศากยะเหล่านั้น ได้ทรงกระทำยมกปาฏิหาริย์เช่นกับปาฏิหาริย์ที่พระองค์การทำ ณ โคนต้นคัณฑมัพพฤกษ์. พระราชาทอดพระเนตรเห็นความอัศจรรย์นั้น ทรงดำริว่าโอรสนี้เป็นบุคคลเลิศในโลก. เมื่อพระราชาถวายบังคมแล้ว เจ้าศากยะทั้งหลายเหล่านั้นไม่อาจเฉยอยู่ได้ ทั้งหมดก็พากัน ถวายบังคม.
นัยว่าในครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงกระทำยมกปาฏิหาริย์ ได้ทรงกระทำปาฏิหาริย์เปิดโลก เมื่อปาฏิหาริย์เป็นไปอยู่พวกมนุษย์ยืนอยู่ก็ตาม นั่งอยู่ก็ตามในมนุษยโลก ย่อมเห็นแต่เทวดาสนทนาธรรมซึ่งกันและกัน ตั้งแต่สวรรค์ชั้นจาตุมมหาราชิกาถึงชั้นอกนิฏฐภพด้วยตาของตนด้วยพุทธานุภาพ ในผืนแผ่นดินเบื้องล่าง ย่อมเห็นสัตว์ทั้งหลายเสวยมหาทุกข์ในนรกนั้นๆ คือ ในมหานรก ๘ ขุม ในอุสสทนรก ๑๖ ขุม และในโลกันตริยนรก. พวกเทวดาในหมื่นโลกธาตุ เข้าไปเฝ้าพระตดถาคตด้วยเทวานุภาพอันยิ่งใหญ่ บังเกิดจิตอัศจรรย์อย่างไม่เคยมี ประคองอัญชลีนมัสการ พากันเข้าไปเฝ้า ต่างเปล่งคาถาปฏิสังยุตด้วยพระพุทธคุณ สรรเสริญ ปรบมือรื่นเริง ประกาศถึงปีติและโสมนัส. ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า :-
ภุมมเทวดา จาตุมมหาราชิกาเทวดา พวกเทพชั้นดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมิตเทพ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 12
ปรนิมมิตเทพ และหมู่พรหมกายิกา ต่างยินดีพากันบอกกล่าวป่าวร้องแพร่หลาย.
ก็ในครั้งนั้น พระทศพลทรงดำริว่า เราจักแสดงกำลังของพระพุทธเจ้าของพระองค์มิให้มีใครเปรียบได้ จึงเพิ่มพระมหากรุณาให้สูงขึ้น ทรงเนรมิตจงกรมในที่ประชุมหมื่นจักรวาลบนอากาศ เสด็จยืน ณ ที่จงกรม สำเร็จด้วยแก้วทุกอย่างในเนื้อที่กว้าง ๑๒ โยชน์ ทรงแสดงปาฏิหาริย์แสดงถึงอานุภาพแห่งสมาธิและญาณของพระพุทธเจ้าทั้งหลายอันไม่ทั่วไปแก่ผู้อื่น น่าอัศจรรย์ ตกไปในที่แห่งเดียวกันของเทวดามนุษย์และผู้ไปในเวหาได้ เห็นกันตามที่กล่าวแล้ว เสด็จจงกรม ณ ที่จงกรมนั้น ทรงแสดงธรรมสมควรแก่อัธยาศัยของเวไนยสัตว์ทั้งหลาย ด้วยพระพุทธลีลาอันไม่มีที่เปรียบ อันมีอานุภาพที่เป็นอจินไตย. ด้วยเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า :-
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายเหล่านี้ ย่อมไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้านี้ เป็นผู้สูงสุดกว่าคนเป็น เช่นไร กำลังฤทธิ์ และกำลังปัญญาเป็นเช่นไร กำลังของพระพุทธเจ้าพึงเป็นประโยชน์แก่สัตวโลก เป็นเช่นไร
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายเหล่านี้ย่อมไม่รู้ว่า พระพุทธเจ้านี้ เป็นผู้สูงสุดกว่าคนเป็น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 13
เช่นนี้ กำลังฤทธิ์ และกำลังปัญญาเป็นเช่นนี้ กำลังพระพุทธเจ้าพึงเป็นประโยชน์แก่โลก เป็นเช่นนี้.
เอาเถิดเราจักแสดงกำลังของพระพุทธเจ้าอันยอดเยี่ยม เราจักเนรมิตจงกรมประดับด้วยแก้วบนท้องฟ้า.
เมื่อพระตถาคตทรงแสดงปาฏิหาริย์ แสดงถึงพุทธานุภาพของพระองค์อย่างนี้แล้วทรงแสดงธรรม ท่านพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรยืนอยู่บนภูเขาคิชฌกูฎในกรุงราชคฤห์ เห็นด้วยทิพยจักษุ เกิดจิตอัศจรรย์ไม่เคยมีด้วยการเห็นพุทธานุภาพนั้น จึงเกิดความคิดขึ้นว่า เอาละเราจักทำพุทธานุภาพให้ปรากฏแก่โลกให้ยิ่งๆ ขึ้นไป จึงแจ้งความนั้นแก่ภิกษุ ๕๐๐ ซึ่งเป็นบริวารของตน ทันใดนั้นเองจึงมาทางอากาศด้วยฤทธิ์พร้อมกับบริวาร เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ประคองอัญชลีขึ้นเหนือศีรษะ กราบทูลถามถึงมหาภินิหารและการบำเพ็ญบารมีของพระตถาคต พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำท่านพระสารีบุตรนั้นให้เป็นกายสักขี คือ พยานทางกาย เมื่อจะทรงแสดงพุทธานุภาพของพระองค์แก่พวกมนุษย์ที่ประชุมกัน และเทวดาพรหมในหมื่นจักรวาลจึงทรงแสดงพุทธวงศ์. สมดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า :-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 14
พระสารีบุตรผู้มีปัญญามาก ฉลาดในสมาธิฌาน บรรลุบารมีด้วยปัญญา ย่อมทูล ถามพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นนายกแห่งโลกว่า ข้าแต่พระมหาวีระผู้สูงสุดกว่าคน อภินิหารของพระองค์เป็นเช่นไร ข้าแต่ท่านผู้ทรงปัญญา ในกาลไรที่พระองค์ทรงปรารถนาความตรัสรู้อันอุดม.
ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตาและอุเบกขาเป็นเช่น ไร.
ข้าแต่ท่านผู้ทรงปัญญา ผู้เป็นนายกแห่งสัตวโลก บารมี ๑๐ ที่พระองค์ทรงบำเพ็ญ แล้วเป็นเช่นไร.
อุปบารมีเป็นอย่างไร ปรมัตถบารมีเป็นอย่างไร.
พระองค์ผู้มีพระสุรเสียงไพเราะดุจนกการะเวก ข้าพระองค์เมื่อจะยังหทัยให้เยือกเย็น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 15
ยังมนุษย์พร้อมด้วยเทวดาให้รื่นเริง จึงทูลถาม ขอพระองค์ทรงพยากรณ์แก่ข้าพระองค์เถิด.
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพุทธวงศ์อย่างนี้แล้ว ท่านพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรส่งญาณมีพระพุทธคุณเป็นอารมณ์ว่า โอ การถึงพร้อมด้วยเหตุ การถึงพร้อมด้วยผล การสำเร็จแห่งมหาภินิหารของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบำเพ็ญบารมีอย่างนี้ตลอดกาลเพียงนี้ ทรงกระทำสิ่งที่คนทำได้ยาก นี่เป็นผลอันสมควรแก่การสะสมโพธิสมภารอันเป็นวิธีอย่างนี้ คือ ความเป็นพระสัพพัญญู ความเป็นผู้ชำนาญในกำลังทั้ง หลาย ความเป็นผู้มีฤทธิ์มากอย่างนี้ ความเป็นผู้มีอานุภาพมากอย่างนี้.
ท่านพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรนั้นตามไปตามระลึกถึง โดยติดตามธรรม ถึงพระพุทธคุณอันมีอานุภาพเป็นอจินไตยมีอาทิอย่างนี้ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ วิมุติญาณทัศนะ หิริโอตตัปปะ ศรัทธา วิริยะ สติสัมปชัญญะ ศีลวิสุทธิ ทิฏฐิวิสุทธิ สมถะ วิปัสสนา กุสลมูล ๓ สุจริต ๓ สัมมาวิตก ๓ สัญญาที่ไม่มีโทษ ๓ ธาตุ ๓ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อริยมรรค ๔ อริยสัจ ๔ ปฎิสัมภิทา ๔ ญาณกำหนดกำเนิด ๔ อริยวงศ์ ๔ เวสารัชชญาณ ๔ ปธานิยังคะ (องค์เป็นที่ตั้งแห่งความเพียร) ๕ สัมมาสมาธิมีองค์ ๕ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ นิสสรณิยธาตุ (ธาตุนำออกไป) ๕ วิมุตตายตนญาณ (ญาณมีอายตนะพ้นไปแล้ว) ๕ วิมุตติปริปาจนียธรรม (ธรรม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 16
อันเป็นความงอกงามแห่งวิมุติ) ๕ สาราณิยธรรม ๖ อนุสสติ ๖ คารวะ ๖ นิสสรณียธาตุ ๖ สัตตวิหารธรรม (ธรรมเป็นเครื่องอยู่เนื่องๆ) ๖ อนุตตริยะ ๖ นิพเพธภาคิสัญญา (สัญญาอันเป็นส่วนแทงตลอด) ๖ อภิญญา ๖ อสาธารณญาณ ๖ อปริหานิยธรรม ๗ อริยทรัพย์ ๗ โพชฌงค์ ๗ สัปปุริสธรรม ๗ นิททสวัตถุ (เรื่องชี้แจง) ๗ สัญญา ๗ ทักขิไณยบุคคลเทศนา (การแสดงถึงทักขิไณยบุคคล) ๗ ขีณสวพลเทศนา (การแสดงถึงกำลังของพระขีณาสพ) ๗ ปัญญาปฏิลาภเหตุเทศนา (การชี้แจงถึงเหตุได้ปัญญา) ๘ สัมมัตตะ ๘ การก้าวล่วงโลกธรรม ๘ อารัมภวัตถุ (เรื่องปรารภ) ๘ อักขณเทศนา (การแสดงแบบสายฟ้าแลบ) ๘ มหาปุริสวิตก ๘ อภิภายตนเทศนา (การแสดงอายตนะของท่านผู้เป็นอภิภู) ๘ วิโมกข์ ๘ ธรรมเป็นมูลแห่งโยนิโสมนสิการ ๙ องค์แห่งธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความเพียรอันบริสุทธิ์ ๙ สัตตาวาส ๙ อาฆาตปฏิวินัย (การกำจัดความอาฆาต) ๙ ปัญญา ๙ นานัตตเทศนา (การแสดงความต่างกัน) ๙ อนุบุพพวิหารธรรม ๙ นาถกรณธรรม ๑๐ กสิณายตนะ ๑๐ กุสลกรรมบถ ๑๐ สัมมัตตะ ๑๐ อริยวาสะ ๑๐ อเสกขธรรม ๑๐ รตนะ ๑๐ กำลังของพระตถาคต ๑๐ อานิสงส์เมตตา ๑๑ อาการของธรรมจัnร ๑๒ ธุดงคคุณ ๑๓ พุทธญาณ ๑๔ วิมุตติปริปาจนียธรรม ๑๕ อานาปานสติ ๑๖ อปรัมปริยธรรม (ธรรมที่ไม่เป็นปรัมปรา) ๑๖ พุทธธรรม ๑๘ ปัจจเวกขณญาณ ๑๙ ญาณวัตถุ ๔๔ อุทยัพพยญาณ ๕๐ กุสลธรรมเกิน ๕๐ ญาณวัตถุ ๗๗ มหาวชิรญาณอันเป็นจารีตร่วมกับสมาบัติสองล้านสี่แสน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 17
โกฏิ และเทศนาญาณเป็นเครื่องค้นคว้าและพิจารณา สมันตปัฏฐาน (การเริ่มตั้งโดยรอบคอบ) อันมีนัยไม่มีที่สุด และญาณประกาศอัธยาศัยเป็นต้น ของสัตว์ทั้งหลายไม่มีที่สุดในโลกธาตุอันหาที่สุดมิได้ ของพระผู้มีพระภาคเจ้าอันไม่สาธารณ์แก่ผู้อื่นไม่เห็นที่สุด ไม่เห็นประมาณ. จริงอยู่พระเถระเมื่อนึกถึงที่สุดก็ดี ประมาณก็ดี แห่งคุณทั้งหลายแม้ของตนเองก็ไม่เห็น. พระเถระนั้นจักเห็นประมาณ หรือข้อกำหนดแห่งพระคุณทั้งหลายของพระผู้มีพระภาคเจ้าได้อย่างไร. จริงอยู่ผู้ที่มีปัญญามาก มีญาณเฉียบแหลมย่อมเชื่อพระพุทธคุณทั้งหลายโดยความเป็นพระพุทธคุณใหญ่. ด้วยประการฉะนี้ พระเถระเมื่อไม่เห็นประมาณ หรือข้อกำหนดแห่งพระคุณทั้งหลายของพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตัดสินใจลงไปว่า เมื่อคนเช่นเราผู้ตั้งอยู่ในสาวกบารมีญาณยังไม่สามารถกำหนดพระพุทธคุณทั้งหลายโดยญาณได้ จะกล่าวไปไยถึงคนพวกนี้ น่าอัศจรรย์พระสัพพัญญูคุณเป็นอจินไตย ไม่มีข้อ กำหนด มีอานุภาพมาก อนึ่ง พระสัพพัญญูคุณเหล่านี้เป็นโคจรแห่งพุทธญาณอย่างเดียวเท่านั้นโดยประการทั้งปวง มิได้เป็นโคจรแก่ผู้อื่น. แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายก็ไม่สามารถกล่าวโดยพิสดารได้เลย. สมจริงดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า :-
แม้พระพุทธเจ้าก็กล่าวคุณของพระพุทธเจ้า หากว่ากล่าวถึงคุณอื่นแม้ตลอดกัป กัป
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 18
ย่อมสิ้นไปในระหว่างเวลายาวนาน คุณของพระตถาคตหาได้สิ้นไปไม่.
พระสารีบุตรเถระมีปีติโสมนัสเป็นกำลังเกิดขึ้นเพราะอาศัยความที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายมีพระคุณใหญ่อย่างนี้จึงคิดต่อไปว่า น่าอัศจรรย์ ธรรมทำให้เป็นพระพุทธเจ้า คือบารมี มีอานุภาพมาก เป็นเหตุแห่งพุทธคุณทั้งหลายเห็นปานนี้. ความเป็นบารมี เป็นความเจริญงอกงามในชาติไหนหนอ หรือว่าถึงความแก่กล้าอย่างไร.
ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งขัดสมาธิ ๓ ชั้น ณ รตนะจงกรมนั้น ประทับนั่งรุ่งโรจน์ดุจดวงอาทิตย์อ่อนรุ่งเรืองอยู่ ณ ภูเขายุคนธร ฉะนั้น ทรงแสดงแก่พระสารีบุตรว่า ดูก่อนสารีบุตร พุทธการกธรรมของเราได้เจริญงอกงามจากภพสู่ภพ จากชาติสู่ชาติ ในกัปทั้งปวง เพราะทำด้วยความเคารพติดต่อกัน และด้วยการอุปถัมภ์ของวิริยะตั้งแต่สมาทาน. แต่ในภัทรกัปนี้ พุทธการกธรรมเหล่านั้นเกิดแก่กล้าในชาติเท่านี้แล้วได้ตรัสธรรมปริยาย อันมีชื่อเป็นที่สองว่า จริยาปีฏกํ พุทฺธาปทานิยํ จริยาปิฎก เป็นที่ตั้งแห่งตำนานของพระพุทธเจ้า ด้วยบทมีอาทิว่า กปฺเป จ สตสหสฺเส ตลอดแสนกัป. ส่วนอาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นเทวดายิ่งกว่าเทวดาทรงจงกรมอยู่ ณ ที่จงกรมแก้ว อัน เทวดาและพรหมเป็นต้นบูชา ทรงหยั่งลง ณ นิโครธารามแวดล้อมด้วยพระขีณาสพสองล้านรูป ประทับนั่งเหนือวรพุทธาสนะที่เขาปูไว้ อันท่านพระ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 19
สารีบุตรทูลถามโดยนัยดังกล่าวแล้ว จึงทรงแสดงจริยาปิฎก. ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ท่านแสดงทูเรนิทานและอวิทูเรนิทานโดยสังเขป แล้วชี้แจงสันติเกนิทานแห่งจริยาปิฎกโดยพิสดาร. ส่วนทูเรนิทานจักมีแจ้งในการอธิบายเรื่องอสงไขย.
บัดนี้จะพรรณนาเนื้อความแห่งบาลี จริยาปิฎกที่มีมาโดยนัยมีอาทิว่า กปฺเป จ สตสหสฺเส ดังนี้. กัปปศัพท์ในบทนั้นทั้งที่มีอุปสรรค และไม่มีอุปสรรค ย่อมปรากฏในความมีอาทิว่า วิตก วิธาน ปฏิภาค บัญญัติ กาล ปรมายุ สมณโวหาร สมันตภาวะ อภิสัททหนะ เฉทนะ วินิโยคะ วินยะกิริยา เลสะ อันตรกัป ตัณหาทิฏฐิ อสงไขยกัป มหากัป.
กัปปศัพท์มาใน วิตก ในบทมีอาทิว่า เนกฺขมฺมสงฺกปฺโป อพฺยาปาทสงฺกปฺโป ดำริในการออกจากกาม ดำริในความไม่พยาบาท. มาใน วิธาน ในบทมีอาทิว่า จีวเร วิกปฺปํ อาปชฺเชยฺย ภิกษุพึงทำวิกัปในจีวร. อธิบายว่า ควรปฏิบัติตามธรรมเนียมเป็นอย่างยิ่ง. มาใน ปฏิภาค ในบทมีอาทิว่า สตฺถุกปฺเปน วต ฯลฯ น ชานิมฺหา ท่านผู้เจริญทั้งหลายได้ยินว่า พวกเราปรึกษากับพระสาวกซึ่งคล้ายกับพระศาสดาก็ยังไม่รู้. ในบทนั้นมีอธิบายว่า คล้ายกับ เช่นกับพระศาสดา. มาใน บัญญัติ ในบทมีอาทิว่า อิธายสฺมา กปฺโป ท่านผู้มีอายุเป็นบัญญัติในศาสนานี้. มาใน กาล ในบทมีอาทิว่า เยน สุทํ นจฺจกปฺปํ วิหรามิ ได้ยินว่าข้าพเจ้าจะอยู่ตลอดกาลเป็นนิจ. มาใน ปรมายุ ในบทมีอาทิว่า อากงฺขมาโน ฯลฯ กปฺปาวเสสํ วา ดูก่อนอานนท์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 20
ตถาคตหวังจะดำรงอยู่ตลอดกัปหรือตลอดส่วนที่เหลือของกัป. กัปในที่นี้ ท่านประสงค์เอาอายุกัป. มาใน สมณโวหาร ในบทมีอาทิว่า อนุชานามิ ฯลฯ ปริภุญฺชิตุํ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ฉันผลไม้ด้วยสมณกัป ๕ อย่าง. มาใน สมันตภาวะ ในบทมีอาทิ เกวลกปฺปํ เชตวนํ โอภาเสตฺวา ยังพระเชตวันโดยรอบทั้งสิ้นให้สว่างไสว. มาในอภิสัททหนะในบทมีอาทิว่า สทฺธา สทฺทหนา โอกปฺปนา อภิปฺปสาโท ศรัทธาความเชื่อ ความเชื่ออย่างยิ่ง ความเลื่อมใสอย่างยิ่ง. มาใน เฉทนะ ในบทมีอาทิว่า อลงฺกโต กปฺปิตเกสมสฺสุ โกนผมแลหนวดตกแต่งแล้ว. มาใน วินิโยคะ ในบทมีอาทิว่า เอวเมว อิโต ทินฺนํ เปตานํ อุปกปฺปติ ทานที่ให้แล้วจากโลกนี้ย่อมสำเร็จแก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว ฉันนั้น. มาใน วินยกิริยา ในประโยคมีอาทิว่า กปฺปกเตน อกปฺปกตํ สํสิพฺพิตํ โหติ จีวรอันภิกษุผู้ทำกัปปะมิได้ทำตามวินัยก็เป็นอันเย็บดีแล้ว. มาใน เลสะ ในประโยคมีอาทิว่า อตฺถิ กปฺโป นิปชฺชิตุํ หนฺทาหํ นิปชฺชามิ มีเลสเพื่อจะนอน เอาเถิดเราจะนอนละ. มาใน อันตรกัป ในประโยคมีอาทิว่า อาปายิโก เนรยิโก ฯลฯ นิรยมุหิ ปจฺจติ ผู้ทำลายสงฆ์ให้แตกกัน ต้องตกอบาย ตกนรก ตั้งอยู่กัปหนึ่ง และไหม้อยู่ในนรกตลอดกัป. มาในตัณหาและทิฏฐิในคาถามีอาทิว่า :-
แม้ธรรมทั้งหลายก็ไม่ดำริถึง ไม่ทำไว้ข้างหน้า ไม่ยอมรับ เขามิใช่พราหมณ์ที่ผู้มีศีล
ะสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 21
จะพึงแนะนำ เขาเป็นผู้ถึงฝั่ง เป็นผู้คงที่ ย่อมไม่หมกไหม้.
เป็นความจริงอย่างนั้นท่านกล่าวไว้ในนิทเทสว่า จากบทว่า กปฺป นี้ กัปมีสองอย่าง คือ ตัณหากัป ๑ ทิฏฐิกัป ๑. มาในอสงไขยกัปในบทมีอาทิว่า อเนเกปิ สํวฏฺฏกปฺเป อเนเกปิ วิวฏฺฏกปฺเป ในสังวัฏฏกัปไม่น้อย ในวิวัฏฏกัปไม่น้อย. มาในมหากัปในบทมีอาทิว่า จตฺตาริมานิ ภิกฺขเว กปฺปสฺส อสงฺเขยฺยานิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มหากัปมีสี่อสงไขย. กัปในที่นี้ได้แก่มหากัป.
บทสำเร็จในคำว่า กปฺป นั้นมีดังนี้ ชื่อว่า กปฺโป เพราะย่อมกำหนด. อธิบายว่า พึงกำหนดมีปริมาณที่ควรกำหนดด้วยการเปรียบกับกองเมล็ดผักกาดเป็นต้นอย่างเดียว เพราะไม่สามารถคำนวณด้วยปีได้ว่า เท่านั้นปี เท่านั้นร้อยปี เท่านั้นพันปี เท่านั้นแสน ปี. สมดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า :-
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กัปยาวเพียงไรหนอ. ดูก่อนภิกษุ กัปยาวมาก กำหนดไม่ได้ว่า เท่านั้นปี เท่านั้นร้อยปี เท่านั้นพันปี เท่านั้นแสนปี.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สามารถจะเปรียบเทียบได้หรือไม่ พระเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า สามารถเปรียบเทียบได้ ภิกษุ. เหมือนอย่างว่ากองเมล็ดผักกาด โดยความยาวโยชน์หนึ่ง โดยความกว้างโยชน์หนึ่ง โดยความสูงโยชน์หนึ่ง เมื่อล่วงไปร้อยปี พันปี ผู้วิเศษเก็บเมล็ดผักกาดไปเมล็ดหนึ่งๆ เมล็ดผักกาดหมด ก็ยังไม่สิ้นกัป. ดูก่อนภิกษุ กัปยาวอย่างนี้แล.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 22
มหากัปนี้นั้นสงเคราะห์เข้าด้วยสี่อสงไขยกัป ด้วยสามารถแห่งสังวัฏฏกัปเป็นต้น. สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สี่อสงไขยกัปเหล่านี้ สี่อสงไขยกัปเป็นไฉน. คือ สังวัฏฏกัป สังวัฎฏัฏฐายีกัป วิวัฏฏกัป วิวัฎฏัฏฐายีกัป.
ในกัปเหล่านั้น สังวัฏฏกัปมี ๓ คือ เตโชสังวัฏฏกัป ๑ อาโปสังวัฏฏกัป ๑ วาโยสังวัฏฏกัป ๑. แดนสังวัฏฏกัปมี ๓ คือ อาภัสสรา ๑ สุภกิณหา ๑ เวหัปผลา ๑. ก็ในกาลใดกัปย่อมเป็นไปด้วยไฟ ในกาลนั้น กัปเบื้องล่างจากอาภัสสราย่อมถูกไฟไหม้. ในกาลใดกัปย่อมเป็นไปด้วยน้ำ ในกาลนั้นกัปเบื้องล่างจากสุภกิณหาย่อมถูกน้ำละลาย. ในกาลใดกัปย่อมเป็นไปด้วยลม ในกาลนั้นกัปเบื้องล่างจากเวหัปผลาย่อมถูกลมกำจัด. แต่โดยกว้างออกไปจักรวาลแสนโกฏิย่อมพินาศ. ท่านกล่าวว่าเป็นอาณาเขตของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย. ในสังวัฏฏกัป ๓ เหล่านั้น การทำลายเปลวไฟ น้ำ หรือลม ตั้งแต่มหาเมฆยังกัปให้พินาศตามลำดับ นี้เป็นอสงไขยหนึ่ง ชื่อว่า สังวัฏฏกัป. มหาเมฆตั้งขึ้นเต็มจักรวาลแสนโกฏิตั้งแต่การทำลายเปลวไฟอันยังกัปให้พินาศ นี้เป็นอสงไขยที่สองชื่อว่า สังวัฏฏฐายีกัป.
ความปรากฏแห่งดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ตั้งแต่มหาเมฆตั้งขึ้น นี้เป็นอสงไขยกัปที่สาม ชื่อว่าวิวัฏฏกัป. มหาเมฆยังกัปให้พินาศอีก ตั้งแต่ความ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 23
ปรากฏแห่งดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ นี้เป็นอสงไขยกัปที่สี่ ชื่อว่าวิวัฏฏัฏฐายีกัป. ในกัปเหล่านี้ การสงเคราะห์กัปในระหว่าง ๖๔ กัป ชื่อว่า วิวัฏฏัฏฐายีกัป. ด้วยบทนั้นพึงทราบว่าวิวัฏฏกัปเป็นต้นกำหนดด้วยกาลอันเสมอกัน. อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า การสงเคราะห์กัปในระหว่าง ๒๐ กัป. ด้วยประการฉะนี้ สี่อสงไขยกัปเหล่านี้เป็นหนึ่งมหากัป. ด้วยเหตุนั้นท่าน จึงกล่าวว่า มหากัปนี้นั้นสงเคราะห์ด้วยสี่อสงไขยกัปด้วยอำนาจแห่งสังวัฏฏกัปเป็นต้น.
อนึ่ง บทว่า กปฺเป เป็นทุติยาวิภัตติ์พหุวจนะ ด้วยเป็นอัจจันตสังโยคะ แปลว่า ตลอดกัป สิ้นกัป. บทว่า สตสหสฺเส แสดงถึงปุลลิงค์โดยเชื่อมกับศัพท์ว่า กปฺป. แม้ในที่นี้ก็เป็นพหุวจนะด้วยเป็นอัจจันตสังโยคะ ทั้งสองบทนี้เป็นอธิกรณะเสมอกัน. แม้ในบทว่า จตุโร จ อสงฺขิเย นี้ ก็มีนัยนี้แล. อนึ่ง บทว่า อสงฺขิเย ย่อมให้รู้ความนี้ว่า กปฺปานํ โดยคัมภีร์ เพราะไม่กล่าวบทอื่นและเพราะกล่าวถึงกัปเท่านั้น. การเว้นบทที่กล่าวแล้วคือเอาบทอะไรๆ ที่ไม่ได้กล่าวไว้ไม่สมควร. จ ศัพท์เป็นสัมบิณฑนัตถะ (บวกความท่อนหลังเข้ากับความท่อนต้น). มีเนื้อความว่า สี่อสงไขยแห่งมหากัปและแสนมหากัป พึงทราบความในบทว่า อสงฺขิเย นี้ ชื่อว่า อสงฺขิยา เพราะไม่สามารถจะนับได้. อธิบายว่า เกินการคำนวณ. อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า บทว่า อสงฺเขยฺยํ เป็นการนับที่แปลกอย่างหนึ่ง. อาจารย์พวกนั้นกล่าวว่า คะแนนมหากำลังสิบเว้นฐานะ ๕๙ อันมีคะแนนมหากำลังเป็นที่สุดตั้งแต่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 24
รวมเป็นอันเดียวกัน ชื่อว่าอสงไขย ในลำดับอัฏฐานะ ๖๐. ข้อนั้นไม่ถูก การคำนวณที่แปลกชื่อว่าในระหว่างฐานะที่นับได้. ในระหว่างฐานะหนึ่ง ชื่อว่าอสงไขย เพราะไม่มีความที่การคำนวณที่แปลกนั้นจะพึงนับไม่ได้ เพราะเหตุนั้น ข้อนั้นจึงผิด. ข้อที่กัปนั้นมี ๔ อย่าง ในความเป็นอสงไขยกัป เพราะความที่เป็นกัปนับไม่ได้ไม่ถูกมิใช่หรือ. ไม่ถูกก็ไม่ใช่ เพราะความที่อสงไขยกัปท่านปรารถนาแล้วในฐานะ ๔. ในบทนั้นพึงทราบการชี้แจงตั้งแต่ต้นดังต่อไปนี้.
มีเรื่องเล่ามาว่า ในกัปนี้ครั้งอดีต พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ พระองค์ คือ พระตัณหังกร ๑ พระเมธังกร ๑ พระสรณังกร ๑ พระทีปังกร ๑ ทรงอุบัติขึ้นในโลกตามลำดับ. ในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น ในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า ทีปังกร ได้มีเมืองชื่อว่า อมรวดี. สุเมธพราหมณ์อาศัยอยู่ในเมืองนั้นเป็นอุภโตสุชาตสังสุทธเคราหณี (มีครรภ์เป็นที่ปฏิสนธิอันบริสุทธิ์ทั้งสองฝ่าย) ทางฝ่ายมารดาและบิดาตลอด ๗ ชั่วตระกูล ไม่ถูกรังเกียจโดยชาติ. มีรูปงาม น่าชม น่าเลื่อมใส ถึงพร้อมด้วยผิวพรรณงดงามอย่างยิ่ง สุเมธพราหมณ์มิได้ทำการงานอย่างอื่น เรียนศิลปะของพราหมณ์อย่างเดียว. มารดาบิดาได้ถึงแก่กรรมตั้งแต่เขายังเป็นหนุ่ม. ครั้งนั้น สิริวัฑฒกะ อำมาตย์ของเขา นำบัญชีทรัพย์สินมาให้แล้วเปิดห้องทรัพย์สินเต็มไปด้วยทอง เงิน แก้วมณี แก้วมุกดาเป็นต้น แล้วแจ้งทรัพย์สินตั้งแต่ ๗ ชั่วตระกูลว่า ข้าแต่กุมาร ทรัพย์ประมาณเท่านี้เป็นของมารดา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 25
ของท่าน ประมาณเท่านี้เป็นของบิดาของท่าน ประมาณเท่านี้เป็นของปู่ ย่า ตา ยาย และทวดของท่าน แล้วกล่าวว่า ขอท่านจงปกครองทรัพย์สินนี้เถิด. สุเมธบัณฑิตคิดว่า ญาติทั้งหลายมีมารดาบิดาเป็นต้นของเรารวบรวมทรัพย์สินนี้ไว้เป็นอันมาก ถึงอย่างนี้ก็ยังไปสู่ปรโลก มิได้ถือเอาไปได้แม้แต่กหาปณะเดียว แต่เราควรจะทำเหตุแห่งการถือเอาไปได้ ดังนี้ เขาจึงทูลแด่พระราชาแล้วให้ตีกลองประกาศทั่วไปในเมือง ได้ให้ทานแก่มหาชนแล้วไปยังหิมวันตประเทศ บวชเป็นดาบส ล่วงไปได้ ๗ วันจึงยังสมาบัติ ๘ และอภิญญา ๕ ให้เกิดขึ้น อยู่ด้วยสมาบัติวิหารธรรม.
ก็ในกาลนั้น พระทศพลพระนามว่า ทีปังกร บรรลุพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ ยังบวรธรรมจักรให้เป็นไป แวดล้อมด้วยพระขีณาสพหนึ่งแสนรูป เสด็จจาริกไปโดยลำดับ ถึงรัมมวดีนคร ประทับอาศัยอยู่ที่สุทัศนมหาวิหาร ไม่ไกลเมืองนั้น. ชาวเมืองรัมมวดีนครได้ฟังว่า ได้ยินว่าพระศาสดาเสด็จถึงนครของพวกเราแล้ว ประทับอยู่ ณ สุทัศนมหาวิหาร จึงพากันถือของหอมมีดอกไม้เป็นต้นเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้วบูชาด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น นั่งอยู่ส่วนข้างหนึ่งฟังพระธรรมเทศนา แล้วนิมนต์เพื่อเสวยภัตตาหารในวันรุ่งขึ้น พากันลุกจากที่นั่งกลับไป. วันรุ่งขึ้นชาวเมืองเหล่านั้นเตรียมมหาทาน ตกแต่งนคร ต่างรื่นเริงยินดี ทำความสะอาดทางที่พระทศพลเสด็จมา.
อนึ่ง ในกาลนั้น สุเมธดาบสมาทางอากาศเห็นพวกมนุษย์เหล่านั้นรื่นเริงยินดี จึงถามว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย พวกท่านทำความสะอาดทางนี้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 26
เพื่อใคร. เมื่อพวกมนุษย์บอกว่า พวกเราทำความสะอาดทางเพื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมา เพราะค่าที่ตนได้สะสมบารมีมาในพระพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีต พอได้ยินคำว่า พุทฺโธ ก็เกิดปีติโสมนัส ลงจากอากาศในทันใดนั่นเอง แล้วกล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงให้โอกาสแก่เราบ้าง แม้เราก็จักทำความสะอาดด้วย ครั้นพวกมนุษย์ให้โอกาสแล้ว จึงคิดว่า ความจริงเราพอจะทำทางนี้ให้วิจิตรด้วยรัตนะ ๗ ด้วยฤทธิ์แล้วตกแต่งได้ แต่วันนี้เราควรทำความขวนขวายทางกาย เราจักถือเอาบุญสมควรแก่กาย แล้วจึงนำหญ้าและหยากเยื่อเป็นต้นออกไป เอาฝุ่นมาเกลี่ยให้เสมอทำให้สะอาด. ก็เมื่อทำความสะอาดที่นั้นยังไม่สำเร็จ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระทีปังกรแวดล้อมด้วยพระขีณาสพผู้ได้อภิญญา ๖ ผู้มีมหานุภาพสี่แสนรูปเสด็จมาถึงทางนั้น.
สุเมธบัณฑิตคิดว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสาวกของพระพุทธเจ้าจงอย่าเหยียบโคลน จึงคลี่ผ้าป่าน แผ่นหนัง และห่อชฎาออก ตนเองนอนคว่ำหันศีรษะไปทางพระผู้มีพระภาคเจ้า. และเขาคิดอย่างนี้ว่า หากเราจักปรารถนา เราจักเป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้านี้ จักทำลายกิเลสในวันนี้ทีเดียว. ประโยชน์อะไรด้วยการออกจากโอฆะใหญ่คือสงสารของเราเพียงผู้เดียวเท่านั้น ถ้ากระไรแม้เราก็พึงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นปานนี้ ยังโลกพร้อมทั้งเทวโลกให้ข้ามจากห้วงน้ำใหญ่คือสงสาร. สุเมธบัณฑิตตั้งใจด้วยอภินิหารประกอบด้วยองค์ ๘ ด้วยประการฉะนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 27
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาประทับยืน ณ เบื้องศีรษะของสุเมธบัณฑิตนั้น ทรงทราบความสำเร็จวารจิตของสุเมธบัณฑิตนั้น ทรงพยากรณ์ความเป็นไปนี้ทั้งหมดของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า จากนี้ไปในที่สุดสี่อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัป สุเมธบัณฑิตนี้จักเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าโคดมดังนี้ แล้วหลีกไป.
จากนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแม้อื่นทรงอุบัติขึ้นตามลำดับ มีพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า โกณฑัญญะเป็นต้น จนถึงพระทศพลพระนามว่ากัสสปเป็นที่สุด ทรงพยากรณ์พระมหาสัตว์ว่า จักเป็นพระพุทธเจ้า. เมื่อพระโพธิสัตว์ของพวกเราทรงบำเพ็ญบารมีอยู่นั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้น ๒๔ พระองค์. ในกัปที่พระทศพลพระนามว่าทีปังกรทรงอุบัติ ได้มีพระพุทธเจ้าอื่นอีก ๓ พระองค์. ในสำนักของพระพุทธเจ้าเหล่านั้นมิได้มีการพยากรณ์พระโพธิสัตว์. เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าเหล่านั้นจึงไม่ถือเอาในที่นี้. แต่ในอรรถกถาเก่า เพื่อแสดงถึงพระสัมพุทธเจ้าทั้งหลายตั้งแต่กัป ท่านจึงกล่าวคาถานี้ว่า :-
พระตัณหังกร พระเมธังกร พระสรณังกร พระทีปังกร ผู้เป็นพระสัมพุทธเจ้า และพระโกณฑัญญะ ผู้สูงสุดกว่าสัตว์สองเท้า พระมังคละ พระสุมนะ พระเรวตะ พระโสภิตะ ผู้เป็นมุนี พระอโนมทัสสี พระปทุม พระ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 28
นารทะ พระปทุมุตตระ พระสุเมธะ ผู้เกิดดีแล้ว พระปิยทัสสี ผู้มียศใหญ่ พระอัตถทัสสี พระธรรมทัสสี พระสิทธัตถะ ผู้เป็นนายกของโลก พระติสสะ พระผุสสะ ผู้เป็นพระสัมพุทธเจ้า พระวิปัสสี พระสิขี พระเวสสภู พระกกุสันธะ พระโกนาคมนะ พระกัสสปะ ผู้เป็นนายก. ท่านเหล่านี้ได้เป็นพระสัมพุทธเจ้า ปราศจากราคะ ตั้งมั่นแล้ว มีรัศมี ๑๐๐ บรรเทาความมืดใหญ่ รุ่งเรืองดุจกองไฟ พระสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น พร้อมด้วยสาวกทั้งหลาย ได้นิพพานแล้ว.
ในระหว่างพระทศพลพระนามว่าทีปังกร และพระทศพลพระนามว่าโกณฑัญญะ โลกได้ว่างพระพุทธเจ้าไปตลอดอสงไขยหนึ่งแห่งมหากัป. ในระหว่างพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าโกณฑัญญะ และพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ามังคละ ก็เหมือนกัน ในระหว่างพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าโสภิตะ พระนามว่าอโนมทัสสี พระนามว่านารทะ พระนามว่าปทุมุตตระ ก็เหมือนกัน. สมดังที่ท่านกล่าวไว้ในพุทธวงศ์ว่า :-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 29
กัปทั้งหลายในระหว่างแห่งพระพุทธเจ้าเหล่านั้น คือแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าทีปังกร และแห่งพระศาสดาพระนามว่าโกณฑัญญะ เป็นกัปที่นับไม่ได้โดยการคำนวณ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นนายกพระนามว่ามังคละ โดยพระนามอื่นจากพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าโกณฑัญญะ กัปทั้งหลายในระหว่างพระพุทธเจ้าแม้เหล่านั้น ก็เป็นกัปที่นับไม่ได้โดยการคำนวณ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าอโนมทัสสี ผู้มียศใหญ่อื่นจากพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าโสภิตะ กัปทั้งหลายในระหว่างพระพุทธเจ้าแม้เหล่านั้น ก็เป็นกัปที่นับไม่ได้โดยการคำนวณ.
กัปทั้งหลายในระหว่างพระพุทธเจ้าแม้เหล่านั้น คือ แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่านารทะ แห่งพระศาสดาพระนามว่าปทุมุตตระ ก็เป็นกัปที่นับไม่ได้โดยการคำนวณ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 30
ด้วยประการฉะนี้ท่านจึงกล่าวว่า จตุโร จ อสงฺขิเย สื่อสงไขยโดยการล่วงการคำนวณมหากัปในฐานะ ๔ แม้ในความเป็นอสงไขยกัป เพราะความเป็นกัปที่ล่วงเลยการคำนวณ. พึงทราบว่าท่านมิได้กล่าวด้วยสังขยาวิเสสนะ (การนับที่แปลกออกไป). อนึ่ง เพราะ ๓ หมื่นกัปในระหว่างพระทศพลพระนามว่าปทุมุตตระ และพระทศพลพระนามว่าสุเมธะ. ๖๙,๘๘๒ กัปแห่งพระทศพลพระนามว่าสุชาตะ และพระทศพลพระนามว่าปิยทัสสี. ๒๐ กัปในระหว่างพระทศพลพระนามว่าธรรมทัสสี และพระทศพลพระนามว่าสิทธัตถะ. ๑ กัป ในระหว่างพระทศพลพระนามว่าสิทธัตถะ และพระทศพลพระนามว่าติสสะ. ๖๐ กัปในระหว่างพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าวิปัสสี และพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าสิขี. ๓๐ กัปในระหว่างพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าเวสสภู และพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากกุสันธะ. และ ๑๐๐,๐๐๐ มหากัป พร้อมด้วยกัปที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้นๆ ทรงอุบัติภายหลังตั้งแต่กัปที่พระทศพลพระนามว่าปทุมุตตระ ทรงอุบัติและด้วยภัทรกัปนี้ ด้วยประการฉะนี้ ท่านจึงกล่าวว่า กปฺเป จ สตสหสฺเส ตลอดแสนกัปหมายถึงมหากัปเหล่านั้น. เมื่อเนื้อความนี้กล่าวพิสดารควรจะนำบาลีพุทธวงศ์ทั้งหมดมาพรรณนา ฉะนั้นเราจะรักษาใจของมหาชนผู้กลัวความพิสดารเกิน จึงจะไม่กล่าวให้พิสดาร. ผู้มีความต้องการความพิสดารพึงเรียนจากพุทธวงศ์. อนึ่ง ในที่นี้กถามรรคใดที่ควรกล่าว กถามรรคแม้นั้นก็พึงทราบโดยนัยดังที่ได้กล่าวไว้แล้วในอรรถกถาธรรมสังคหะชื่อว่า อัฏฐสาลินี และอรรถกถาชาดกนั่นแล.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 31
อนฺตร ศัพท์ในบทว่า เอตฺถนฺตเร นี้ มาแล้วใน เหตุ ในบทมีอาทิว่า :-
ชนทั้งหลาย ประชุมกันที่ฝั่งแม่น้ำ ที่เรือน ที่สภา และที่ถนน ปรึกษาเหตุอะไรกะเราและกะท่าน.
มาแล้วใน ขณะ ในประโยคมีอาทิว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ หญิงคนหนึ่งล้างภาชนะในขณะฟ้าแลบ ได้เห็นข้าพระองค์. มาแล้วใน จิต ในประโยค มีอาทิว่า ความโกรธไม่มีแต่จิตของผู้ใด. มาแล้วใน ระหว่าง ในบทมีอาทิว่า เมืองคยาในระหว่าง และต้นโพธิ์ในระหว่าง. มาแล้วใน ท่ามกลาง ในบทมีอาทิว่า เมื่อพระอุปัชฌาย์ยังพูดอยู่ไม่ควรสอดคำพูดในท่ามกลาง แม้ในที่นี้พึงเห็นว่า ในท่ามกลางนั่นแล เพราะฉะนั้น ในระหว่างนี้ ความว่าในท่ามกลาง. บทนี้เป็นอันท่านกล่าวไว้ว่า ในมหากัปพระผู้มีพระภาคของเรา เป็นสุเมธบัณฑิตในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าทีปังกร ได้ทรงกระทำมหาภินิหารประกอบด้วยองค์ ๘ ซึ่งท่านกล่าวไว้อย่างนี้ คือ ความเป็นมนุษย์ ๑ ความถึงพร้อมด้วยเพศ ๑ เหตุ ๑ การเห็นพระศาสดา ๑ บรรพชา ๑ คุณสมบัติ ๑ อธิการ ๑ ความพอใจ ๑. ทรงสะสมสมาทานบารมี ๓๐ ทัศ ทรงปรารภเพื่อยังพุทธการกธรรมแม้ทั้งหมดให้สมบูรณ์ อนึ่ง มีพระบารมีเต็มเปี่ยมด้วยประการทั้งปวง ในภัทรกัปนี้ได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ. กาลวิเศษมีกำหนดตามที่กล่าวแล้ว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 32
ในระหว่างมหากัปสองเหล่านี้. ก็ข้อนั้นรู้ได้อย่างไร. จริงอยู่บทนี้ว่า กปฺเป จ สตสหสสฺเส จตุโร จ อสงฺขิเย สี่อสงไขยแสนกัป เป็นบทแสดงถึงการนับมหากัปโดยกำหนดและมิได้กำหนด. ก็การนับนี้นั้นเป็นการถือเอาเบื้องต้นและที่สุดของการคำนวณ เว้นจากนั้นไม่มี เพราะเหตุนั้นการเริ่มโพธิสมภารและการแสวงหาย่อมรู้ได้ว่า แม้ทั้งสองอย่างนั้น ท่านแสดงโดยเนื้อความในบทนี้ว่า เอตฺถนฺตเร ในระหว่างนี้ด้วยความมีเขตจำกัด อนึ่ง เขตจำกัดนี้พึงทราบด้วยวิธีอันยิ่ง. ไม่พึงทราบด้วยอำนาจขอบเขต เพราะกัปเริ่มและกัปสุดท้ายหยั่งลงภายในโดยเอกเทศ. อนึ่ง วิธีอันยิ่งย่อมไม่มีในที่นี้ เพราะมิได้กำหนดกัปเหล่านั้นไว้ โดยไม่มีขอบเขตมิใช่หรือ ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะนั่นเป็นแม้ในเอกเทศของกัปนั้น. จริงอยู่ กัปที่เป็นเอกเทศของกัปนั้น กำหนดไว้โดยไม่มีขอบเขต.
บทว่า จริตํ ในบทนี้ว่า ยํ จริตํ, สพฺพํ ตํ โพธิปาจนํ ความประพฤติทั้งหมดนั้นเป็นเครื่องบ่มโพธิญาณ ได้แก่ จริยา อันเป็นข้อปฏิบัติมีทานและศีลเป็นต้น สงเคราะห์เข้าในบารมี ๓๐ ทัศ เพราะญาตัตถจริยา โลกัตถจริยา และพุทธัตถจริยา หยั่งลงภายในจริยานั้น. อนึ่ง จริยา นี้ มี ๘ คือ อิริยาปถจริยา จริยาในอิริยาบถ ๔ ของท่านผู้ถึงพร้อมด้วยความตั้งใจ ๑ อายตนจริยา จริยาในอายตนะภายในของท่านผู้มีทวารคุ้มครองแล้วในอินทรีย์ทั้งหลาย ๑ สติจริยา จริยาในสติปัฏฐาน ๔ ของท่านผู้มีความไม่ประมาทเป็นธรรมเครื่องอยู่ ๑ สมาธิจริยา จริยาในฌานทั้งหลาย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 33
๔ ของท่านผู้ขวนขวายในอธิจิต ๑ าณจริยา จริยาในอริยสัจ ๔ ของท่านผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญา ๑ มคฺคจริยา จริยาในอริยมรรค ๔ ของท่านผู้ปฏิบัติชอบ ๑ ปตฺติจริยา จริยาในสามัญผล ๔ ของท่านผู้บรรลุผล ๑ โลกตฺถจริยา จริยาในสรรพสัตว์ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ๓ พระองค์. ในจริยาเหล่านั้น โลกัตถจริยาของพระโพธิสัตว์สององค์ และพระปัจเจกพุทธเจ้าและสาวกของพระพุทธเจ้า โดยมีขอบเขต แต่ของพระโพธิสัตว์และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายโดยไม่มีขอบเขต. สมดังที่ท่านกล่าวไว้ในนิทเทสว่า บทว่า จริยา ได้แก่จริยา ๘ คือ อิริยาปถจริยาและอายตนจริยา เป็นต้น ความพิสดารมีอยู่ว่า พระโยคาวจรประพฤติน้อมไปด้วยศรัทธา ประพฤติประคองไว้ด้วยความเพียร ประพฤติรู้ทั่วด้วยปัญญา ประพฤติรู้แจ้งด้วยวิญญาณ เมื่อปฏิบัติอยู่อย่างนี้ กุศลธรรมทั้งหลายย่อมแผ่ไป ด้วยเหตุนั้นชื่อว่าประพฤติด้วยอายตนจริยา. แม้ปฏิบัติอย่างนี้ก็ย่อมบรรลุคุณวิเศษ ด้วยเหตุนั้นชื่อว่าประพฤติด้วยวิเสสจริยา ดังนั้นท่านจึงกล่าวถึงจริยา ๘ แม้อื่น. พึงทราบการปิดบังในบารมีทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้นไว้. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า บทว่า จริตํ คือ จริยา อันเป็นข้อปฏิบัติมีทานและศีลเป็นต้น สงเคราะห์เข้าในบารมี ๓๐ ทัศ. แต่ในที่นี้พึงทราบความไม่ปิดกั้นมรรคจริยาและปัตติจริยา เพราะประสงค์เอาเหตุจริยานั้นแลในที่นี้. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า สพฺพํ ตํ โพธิปาจนํ ความประพฤติทั้งหมดนั้นเป็นเครื่องบ่มพระโพธิญาณ ดังนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 34
สพฺพ ศัพท์ในบทนั้นย่อมปรากฏในอรรถ ๔ อย่าง คือ สพฺพสพฺพํ ๑ อายตนสพฺพํ ๑ สกฺกายสพฺพํ ๑ ปเทสสพฺพํ ๑. ในอรรถว่า สพฺพสพฺพํ ในบทมีอาทิว่า ธรรมทั้งหลายทั้งปวง ย่อมมาสู่ครองในหัวข้อว่า ญาณ ของพระพุทธเจ้าผู้มีพระภาคด้วยอาการทั้งปวง. ในอรรถว่า อายตนสพฺพํ ในบทนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงอายตนะทั้งปวง พวกเธอจงฟัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ รูป ฯลฯ มนะและธรรมทั้งหลาย เป็นอย่างไร. ในอรรถว่า สกฺกายสพฺพํ ในบทมีอาทิว่า ภิกษุย่อมรู้สิ่งทั้งปวงโดยประการทั้งปวง. ในอรรถว่า ปเทสสพฺพํ ในบทมีอาทิว่า ดูก่อนสารีบุตร ถ้อยคำอันพวกเธอทั้งหมดกล่าวดีแล้วโดยปริยาย. แม้ในที่นี้พึงทราบว่า สพฺพ ศัพท์ในอรรถว่า ปเทสสพฺพํ เพราะท่านประสงค์เอาความประพฤติอันเป็นการสะสมโพธิญาณ.
บทว่า โพธิ ได้แก่ต้นไม้บ้าง อริยมรรคบ้าง นิพพานบ้าง สัพพัญญุตญาณบ้าง. ต้นไม้ชื่อว่า โพธิ เพราะต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ ในอาคตสถานว่า ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครั้งแรก ณ ควงต้นโพธิ และว่า คยาประเทศในระหว่าง และต้นโพธิในระหว่าง. อริยมรรคชื่อว่า โพธิ เพราะอริยมรรคเป็นเหตุตรัสรู้อริยสัจ ๔ ในอาคตสถานว่า ญาณในมรรค ๔ ท่านเรียกว่า โพธิ. นิพพานชื่อว่า โพธิ เพราะนิพพานเป็นนิมิต ในอาคตสถานว่า ทรงบรรลุโพธิญาณอันเป็นอมตะและอสังขตะ. พระสัพพัญญุตฌาณ ชื่อว่า โพธิ เพราะพระสัพพัญญุตญาณเป็นเหตุตรัสรู้ธรรมทั้งปวงโดยอาการ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 35
ทั้งปวง ในอาคตสถานว่าท่านผู้มีปัญญา ว่าประเสริฐดุจแผ่นดิน ย่อมบรรลุโพธิญาณ. ในที่นี้ประสงค์เอาพระสัพพัญญุตญาณ. หรือว่าสัพพัญญุตญาณอันเป็นอรหัตตมรรคพึงทราบว่า โพธิ ในที่นี้. พระสัพพัญญุตญาณของพระผู้มีพระภาคเจ้า ชื่อว่า โพธิ เพราะประสงค์เอา มหาโพธิ. จริงอยู่ พระสัพพัญญุตญาณอันมีอาสวักขยญาณเป็นปทัฏฐาน และอาสวักขยญาณอันมีพระสัพพัญญุตญาณเป็นปทัฏฐาน ท่านกล่าวว่า มหาโพธิ. ความย่อในบทนี้ มีดังนี้ ความประพฤติกล่าวคือการปฏิบัติมีทานและศีลเป็นต้นของเราอันใด ในการกำหนดกาลตามที่กล่าวแล้ว ความประพฤตินั้นทั้งหมดเป็นเครื่องบ่ม เป็นความสำเร็จ ทำให้เกิดมหาโพธิญาณ อันไม่มีส่วนเหลือ อกิตติดาบสแสดงการบำเพ็ญโพธิสมภารติดต่อกันไปด้วยบทนี้. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า สพฺพํ ได้แก่ความประพฤติอันใดในระหว่างนี้ คือ ในการกำหนดกาลตามที่กล่าวแล้ว ความประพฤตินั้นทั้งหมดเป็นโพธิสมภารทั้งสิ้น ไม่มีส่วนเหลือ. อกิตติดาบสแสดงการบำเพ็ญบุญบารมีทั้งหมดด้วยบทนี้.
ภาวนาในโพธิสมภารมี ๔ อย่าง คือ สพฺพสมฺภารภาวนา ๑ นิรนฺตรภาวนา ๑ จิรกาลภาวนา ๑ สกฺกจฺจภาวนา ๑. ในภาวนา ๔ อย่างนั้น ท่านกล่าว จิรกาลภาวนา (การบำเพ็ญตลอดกาลนาน) ด้วยบทนี้ว่า กปฺเป จ สตสหสฺเส, จตุโร จ อสงฺขิเย ในสี่อสงไขยแสนกัป. ท่านกล่าว นิรนฺตรภาวนา (การบำเพ็ญติดต่อกันไป) ด้วยการถือเอาทั้งหมด ในอรรถวิกัปที่หนึ่ง ด้วยการประกอบล่วงส่วนในระหว่างนี้. ท่านกล่าว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 36
สพฺพสมฺภารภาวนา (การบำเพ็ญบุญกุศลทั้งหมด) ด้วยบทนี้ว่า สพฺพํ จริตํ ความประพฤติทั้งหมด ในอรรถวิกัปที่สอง. ท่านกล่าว สกฺกจฺจภาวนา (การบำเพ็ญโดยความเคารพ) ด้วยบทนี้ว่า โพธิปาจนํ เป็นเครื่องบ่มโพธิญาณ. ความประพฤตินั้นย่อมบ่มสัมมาสัมโพธิญาณ เพราะแสดงความเป็นอย่างนั้น ฉันใด ความประพฤตินั้นย่อมควรที่จะกล่าวว่า โพธิปาจนํ เป็นเครื่องบ่มโพธิญาณ ฉันนั้น ไม่ควรที่จะกล่าวโดยอาการอื่น. ก็ในบทนี้พึงทราบความที่โพธิจริยาติดต่อกันไปอย่างไร. ผิว่า จิตนั้นไม่ควร เพราะจิตติดต่อกันไป เป็นความจริงที่ไม่อาจจะกล่าวได้ว่า จิตอื่นจากจิตสะสมโพธิสมภาร จะเกิดขึ้นสูงกว่ามหาภินิหารของพระมหาสัตว์ทั้งหลาย. เมื่อเป็นเช่นนั้น พึงกล่าวหมายถึงความเป็นไปแห่งจิตสำเร็จด้วยกิริยา. แม้อย่างนี้ก็ไม่ควร. ความจริงไม่ควรเห็นว่า จิตสำเร็จด้วยกิริยาทั้งหมดของพระมหาโพธิสัตว์เหล่านั้น ย่อมเป็นไปได้ด้วยอำนาจแห่งการสะสมโพธิสมภารเท่านั้น แม้การทำความเพียรติดต่อกันไป ท่านก็ห้ามด้วยบทนี้เหมือนกัน. อนึ่ง พึงทราบนิรันตรภาวนา เพราะความติดต่อกันแห่งชาติ. พระมหาโพธิสัตว์ยังมหาปณิธานให้เกิดในชาติใด ชาตินั้นย่อมไม่เข้าไปได้ตั้งแต่นั้นจนถึงอัตภาพหลัง. ชาติใดที่พระมหาโพธิสัตว์สะสมโพธิสมภารไว้หมดสิ้นทุกประการ โดยที่สุดหมายเอาเพียงทานบารมีก็พึงมีไม่ได้. เพราะชาตินี้เป็นธรรมดาของพระโพธิสัตว์ทั้งหลายผู้ปรารถนากิจของพระศาสนา. พระโพธิสัตว์เหล่านั้นยังไม่ถึงความเป็นผู้ชำนาญในกรรมเป็นต้นเพียงใด พระโพธิสัตว์ทั้งหลายย่อมถึงความขวนขวายอันมีขอบเขตในการสะสมบุญ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 37
เพียงนั้น. อนึ่ง เมื่อใดพระโพธิสัตว์ทั้งหลายถึงความเป็นผู้ชำนาญในกรรมเป็นต้นโดยประการทั้งปวง เมื่อนั้นความเคลื่อนไหวและกระทำติดต่อในโพธิสมภารทั้งหลาย ย่อมสมบูรณ์โดยไม่มีขอบเขตตั้งแต่นั้น. ก็การทำโดยความเคารพย่อมเป็นกาลทั้งหมด. ความสำเร็จตามความประสงค์ ย่อมสมบูรณ์ในทางของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย. พึงทราบว่าท่านประกาศภาวนา ๔ อย่าง คือ สพฺพสมฺภารภาวนา ๑ จิรกาลภาวนา ๑ นิรนฺตรภาวนา ๑ สกฺกจฺจภาวนา ๑ ในโพธิสมภารทั้งหลาย ด้วยคาถานี้.
ในบทนั้นเพราะความประพฤติของพระโพธิสัตว์ โพธิสมภาร โพธิจริยา อัครยาน บารมี เป็นอันเดียวกันโดยอรรถ พยัญชนะเท่านั้นต่างกัน. อนึ่ง เพราะบทว่า จริตํ นี้ เป็นคำไม่วิเศษไปจากบารมี มีทานบารมี เป็นต้น ซึ่งจะกล่าวโดยวิภาคข้างหน้า ฉะนั้นในที่นี้ควรพรรณนาบารมีทั้งหลายเพื่อให้เกิดความเป็นผู้ฉลาดในโพธิสมภารทั้งหมด. เราจักพรรณนาในปกิณณกกถาข้างหน้าจนครบ.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงพระจริยาในภูมิของพระโพธิสัตว์ของพระองค์. โดยไม่วิเศษว่า เป็นเครื่องบ่มมหาโพธิญาณตั้งแต่เริ่มจนสุดท้าย บัดนี้ เพื่อทรงแสดงถึงความที่พระจริยานั้นเป็นเครื่องบ่มโพธิญาณโดยสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ด้วยการถึงความยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง เมื่อจะทรงประกาศบุรพจริยาเล็กๆ น้อยๆ ในภัทรกัปนี้โดยวิภาค จึงตรัสคำมีอาทิว่า อตีตกปฺเป ในกัปล่วงแล้วดังนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 38
ในบทเหล่านั้น บทว่า อตีตกปฺเป คือในมหากัปมีกำหนดตามที่กล่าวแล้วล่วงไปแล้วทั้งหมดก่อนหรือกว่าจากกัปนี้ อริบายว่า ในสี่อสงไขยแสนกัป. บทว่า จริตํ คือการปฏิบัติบารมีมีทานบารมีเป็นต้น ที่สะสมไว้แล้ว. บทว่า ปยิตฺวา คือเว้นไม่ถือเอา อธิบายว่า ไม่กล่าวถึง. บทว่า ภวาภเว คือในภพน้อยใหญ่. พึงทราบความในบทว่า อิติภวาภวกถํ ดังต่อไปนี้ ท่านกล่าวถึงความเจริญและความเสื่อมว่า ภวาภว. ในบทที่ว่าล่วงความเป็นผู้เจริญและเป็นผู้เสื่อม ท่านประสงค์เอาสมบัติวิบัติ ความเจริญ ความเสื่อม สสัสตทิฏฐิ อุจเฉททิฏฐิ บุญและบาป ว่า ภวาภว. อนึ่ง ในบทนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตัณหาเมื่อจะเกิดแก่ภิกษุย่อมเกิดขึ้นเพราะเหตุของประณีต ท่านประสงค์เอาเภสัชมีเนยใสและเนยข้นเป็นต้นอันประณีต ประณีตยิ่ง ว่า ภวาภว. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ในสมบัติภพ ภพน้อยภพใหญ่ประณีตยิ่ง ประณีตที่สุด ดังนี้บ้าง. เพราะฉะนั้น แม้ในที่นี้ ก็พึงทราบความนั้นนั่นแล ท่านอธิบายว่า ในภพน้อยและภพใหญ่. บทว่า อิมมฺหิ กปฺเป คือในภัทรกัปนี้. บทว่า ปวกฺขิสฺสํ คือเราจักบอก. บทว่า สุโณหิ ท่านจงฟัง คือทรงชักชวนพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรในการฟัง. บทว่า เม คือในสำนักของเรา. อธิบายว่า จากคำพูดของเรา.
จบ นิทานกถา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 39
อรรถกถาอกิตติวรรคที่ ๑
๑. การบำเพ็ญทานบารมี
อรรถกถาอกิตติจริยาที่ ๑
ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงยังอุตสาหะในการฟังบุรพจริยาของพระองค์ให้เกิดแก่ท่านพระสารีบุตรเถระ และแก่บริษัทกับทั้งเทวดาและมนุษย์แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงกระทำบุรพจริยานั้นซึ่งปกปิดไว้ในระหว่างภพให้ประจักษ์ ดุจมะขามป้อมในฝ่ามือ ฉะนั้นจึงตรัสพระดำรัสมีอาทิว่า :-
ในกาลใดเราเป็นดาบสชื่ออกิตติ เข้าไปอาศัยอยู่ในป่าใหญ่อันว่างเปล่า สงัดเงียบ ปราศจากเสียงอื้ออึง.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ยทา คือ ในกาลใด. บทว่า พฺรหารญฺเ คือ ในป่าใหญ่ อธิบายว่า ในป่าใหญ่ชื่อว่า อรัญญานี.
บทว่า สุญฺเ ว่างเปล่า คือ สงัดจากชน.
บทว่า วิปินกานเน คือ ป่าเล็กๆ อันสงัดเงียบ. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงความเงียบของป่านั้นด้วยสองบท. บททั้งหมดนั้นท่านกล่าวหมายถึงการทวีป.
บทว่า อชฺโฌคาเหตฺวา คือเข้าไปอาศัย.
บทว่า วิหรามิ คือเรากำจัดทุกข์ของร่างกายอยู่ ยังอัตภาพให้เป็นด้วย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 40
อิริยาบถวิหารอันวิเศษกว่าสุขที่เกิดจากอาเนญชวิหาร คือการอยู่ไม่หวั่นไหว ที่เป็นของทิพย์ เป็นของพรหม เป็นของอริยะ.
บทว่า อกิตฺติ นาม ตาปโส คือในกาลใดเราเป็นดาบสมีชื่ออย่างนี้อยู่ในป่านั้น. ในกาลนั้นพระศาสดาตรัสถึงความที่พระองค์เป็นดาบสชื่ออกิตติ แก่พระธรรมเสนาบดี. มีกถาเป็นลำดับดังต่อไปนี้ :-
ได้ยินว่า ในอดีตกาล ภัทรกัปนี้แล ครั้นเมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์อุบัติในตระกูลพราหมณ์มหาสาล มีสมบัติ ๘๐ โกฏิ มีชื่อว่า อกิตติ. เมื่ออกิตติเดินได้น้องสาวก็เกิด มีชื่อว่า ยสวดี. เมื่ออกิตติมีอายุได้ ๑๕ ปีก็ไปเรียนศิลปะทุกอย่างในเมืองตักกสิลา เรียนสำเร็จแล้วก็กลับ. ครั้งนั้นมารดาบิดาของอกิตติได้ถึงแก่กรรม. อกิตติทำฌาปนกิจมารดาบิดาแล้วล่วงไปสองสามวัน ให้ผู้จัดการมรดกตรวจตราทรัพย์สิน ครั้นสดับว่า ทรัพย์สินส่วนของมารดาประมาณเท่านี้ ส่วนของบิดาประมาณเท่านี้ ส่วนของปู่ตาประมาณนี้ จึงเกิดสังเวชว่า ทรัพย์นี้เท่านั้นยังปรากฏอยู่ แต่ผู้จัดหาทรัพย์มาไม่ปรากฏ ทั้งหมดละทรัพย์นี้ไป แต่เราจักเอาทรัพย์นี้ไป จึงกราบทูลพระราชาให้ตีกลองป่าวประกาศว่า ผู้มีความต้องการทรัพย์จงมายังเรือนของอกิตติบัณฑิต.
อกิตติบัณฑิตบริจาคมหาทานตลอด ๗ วัน เมื่อทรัพย์ยังไม่หมด จึงคิดว่า ประโยชน์อะไรด้วยธนกรีฑานี้แก่เรา ผู้มีความต้องการจักรับตามชอบใจ จึงเปิดประตูเรือนแล้วให้เปิดห้องเก็บสมบัติอันเต็มไปด้วยเงินและ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 41
ทองเป็นต้น ประกาศว่า ชนทั้งหลายจงนำเอาทรัพย์ที่เราให้แล้วไปเถิด แล้วละเรือนไป เมื่อวงศ์ญาติร่ำไห้อยู่ ได้พาน้องสาวออกจากกรุงพาราณสีข้ามแม่น้ำไป ๒ - ๓ โยชน์ ออกบวชสร้างบรรณศาลาอยู่ ณ ภูมิภาคน่ารื่นรมย์ ท่าที่อกิตติดาบสข้ามแม่น้ำไปชื่อ ท่าอกิตติ. พวกมนุษย์ชาวบ้าน ชาวนิคม และชาวเมืองหลวงได้ฟังว่า อกิตติบัณฑิตบวชแล้ว ต่างมีใจจดจ่อด้วยคุณธรรมของอกิตติดาบสจึงพากันบวชตาม. อกิตติดาบสได้มีบริวารมาก. ลาภและสักการะเป็นอันมากเกิดขึ้นดุจพุทธุปาทกาล. ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ดำริว่า ลาภและสักการะอันมากนี้แม้บริวารก็มาก แม้เพียงกายวิเวกก็ไม่ได้ในที่นี้ เราควรอยู่แต่ผู้เดียว เพราะเป็นผู้มีความมักน้อยอย่างยิ่ง และเพราะเป็นผู้น้อมไปในวิเวกจึงไม่ให้ใครๆ รู้ ออกไปผู้เดียว ถึงแคว้นทมิฬตามลำดับ อยู่ในสวนใกล้ท่ากาวีระ ยังฌานและอภิญญาให้เกิด. แม้ ณ ที่นั้นลาภและสักการะใหญ่ก็เกิดขึ้นแก่อกิตติดาบสนั้น. อกิตติดาบสรังเกียจลาภและสักการะใหญ่นั้น จึงทิ้งเหาะไปทางอากาศหยั่งลง ณ การทวีป, ในครั้งนั้น การทวีปมีชื่อว่า อหิทวีป. อกิตติดาบสอาศัยต้นหมากเม่าใหญ่ ณ ที่นั้น สร้างบรรณศาลาพักอาศัยอยู่. แต่เพราะความเป็นผู้มักน้อยจึงไม่ไปในที่ไหนๆ บริโภคผลไม้ในกาลที่ต้นไม้นั้นมีผล เมื่อยังไม่มีผลก็บริโภคใบไม้ชงน้ำ ยังกาลเวลาให้น้อมไปด้วยฌานและสมาบัติ.
ด้วยเดชแห่งศีลของอกิตติดาบสนั้น ปัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ของท้าวสักกะนั้นแสดงอาการเร่าร้อน. ท้าวสักกะรำพึงอยู่ว่า ใครหนอประสงค์ให้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 42
เราเคลื่อนจากที่นี้ ทอดพระเนตรเห็นอกิตติบัณฑิตทรงดำริว่า ดาบสนี้ประพฤติตบะที่ทำได้ยากอย่างนี้เพื่ออะไรหนอ หรือจะปรารถนาความเป็นท้าวสักกะ หรือว่าอย่างอื่น เราจักทดลองดาบสนั้นดู. จริงอยู่ดาบสนี้มีความประพฤติทางกายวาจาและใจบริสุทธิ์สะอาด ไม่อาลัยในชีวิต บริโภคใบหมากเม่าชงน้ำ หากปรารถนาความเป็นท้าวสักกะ จักให้ใบหมากเม่าชงน้ำของตนแก่เรา หากไม่ปรารถนาก็จักไม่ให้ จึงแปลงเพศเป็นพราหมณ์ไปหาอกิตติดาบสนั้น. แม้พระโพธิสัตว์ก็รินใบหมากเม่าออกคิดว่าจักบริโภคน้ำใบหมากเม่าเย็น นั่งอยู่ที่ประตูบรรณศาลา. ลำดับนั้นท้าวสักกะมีรูปเป็นพราหมณ์มีความต้องการภิกษา ได้ยืนข้างหน้าพระดาบส. พระมหาสัตว์เห็นพราหมณ์นั้นก็ดีใจด้วยคิดว่า เป็นลาภของเราแล้วหนอ เราได้ดีแล้วหนอ เราไม่ได้เห็นยาจกมานานแล้วหนอ คิดต่อไปว่า วันนี้เราจักยังความปรารถนาของเราให้ถึงที่สุดแล้วจักให้ทาน จึงถือเอาด้วยภาชนะที่มีอาหารสุกไป แล้วนึกถึงทานบารมี ใส่ลงในภิกษาภาชนะของพราหมณ์นั้นจนหมด. ท้าวสักกะรับภิกษานั้นไปได้หน่อยหนึ่งก็อันตรธานไป. แม้พระมหาสัตว์ ครั้นให้ภิกษาแก่พราหมณ์นั้นแล้วก็ไม่นึกที่จะแสวงหาอีก ยังกาลเวลาให้น้อมล่วงไปด้วยปีติสุขนั้นนั่นเอง.
ในวันที่สองท่านอกิตติดาบสนั่งอยู่ที่ประตูบรรณศาลา ก็ต้มใบหมากเม่าอีกคิดว่า เมื่อวานนี้เราได้ได้ทักขิไณยบุคคลแล้ว วันนี้เราจะได้อย่างไรหนอ. ท้าวสักกะก็เสด็จมาเหมือนเดิม. พระมหาสัตว์ได้ให้ภิกษายังกาลเวลาให้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 43
น้อมล่วงไปเหมือนอย่างนั้นอีก. ในวันที่สามก็ให้อย่างนั้นอีกแล้วคิดว่า น่าปลื้มใจหนอ เป็นลาภของเรา เราประสบบุญมากหนอ หากเราได้ทักขิไณยบุคคล เราจะให้ทานอย่างนี้ ตลอดเดือนหนึ่งบ้าง สองเดือนบ้าง. แม้ในสามวัน พระดาบสก็ตั้งจิตอธิษฐานว่า ด้วยทานนั้นเรามิได้ปรารถนาลาภสักการะและความสรรเสริญ ไม่ปรารถนาสมบัติจักรพรรดิ ไม่ปรารถนาสักกสมบัติ ไม่ปรารถนาพรหมสมบัติ ไม่ปรารถนาสาวกโพธิญาณ ไม่ปรารถนาปัจเจกโพธิญาณ ที่แท้ขอทานของเรานี้จงเป็นปัจจัยแห่งพระสัพพัญญุตญาณเถิด. ด้วยเหตุนั้นท่านอกิตติดาบสจึงกล่าวว่า :-
ในกาลนั้นด้วยเดชแห่งการประพฤติตบะของเรา ท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่ในไตรทิพย์ทรงร้อนพระทัย ทรงแปลงเพศเป็นพราหมณ์ เข้ามาหาเราเพื่อภิกษา.
เราได้เห็นพราหมณ์มายืนอยู่ใกล้ประตูบรรณศาลาของเรา จึงเอาใบหมากเม่าที่เรานำมาแต่ป่า อันไม่มีน้ำมันทั้งไม่เค็มให้หมด พร้อมกับภาชนะ.
ครั้นได้ให้ใบหมากเม่าแก่พราหมณ์นั้นแล้ว เราจึงคว่ำภาชนะ ละการแสวงหาใบ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 44
หมากเม่าใหม่ เข้าไปยังบรรณศาลา.
แม้ในวันที่สอง แม้ในวันที่สาม พราหมณ์ก็เข้ามายังสำนักเรา เราไม่หวั่นไหว ไม่อาลัยในชีวิต ได้ให้หมดสิ้นเช่นก่อนเหมือนกัน.
ในสรีระของเราไม่มีความหม่นหมอง เพราะการอดอาหารนั้นเป็นปัจจัย เรายังวันนั้นๆ ให้น้อมไปด้วยความยินดีด้วยปีติสุข.
ผิว่าเราพึงได้ทักขิไณยบุคคลผู้ประเสริฐ แม้เดือนหนึ่งสองเดือน เราก็ไม่หวั่นไหว ไม่ท้อแท้ พึงให้ทานอันอุดม เมื่อให้ทานแก่พราหมณ์นั้น เราจะได้ปรารถนายศและลาภก็หามิได้ เราปรารถนาพระสัพพัญญุตญาณ จึงได้ประพฤติกรรมเหล่านั้น ฉะนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ตทา คือในกาลที่เราเป็นดาบสชื่อว่าอกิตติ อยู่ในป่าใบหมากเม่านั้น (การทวีป).
บทว่า มํ คือของเรา.
บทว่า ตปเตเชน ด้วยเดชแห่งการบำเพ็ญตบะ คือด้วยอานุภาพแห่งศีลบารมี. จริงอยู่ ศีลท่านเรียกว่า ตบะ เพราะเผาความเศร้าหมองอันเกิดแต่ทุจริต. หรือเพราะอานุภาพแห่งเนกขัมมบารมีและวีริยบารมี. เพราะแม้บารมีเหล่านั้นท่านก็เรียกว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 45
ตบะ เพราะเผาความเศร้าหมองคือตัณหา และความเกียจคร้าน. อนึ่ง บารมีเหล่านั้นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญอย่างยอดเยี่ยมในอัตภาพนี้. อันที่จริง ควรจะกล่าวว่า ขนฺติปารมิตานุภาเวน ด้วยอานุภาพแห่งขันติบารมี เพราะขันติสังวรเข้าถึงความยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง. สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ขนฺตี ปรมํ ตโป ขันติเป็นตบะอย่างยิ่ง.
บทว่า สนฺตตฺโต ท้าวสักกะทรงร้อนพระทัย ความว่า ท้าวสักกะทรงร้อนพระทัยด้วยอาการแสดงความเร่าร้อนของปัณฑุกัมพลศิลาอาสน์อันศักดิ์สิทธิ์ ตามธรรมดาที่เกิดด้วยอานุภาพของคุณธรรมที่กล่าวแล้ว.
บทว่า ติทิวาภิภู ผู้เป็นใหญ่ในไตรทิพย์ คือผู้เป็นใหญ่ในเทวโลกได้แก่ท้าวสักกะ. ใบหมากเม่าแม้ถือเอาในที่ใกล้บรรณศาลา ท่านกล่าวว่า ปวนา อาภตํ นำมาจากป่า เพราะบรรณศาลาอยู่ท่ามกลางป่า.
บทว่า อเตลญฺจ อโลณิกํ ไม่มีน้ำมัน ทั้งไม่มีความเค็ม ท่านกล่าว เพื่อแสดงความรุ่งเรืองอย่างใหญ่หลวงแห่งทานบารมี ด้วยความสมบูรณ์แห่งอัธยาศัย แม้ไทยธรรมจะไม่ใหญ่โตนัก.
บทว่า มม ทฺวาเร คือใกล้ประตูบรรณศาลาของเรา. ด้วยบทนี้ว่า สกฏาเหน อากิรึ ให้หมดพร้อมทั้งภาชนะ ท่านอกิตติดาบสแสดงถึงความที่ตนให้ไม่มีอะไรๆ เหลือ.
บทว่า ปุเนสกํ ชหิตฺวาน ละการแสวงหาใบหมากเม่าใหม่คือท่านอกิตติดาบสคิดว่า การแสวงหาของบริโภควันหนึ่งสองครั้ง ไม่เป็นการขัดเกลากิเลส จึงไม่แสวงหาอาหารใหม่ในวันนั้น เป็นดุจว่าอิ่มด้วยความอิ่มในทาน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 46
บทว่า อกมฺปิโต ไม่หวั่นไหว คือ ไม่หวั่นไหวด้วยความตระหนี่ เพราะข่มเสียได้นานมาแล้ว ไม่กระทำแม้เพียงความหวั่นไหวโดยอัธยาศัยในการให้.
บทว่า อโนลคฺโค ไม่อาลัยในชีวิต คือ ไม่อาลัยแม้แต่น้อยด้วยความโลภ.
บทว่า ตติยมฺปิ ย่อมประมวลบทนี้ว่า ทุติยมฺปิ ด้วย ปิ ศัพท์.
บทว่า เอวเมวมทาสหํ เราได้ให้หมดสิ้นเช่นวันก่อน คือ แม้ในวันที่สอง แม้ในวันที่สาม เราก็ได้ให้อย่างนั้นเหมือนในวันแรก.
บทว่า น เม ตปฺปจฺจยตา เพราะการอดอาหารนั้นเป็นปัจจัย คือ ท่านอกิตติดาบสกระทำความที่กล่าวไว้ในคาถาให้ปรากฏ.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ตปฺปจฺจยตา ความว่า เพราะการอดอาหารใน ๓ วัน เพราะการให้เป็นปัจจัย จะพึงมีความหม่นหมองอันใดในสรีระ ความหม่นหมองอันนั้นในสรีระของเราย่อมไม่มี เพราะการให้เป็นปัจจัยเลย. เพราะเหตุไร เพราะเรายังกาลเวลาให้น้อมล่วงไปด้วยปีติสุขตลอด ๓ วัน. มิใช่เพียง ๓ วันเท่านั้น อันที่จริงเพื่อแสดงว่า เราพอใจที่จะให้อย่างนั้นได้ตลอดเวลาแม้เดือนหนึ่ง และสองเดือน ท่านอกิตติดาบสจึงกล่าวว่า ยทิ มาสมฺปิ.
บทว่า อโนลีโน คือไม่ท้อแท้ใจ อธิบายว่า มีใจไม่ท้อถอยในการให้.
บทว่า ตสฺส คือ ท้าวสักกะผู้มาในรูปของพราหมณ์.
บทว่า ยสํ คือ เกียรติ หรือ บริวารสมบัติ. บทว่า ลาภญฺจ คือ เราไม่ปรารถนาลาภที่ควรได้ด้วยความเป็นจักรพรรดิเป็นต้นในเทวโลกและมนุษยโลก ที่แท้เราปรารถนาคือหวังพระสัพพัญญุตญาณ จึงได้ประพฤติคือได้กระทำบุญกรรม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 47
อันสำเร็จด้วยทานอันเกิดขึ้นหลายครั้งใน ๓ วันเท่านั้น หรือบุญกรรมมีกายสุจริตเป็นต้น อันเป็นบริวารของทาน.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศเพียงบุญจริยาที่ทำได้ยากของพระองค์ในอัตภาพนี้แก่พระมหาเถระในวรรคนี้ ด้วยประการฉะนี้. แต่ในเทศนาชาดก ท่านประกาศถึงท้าวสักกะเข้าไปหาในวันที่สี่ แล้วทรงทราบอัธยาศัยของพระโพธิสัตว์ การประทานพร การแสดงธรรมของพระโพธิสัตว์ด้วยหัวข้อการรับพร และความหวังไทยธรรมและทักขิไณยบุคคล และการไม่มาของท้าวสักกะ. สมดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า :-
ท้าวสักกะผู้เป็นภูตบดี ทอดพระเนตรเห็นท่านอกิตติดาบสพักสำราญอยู่ จึงถามว่า ข้าแต่มหาพรหม พระคุณเจ้าปรารถนาอะไรจึงอยู่ผู้เดียวในฤดูร้อน.
ท่านท้าวสักกรินทรเทพ ความเกิดใหม่เป็นทุกข์ การแตกทำลายแห่งสรีระเป็นทุกข์ การตายด้วยความหลงเป็นทุกข์ เพราะฉะนั้น อาตมาจึงอยู่ผู้เดียว.
ข้าแต่ท่านกัสสปะ เมื่อพระคุณเจ้ากล่าวคำสุภาษิตอันสมควรนี้แล้ว พระคุณเจ้าปรารถนาอะไร ข้าพเจ้าจะให้พรนั้นแก่ท่าน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 48
ท่านท้าวสักกะผู้เป็นจอมเทพทั้งหลาย หากท่านจะให้พรแก่อาตมา ขอจงให้พรดังนี้ คนทั้งหลายได้บุตร ภรรยา ทรัพย์สมบัติ และของเป็นที่รักด้วยความโลภใดแล้วไม่เดือดร้อน ขอความโลภนั้นไม่พึงอยู่ในอาตมาเลย.
ข้าแต่ท่านกัสสปะ เมื่อพระคุณเจ้ากล่าวดีแล้ว ฯลฯ พระคุณเจ้าปรารถนาอะไรอีก.
ท่านท้าวสักกะผู้เป็นจอมเทพทั้งหลาย หากท่านจะให้พรแก่อาตมา ขอจงให้พรดังนี้ นา ไร่ ทอง โค ม้า ทาสและบุรุษ ย่อมเสื่อมไปด้วยโทษใด โทษนั้นไม่พึงอยู่ในอาตมาเลย.
ข้าแต่ท่านกัสสปะ ฯลฯ พระคุณเจ้าปรารถนาอะไรอีก.
ท่านท้าวสักกะหากท่านจะให้พรแก่อาตมา ขอจงให้พรดังนี้ บุคคลไม่พึงเห็น ไม่พึงได้ยินคนพาล ไม่พึงอยู่ร่วมด้วยคนพาล ไม่พึง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 49
กระทำ และไม่พึงชอบใจการสนทนาปราศรัยด้วยคนพาล.
ข้าแต่ท่านกัสสปะ เพราะอะไรท่านจึงไม่ชอบคนพาล ขอจงบอกเหตุ เพราะเหตุไร พระคุณเจ้าจึงไม่ปรารถนาที่จะเห็นคนพาล.
คนพาลย่อมแนะนำสิ่งไม่ควรแนะนำ ย่อมขวนขวายในกิจอันไม่ใช่ธุระ คนพาลแนะนำให้ดีได้ยาก พูดดีหวังจะให้เขาเป็นคนประเสริฐกลับโกรธ คนพาลนั้นไม่รู้วินัย การไม่เห็นคนพาลได้เป็นความดี.
ข้าแต่ท่านกัสสปะ พระคุณเจ้าปรารถนาอะไรอีก.
ท่านท้าวสักกะจอมเทพ หากท่านจะให้พรแก่อาตมา ขอจงให้พรดังนี้ บุคคลพึงเห็นนักปราชญ์ พึงฟังนักปราชญ์ พึงอยู่ร่วมกับนักปราชญ์ พึงกระทำและพึงชอบใจการสนทนาปราศรัยกับนักปราชญ์.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 50
ข้าแต่ท่านกัสสปะ เพราะเหตุไร พระคุณเจ้าจึงชอบใจนักปราชญ์ ขอจงบอกเหตุนั้น เพราะเหตุไรพระคุณเจ้าจึงปรารถนาจะเห็นนักปราชญ์.
นักปราชญ์แนะนำสิ่งที่ควรแนะนำ ไม่ขวนขวายในกิจที่มิใช่ธุระ นักปราชญ์แนะนำได้ง่าย พูดหวังจะให้ดีก็ไม่โกรธ นักปราชญ์ย่อมรู้จักวินัย การสมาคมกับนักปราชญ์เป็นความดี.
พระคุณเจ้าปรารถนาอะไรอีก.
ท่านท้าวสักกะผู้เป็นจอมเทพ หากท่านจะให้พรแก่อาตมา ขอจงให้พรดังนี้ เมื่อราตรีหมดไป ดวงอาทิตย์ขึ้นเป็นเจ้าโลก ของบริโภคอันเป็นทิพย์พึงปรากฏ ผู้ขอพึงเป็นผู้มีศีล.
เมื่ออาตมาให้ของบริโภคไม่หมดสิ้นไป ครั้นให้แล้วอาตมาไม่พึงเดือดร้อน เมื่อให้จิตพึงผ่องใส ท่านท้าวสักกะขอจงให้พรนี้เถิด.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 51
พระคุณเจ้าปรารถนาอะไรอีก.
ท่านท้าวสักกะผู้เป็นจอมเทพ หากท่านจะให้พรแก่อาตมา ขอจงให้พรดังนี้ ท่านไม่พึงกลับมาหาอาตมาอีก ท่านท้าวสักกะ ขอจงให้พรนี้เถิด.
เทพบุตรหรือเทพธิดาปรารถนาจะเห็นด้วยการประพฤติพรตเป็นอันมาก อะไรจะเป็นภัยในการเห็นของอาตมา.
ตบะพึงแตกไป เพราะเห็นสีสรรของพวกเทพเช่นนั้น ผู้ล้วนแล้วไปด้วยความสุข สมบูรณ์ในกามนี้เป็นภัยในการเห็นของพระคุณเจ้า.
ลำดับนั้นท้าวสักกะตรัสว่า ดีแล้วพระคุณเจ้า ตั้งแต่บัดนี้ไปข้าพเจ้าจักไม่มาหาพระคุณเจ้าอีกแล้ว ทรงกราบพระดาบสนั้นเสด็จกลับไป. พระมหาสัตว์อยู่ ณ การทวีปนั้นตลอดชีวิต เมื่อสิ้นอายุก็ไปบังเกิดในพรหมโลก.
ในครั้งนั้นพระอนุรุทธเถระเป็นท้าวสักกะ. พระโลกนาถเจ้าเป็นอกิตติบัณฑิต.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 52
อกิตติดาบสย่อมได้รับบารมี ๑๐ เหล่านี้ คือ ชื่อว่า เนกขัมมบารมี เพราะการออกไปของท่านอกิตติบัณฑิตนั้นเช่นกับมหาภิเนษกรมณ์. ชื่อว่า ศีลบารมี เพราะมีศีลาจารอันบริสุทธิ์ด้วยดี. ชื่อว่า วีริยบารมี เพราะข่มกามวิตกเป็นต้นด้วยดี. ชื่อว่า ขันติบารมี เพราะขันติสังวรถึงความยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง. ชื่อว่า สัจจบารมี เพราะปฏิบัติตามสมควรแก่ปฏิญญา ชื่อว่า อธิฏนบารมี เพราะตั้งใจสมาทานไม่หวั่นไหวในที่ทั้งปวง. ชื่อว่า เมตตาบารมี ด้วยอัธยาศัยเกื้อกูลในสรรพสัตว์ทั้งหลาย. ชื่อว่า อุเบกขาบารมี เพราะถึงความเป็นกลางในความผิดปกติที่สัตว์และสังขารกระทำแล้ว. ชื่อว่า ปัญญาบารมี ได้แก่ปัญญาอันเป็นอุบายโกศลซึ่งเป็นสหชาตปัญญา และปัญญาให้สำเร็จความประพฤติในการขัดเกลากิเลสอย่างยิ่ง เพราะรู้ธรรมเป็นอุปการะ และธรรมไม่เป็นอุปการะแก่บารมีเหล่านั้น ละธรรมอันไม่เป็นอุปการะเสีย มุ่งประพฤติอยู่ในธรรมอันเป็นอุปการะ.
เทศนาอันเป็นไปแล้วด้วยทานเป็นประธานอันเป็นความกว้างขวางยิ่งนักแห่งผู้มีอัธยาศัยในการให้. เพราะฉะนั้นธรรมเหล่าใดมีประเภทไม่น้อย เป็นร้อยเป็นพัน เป็นโพธิสมภาร เป็นคุณของพระโพธิสัตว์ มีอาทิอย่างนี้ คือ ธรรมเป็นปฏิญญา ๗ มีอาทิ คือ มหากรุณาอันให้สำเร็จในที่ทั้งปวง บุญสมภารและญาณสมภาร แม้ทั้งสอง สุจริตของพระโพธิสัตว์ ๓ มีกายสุจริตเป็นต้น อธิษฐาน ๔ มีสัจจาธิษฐานเป็นต้น พุทธภูมิ ๔ มีอุตสาหะ เป็นต้น ธรรมเป็นเครื่องบ่มมหาโพธิญาณ ๕ มีศรัทธาเป็นต้น อัธยาศัย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 53
ของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ๖ มีอัธยาศัยไม่โลภเป็นต้น เราข้ามได้แล้วจักข้ามต่อไป มหาปุริสวิตก ๘ มีอาทิว่า ธรรมนี้ของผู้มีความมักน้อย ธรรมนี้มิใช่ของผู้มีความมักใหญ่ ธรรมมีโยนิโสมนสิการเป็นมูล ๙ อัธยาศัยของมหาบุรุษ ๑๐ มีอัธยาศัยในการให้เป็นต้น บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ มีทานและศีลเป็นต้น. ธรรมเหล่านั้นแม้ทั้งหมดควรกล่าวเจาะจงไปในที่นี้ตามสมควร.
อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบคุณานุภาพของพระมหาสัตว์ มีอาทิอย่างนี้ คือ การละกองสมบัติใหญ่ และวงศ์ญาติใหญ่ แล้วออกจากเรือนเช่นกับมหาภิเนษกรมณ์ ครั้นออกไปแล้ว เมื่อบวชซึ่งชนเป็นอันมากรับรู้แล้ว ก็ไม่เกี่ยวข้องในตระกูล ในคณะ เพราะเป็นผู้มักน้อยอย่างยิ่ง รังเกียจลาภสักการะและความสรรเสริญสิ้นเชิง ยินดีในความสงัด วางเฉยในร่างกายและชีวิต เสียสละอดอาหาร ยินดีด้วยความอิ่มในทาน แม้ ๓ วัน ร่างกายยังเป็นไปได้ไม่ผิดปกติ เมื่อมีผู้ขอก็ให้อาหารอยู่อย่างนั้น เดือนหนึ่งสองเดือน ประพฤติไม่ท้อถอยในการบริจาค มีอัธยาศัยในการให้อย่างกว้างขวาง ด้วยคิดว่า เราจักยังร่างกายให้เป็นไปอยู่ได้ด้วยปีติสุขอันเกิดจากการให้เท่านั้น ครั้นให้ทานแล้วก็ประพฤติขัดเกลากิเลสยิ่งขึ้น ไม่เป็นเหตุให้ทำการแสวงหาอาหารใหม่. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า :-
น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมาแล้ว พระมหาสัตว์ทั้งหลายเป็นผู้แสวงหาคุณธรรมใหญ่หลวง มีมหากรุณา เป็นนักปราชญ์ เป็นเผ่าพันธุ์เอกของสรรพโลก.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 54
พระมหาสัตว์ผู้เป็นพระโพธิสัตว์ มีอานุภาพเป็นอจินไตย มีพระสัทธรรมเป็นโคจรในกาลทุกเมื่อ มีความประพฤติขัดเกลากิเลสอย่างหมดจด.
พายุใหญ่ มหาสมุทรมีคลื่นซัดเป็นวงกลม พระโพธิสัตว์กระโดดข้ามแดนนั้นไปได้ ไม่ใช่เรื่องธรรมดา.
พระมหาสัตว์เหล่านั้น แม้เป็นผู้เจริญโดยสัญชาตในโลก เป็นผู้อบรมดีแล้ว ก็ไม่ติดด้วยโลภธรรมทั้งหลาย เหมือนประทุมไม่ติดด้วยน้ำฉันนั้น.
ความเสน่หาเพราะกรุณาในสัตว์ทั้งหลาย ย่อมเจริญโดยประการที่ละความเสน่หาในตนออกไปของพระมหาสัตว์ทั้งหลาย.
กรรมย่อมอยู่ในอำนาจ ทั้งไม่เป็นตามอำนาจของกรรม เหมือนจิตย่อมอยู่ในอำนาจ ทั้งไม่เป็นไปตามอำนาจของจิต ฉะนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 55
พระมหาสัตว์เหล่านั้น เที่ยวแสวงหาโพธิญาณอันโทสะไม่ครอบงำ หรือไม่เกิดขึ้น ดังบุรุษทั้งหลายรู้ถึงความเสื่อม.
แม้จิตเลื่อมใสในท่านเหล่านั้น ก็พึงพ้นจากทุกข์ได้ จะพูดไปทำไมถึงการทำตามท่านเหล่านั้นโดยธรรมสมควรแก่ธรรมเล่า.
จบ อรรถกถาอกิตติจริยาที่ ๑