ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
" ไตร่ตรองทุกคำ "
ถอดจากคำสนทนาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี
วันเสาร์ที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๔
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้เห็น ตรัสรู้ได้ยิน ตรัสรู้สิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้หรือเปล่า? เพราะฉะนั้น ต้องไม่ลืม ทุกครั้ง ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ซึ่งใครไม่สามารถที่จะรู้ความจริงนี้ได้ ถ้าไม่ฟังคำของพระองค์ ต้องไม่ลืมทุกคำ ไตร่ตรองทุกคำ เข้าใจลึกซึ้งทุกคำ
~ เรากำลังพูดถึงสิ่งที่มีจริง เพื่อถึงความเป็นอริยสัจจธรรม ไม่มีอาช่า ไม่มีอาคิล ไม่มีคุณสุคิน ไม่มีสุจินต์ ไม่มีอะไรเลย นอกจากสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ต้องไม่ลืมว่า ฟังเพื่อเข้าใจความจริง ถึงที่สุดซึ่งเป็นสัจจะ (ความจริง)
~ ก่อนเห็น ไม่มีเห็น พอมีเห็นแล้วเห็นก็ดับไป ไม่มีอาช่า ไม่มีอาคิล ไม่มีคุณสุคิน
~ เดี๋ยวนี้ มีพระจันทร์ไหม? เดี๋ยวนี้ มีนกไหม? ไม่มี เพราะฉะนั้น ให้ทราบว่า ทุกครั้งที่ฟัง เพื่อเข้าถึงความไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งสิ้น นอกจากสิ่งที่เกิดแล้วก็ดับ
~ สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ต้องเกิด ถ้าไม่เกิด ก็ไม่มี
~ เดี๋ยวนี้ทุกอย่างปรากฏทางตา หลากหลายมาก กว่าจะรู้ความจริง ตามที่ได้เข้าใจ เพียงหนึ่งเดียวที่ปรากฏ เกิดแล้วดับ ถ้าไม่ได้ฟังคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ค่อยๆ เข้าใจความจริง จะไม่มีทางรู้อริยสัจจะนี้เลย ไม่มีใครสามารถที่จะทำอะไรให้เป็นอย่างนี้ได้เลย นอกจากปัญญาที่เริ่มเข้าใจถูกเห็นถูก ว่า ความจริงเป็นอย่างนี้แน่นอน รู้ว่าความจริงเป็นอย่างนี้ แต่อีกไกลเท่าไหร่ กว่าความจริงนี้จะปรากฏเป็นจริงอย่างนี้ได้ มีหนทางเดียว คือ ฟังคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงตรัสรู้แล้วทรงแสดงหนทางนี้ หนทางนี้มีจริงๆ เป็นอริยสัจจธรรมที่ ๔ หนทางที่เป็นอริยสัจจะ คือ ความเข้าใจถูกต้อง สัจจะ เป็นความจริง อริยะ เป็นความจริงที่ทำให้คนนั้นพ้นจากความเห็นผิดและความไม่รู้ได้
~ หนทาง ซึ่งเป็นหนทางเดียวเท่านั้น คือ หนทางที่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ค่อยๆ เข้าใจขึ้น มั่นคง จนขณะที่กำลังฟังขณะเดี๋ยวนี้ ก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใคร แต่เป็นธาตุรู้ เกิดขึ้นได้ยิน
~ ธาตุรู้ เกิดขึ้นรู้ เมื่อมีปัจจัยทำให้ธาตุนี้เกิดขึ้น ธาตุรู้มีมากมาย เกิดขึ้น เพียงรู้แล้วดับ ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้น ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งกล่าวถึงความจริง ฟังอีกๆ เพื่อความเข้าใจค่อยๆ มั่นคง ทีละน้อย ว่า ไม่มีเรา เป็นธรรมแต่ละหนึ่งๆ
~ ธาตุรู้เกิดขึ้นเห็น ไม่มีเรา ไม่มีสิ่งใดๆ เลยทั้งสิ้น เพราะเป็นธาตุที่เกิดขึ้นกำลังเห็นเท่านั้นแล้วดับ ค่อยๆ เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีทุกขณะ โดยที่ไม่เคยได้ฟัง ไม่เคยคิดมาก่อนว่าเป็นความจริงอย่างไร
~ สิ่งที่มีจริง มีจริงในขณะหนึ่งๆ ตลอด ตั้งแต่เกิดจนตาย เพราะฉะนั้น ต้องไม่ลืม ว่า ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีจริง ที่ไหน เมื่อไหร่ ได้หมด
~ กำลังเห็น ฟังว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเรื่องนี้อย่างไร กำลังคิด ฟังว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเรื่องนี้ไว้ว่าอย่างไร เพราะไม่สามารถจะรู้ด้วยตัวเองได้
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีจริงๆ เกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่ใช่ของใครและไม่ใช่ใคร ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยทั้งสิ้น เพราะดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้น ต้องไม่ลืมเลย ว่า ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีจริงเดี๋ยวนี้
~ เมื่อสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุดในชีวิต คือ สามารถเข้าใจความจริงของสิ่งที่มี ก็ยินดีที่จะให้คนอื่นได้มีความเข้าใจถูกต้องอย่างนี้ด้วย ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อให้คนที่มีโอกาสได้ฟังได้เข้าใจความจริงนี้ นี่เป็นความเป็นมิตรที่ดี ที่ฟังธรรมมีความเข้าใจแล้ว ก็หวังที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย ตามที่พระองค์ทรงเป็นมิตรที่ประเสริฐที่สุดไม่มีใครเปรียบได้เลย
~ สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ อยู่ในความมืดสนิทมานาน ไม่สามารถที่จะเข้าใจความจริงได้ จนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ต้องไม่ลืมว่า ฟังธรรม เพื่อเข้าใจความจริง ค่อยๆ ฟังจนกว่าจะรู้ความจริงทีละน้อย
~ เวลาพูดถึงจิต ต้องรู้ทุกประเภทของจิต ทั้งจิตที่เป็นวิถีจิต (จิตที่เกิดขึ้นโดยอาศัยทวารหนึ่งทวารใด ในการรู้อารมณ์) และ จิตที่ไม่ใช่วิถีจิต [วิถีมุตตจิต] (จิตที่เกิดขึ้นโดยไม่อาศัยทวารใดๆ เลย)
~ วิถีมุตตจิต ไม่ต้องอาศัยทวารเลย เป็นอาคิล เป็นอาช่า เป็นมธุ หรือเปล่า? ไม่ใช่
~ กำลังเห็น เป็นอาช่า อาคิล มธุหรือเปล่า? ไม่ใช่ นี่คือ การต้องฟังเพื่อเข้าใจว่าไม่มีเรา จนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น
~ กำลังคิด เป็นวิถีจิต หรือ ไม่ใช่วิถีจิต? เป็นวิถีจิต
~ จิตที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่รู้อารมณ์ มีไหม? ไม่มี
~ กรรมหนึ่งที่พร้อมที่จะให้เกิดเป็นคนนี้ ทำให้จิตที่ก่อนจะตายรู้อารมณ์หนึ่ง เพราะกรรมนั้น เพราะฉะนั้น จุติจิตดับแล้ว จิตที่เกิดสืบต่อจากจุติจิต เป็นปฏิสนธิจิต เป็นเพราะกรรมเดียวกันทำให้เกิดขึ้น จึงมีอารมณ์เดียวกัน
~ ภวังคจิต มีอารมณ์เดียวกันกับปฏิสนธิจิต เพราะเกิดจากกรรมเดียวกันกับปฏิสนธิจิต กรรมไม่ได้ให้ผลขณะเดียวเป็นปฏิสนธิจิต แต่ยังให้ผลต่อไปจนกว่าจะสิ้นสุดกรรมเป็นคนนี้ต่อไปไม่ได้ จึงเป็นปัจจัยให้จุติจิตเกิดขึ้นทำให้สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้
~ ปฏิสนธิจิต ภวังคจิต และจุติจิต ไม่ใช่วิถีจิต
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงชาติ คือ การเกิดของจิต ให้รู้ว่า จิตใด เป็นกุศลและอกุศล จิตใด เป็นผลของกุศลและอกุศล จึงเป็นวิบากที่เป็นกุศลวิบาก อกุศลวิบาก และ จิตที่ไม่ใช่กุศลไม่ใช่อกุศล เกิดขึ้นโดยปัจจัยเพื่อทำกิจนั้นๆ เป็นกิริยาจิต
~ วิบากจิต เกิดขึ้น เป็นวิถีจิตได้ไหม? เห็นไหมว่า เราต้องละเอียด และเราไม่สามารถที่จะรู้ได้ ถ้าไม่ศึกษาคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ กรรมทำให้เกิดตา หู จมูก ลิ้น กาย เพื่อที่จะรับผลของกรรมด้วย มีตาเพื่อให้จิตเห็นเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี เป็นผลของกุศลกรรมและอกุศลกรรม กรรมทำให้เกิดหู สำหรับได้ยินเสียงที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจ เป็นกุศลวิบากหรืออกุศลวิบาก เพราะคำว่า ผล เราใช้คำว่าวิบาก สำหรับจิต เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต)
~ เวลาได้กลิ่นหอมๆ เป็นผลของกรรมที่เป็นกรรมดี เพราะฉะนั้น จิตที่ได้กลิ่นหอม เป็นกุศลวิบาก
~ ใครเลือกให้ได้ยินสิ่งที่ดี ได้กลิ่นดี ลิ้มรสดี ได้ไหม? ไม่ได้, นี่คือแสดงว่า ไม่มีเรา แต่มีเหตุกับผล
~ กำลังลิ้มรสต่างๆ ขณะรับประทานอาหาร เป็นวิถีจิตหรือไม่ใช่วิถีจิต? เป็นวิถีจิต
~ เกิดมาเป็นผลของกรรมที่ทำให้มีชีวิตยืนนานหรือไม่ยืนนาน และในขณะที่ยังไม่สิ้นชีวิต ก็มีการที่จะได้รับผลของกรรม เป็นวิถีจิตทางตา หู จมูก ลิ้น กายด้วย
~ ใครทำให้คุณอาคิลกับคุณอาช่าป่วยไข้? เป็นเพราะกรรมของแต่ละคน ใช่ไหม? เป็นผลของกรรมที่กระทำไว้
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้นำทุกข์ไปให้ใครเลย เพราะว่า คำสอนทั้งหมด ทำให้เข้าใจความจริง ไม่ทำให้คนอื่นเป็นทุกข์เดือดร้อน
~ กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ เป็นวิถีจิตหรือเปล่า? เป็นวิถีจิต เพราะฉะนั้น วิบาก ผลของกรรม ที่ไม่ใช่วิถีจิต ก็มี ที่เป็นวิถีจิต ก็มี ใช่ไหม? เพราะฉะนั้น กำลังเข้าใจเรื่องธรรม เห็น เป็นวิถีจิต ไม่ใช่เรา หลับสนิท ไม่ใช่วิถีจิต ไม่ใช่เรา ทั้งหมด เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย
~ ทุกคน จะตายเดี๋ยวนี้ ได้ไหม? ตายแล้ว ไม่เกิดได้ไหม? เลือกกรรมที่จะทำให้เกิด ก็ไม่ได้ เพราะกรรมเยอะมากในแสนโกฏิกัปป์ แล้วแต่กรรมใดจะทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดต่อจากจุติจิตของชาตินี้
~ ปฏิสนธิจิต รวบรวมกรรมอื่นๆ ที่สามารถจะให้ผลในชาตินั้นด้วย ไม่ใช่ว่ามีแต่กรรมเดียวที่ทำให้ปฏิสนธิจิตเกิด ยังมีกรรมอื่นๆ ที่พร้อมจะให้ผลเมื่อถึงเวลา
~ กรรมเป็นสิ่งที่ปกปิด ไม่มีใครรู้ว่ากรรมที่ทำเดี๋ยวนี้ ชาตินี้ จะให้ผลเมื่อไหร่ และเวลาที่ผลของกรรมเกิดขึ้น ก็ไม่รู้ว่าผลของกรรมนั้น มาจากกรรมชาติไหน ทำอะไร
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องของจิตที่เป็นกุศล อกุศล ที่เป็นเหตุ และผลคือกุศลวิบากจิตหรืออกุศลวิบากจิต ซึ่งเป็นผล เพื่อให้รู้ว่า ทั้งหมด ไม่ใช่เรา เป็นธรรม
~ วันหนึ่งๆ พอจะรู้ได้ไหมว่า จิตประเภทไหน เกิดมาก? อกุศลจิต เกิดมาก
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของคุณสุคิน ผู้แปลการสนทนา
จากภาษาไทยเป็นภาษาฮินดี
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
ขออนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนาครับ ท
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
เป็นหัวข้อที่ควรศึกษาอย่างละเอียด กราบอนุโมทนาอาจารย์คำปั่นค่ะ
กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่ง
กราบขอบคุณและอนุโมทนาอาจารย์คำปั่นที่บันทึกธัมมะที่ท่านอาจารย์แสดงที่มีค่ายิ่งนี้
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ