[เล่มที่ 57] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 1
๑. ทัฬหวรรค
๑. ราโชวาทชาดก
ว่าด้วยวิธีชนะ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 57]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 1
พระสุตตันตปิฎก
ขุททกนิกาย ชาดก
เล่มที่ ๓ ภาคที่ ๓
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ทุกนิบาตชาดก
๑. ทัฬหวรรค
๑. ราโชวาทชาดก
ว่าด้วยวิธีชนะ
[๑๕๑] พระเจ้าพัลลิกราชทรงชนะความกระด้างต่อผู้ที่กระด้าง ทรงชนะคนอ่อนด้วยความอ่อน ทรงชนะคนดีด้วยความดี ทรงชนะคนไม่ดีด้วยความไม่ดี พระราชาพระองค์นี้เป็นเช่นนี้ ดูก่อนนายสารถี ท่านจงหลีกทางถวายพระราชาของเราเถิด.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้าที่ 2
[๑๕๒] พระเจ้าพาราณสีทรงชนะคนโกรธด้วยความไม่โกรธ ทรงชนะคนไม่ดีด้วยความดี ทรงชนะคนตระหนี่ด้วยการให้ ทรงชนะคนพูดเหลาะแหละด้วยคำสัตย์ พระราชาพระองค์นี้เป็นเช่นนี้ ดูก่อนนายสารถี ท่านจงหลีกทางถวายพระราชา ของเราเถิด.
จบ ราโชวาทชาดกที่ ๑
อรรถกถาชาดก
ทุกนิบาต
อรรถกถาทัฬหวรรค
อรรถกถาราโชวาทชาดกที่ ๑
พระศาสดาเมื่อทรงประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันทรง ปรารภโอวาทของพระราชา ตรัสพระธรรมเทศนานี้มีคำเริ่มต้นว่า ทฬฺหํ ทฬฺหสฺส ขิปติ ดังนี้.
โอวาทของพระราชานั้นจักมีแจ้งในเตสกุณชาดก. ในวันหนึ่งพระเจ้าโกศลทรงวินิจฉัยคดีเรื่องหนึ่ง ซึ่งวินิจฉัยไว้ไม่ดีมีอคติ เสร็จแล้วเสวยพระกระยาหารเช้า ทั้งๆ ที่มีพระหัตถ์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 3
เปียก เสด็จขึ้นทรงราชรถที่จัดไว้เรียบร้อยแล้ว เสด็จไปเฝ้าพระศาสดา ทรงหมอบลงแทบพระบาทอันมีสิริดุจดอกปทุมบาน ถวายบังคมพระศาสดา ประทับนั่ง ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง. ลำดับนั้น พระศาสดาได้ตรัสปฏิสันถารกะพระเจ้าโกศลว่า ขอต้อนรับมหาบพิตร พระองค์เสด็จมาจากไหนแต่ยังวัน. พระเจ้าโกศลกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วันนี้ข้าพระองค์วินิจฉัย คดีเรื่องหนึ่งซึ่งวินิจฉัยไว้ไม่ดี จึงไม่มีโอกาส บัดนี้พิจารณาคดีนั้นเสร็จแล้ว จึงบริโภคอาหารทั้งๆ ที่มือยังเปียก มาเฝ้าพระองค์นี่แหละพระเจ้าข้า. พระศาสดาตรัสว่า ขอถวายพระพรชื่อว่าการวินิจฉัยคดีโดยทํานองคลองธรรมเป็นความดี เป็นทางสวรรค์แท้. ก็ข้อที่มหาบพิตรได้โอวาทจากสำนักของผู้เป็นสัพพัญญูเช่นตถาคต ทรงวินิจฉัยคดีโดยทํานองคลองธรรมนี้ไม่อัศจรรย์เลย การที่พระราชาทั้งหลายในกาลก่อน ทรงสดับโอวาทของเหล่าบัณฑิต ทั้งที่ไม่ใช่สัพพัญญู แล้วทรงวินิจฉัยคดีโดยทํานองคลองธรรม เว้นอคติสี่อย่าง บำเพ็ญทศพิธราชธรรม ไม่ให้เสื่อมเสีย เสวยราชสมบัติโดยธรรม บำเพ็ญทางสวรรค์ เสด็จไปแล้วนี่แหละน่าอัศจรรย์. พระเจ้าโกศลกราบทูลอาราธนา พระองค์จึงทรงนำเรื่องในอดีตมาเล่าถวาย.
ในอดีตครั้งเมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระอัครมเหสีของพระราชานั้น ได้รับการบริหารพระครรภ์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 4
เป็นอย่างดี ทรงประสูติจากพระครรภ์ของพระมารดา โดยสวัสดิภาพ. ในวันขนานพระนาม พระชนกชนนีได้ทรงตั้งพระนามของพระโพธิสัตว์ว่า พรหมทัตกุมาร.
พรหมทัตกุมารนั้น ได้เจริญวัยขึ้นโดยลำดับ เมื่อพระชนม์ได้ ๑๖ พรรษา เสด็จไปเมืองตักกศิลา ทรงสำเร็จศิลปศาตร์ทุกแขนง เมื่อพระชนกสวรรคตทรงดำรงอยู่ในราชสมบัติ ครอบครองราชสมบัติโดยทํานองคลองธรรม ทรงวินิจฉัยคดีไม่ล่วงอคติ มีฉันทาคติเป็นต้น. เมื่อพระองค์เสวยราชสมบัติโดยธรรมอย่างนี้ แม้พวกอำมาตย์ต่างก็วินิจฉัยคดีโดยธรรมเหมือนกัน. เมื่อคดีทั้งหลายได้รับการวินิจฉัยโดยธรรม จึงไม่มีคดีโกงเกิดขึ้น เพราะไม่มีคดีโกงเหล่านั้น การร้องทุกข์ ณ พระลานหลวง เพื่อให้เกิดคดีก็หมดไป. พวกอำมาตย์นั่งบนบัลลังก์วินิจฉัยตลอดวันไม่เห็นใครๆ มาเพื่อให้วินิจฉัยคดี ต่างก็ลุกกลับไป. สถานที่วินิจฉัยคดีก็ถูกทอดทิ้ง.
พระโพธิสัตว์ทรงดำริว่า เมื่อเราครองราชสมบัติโดยธรรม ไม่มีผู้คนมาให้วินิจฉัยคดี ไม่มีผู้มาร้องทุกข์ สถานที่วินิจฉัยคดี ก็ถูกทอดทิ้ง. บัดนี้เราควรตรวจสอบโทษของตน ครั้นเรารู้ว่า นี่เป็นโทษของเรา จักละโทษนั้นเสียประพฤติในสิ่งที่เป็นคุณเท่านั้น. จำเดิมแต่นั้นมา พระโพธิสัตว์ก็ทรงสำรวจดูว่า จะมีใครๆ พูดถึงโทษของเราบ้างหนอ ครั้นไม่ทรงเห็นใครๆ กล่าวถึงโทษ ในระหว่างข้าราชบริพารภายใน ทรงสดับแต่คำสรรเสริญ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 5
คุณของพระองค์ถ่ายเดียว ทรงดำริว่า ชะรอยชนเหล่านี้ เพราะกลัวเราจึงไม่กล่าวถึงโทษ กล่าวแต่คุณเท่านั้น จึงทรงสอบข้าราชบริพารภายนอก แม้ในหมู่ข้าราชบริพารเหล่านั้น ก็ไม่ทรงเห็น จึงทรงสอบชาวเมืองภายในพระนคร ทรงสอบชาวบ้านที่ทวารทั้งสี่นอกพระนคร แม้ในที่นั้นก็มิได้ทรงเห็นใครๆ กล่าวถึงโทษ ทรงสดับแต่คำสรรเสริญของพระองค์ถ่ายเดียว จึงทรงดำริว่า เราจักตรวจสอบชาวชนบทดู ทรงมอบราชสมบัติให้เหล่าอำมาตย์ เสด็จขึ้นรถไปกับสารถีเท่านั้น ทรงปลอมพระองค์ไม่ให้ใครรู้จัก เสด็จออกจากพระนคร พยายามสอบสวนชาวชนบท จนเสด็จถึงภูมิประเทศชายแดน ก็มิได้ทรงเห็นใครๆ กล่าวถึงโทษ ทรงสดับแต่คำสรรเสริญพระคุณ จึงทรงบ่ายพระพักตร์สู่พระนคร เสด็จกลับตามทางหลวงจากเขตชายแดน.
ในเวลานั้น แม้พระเจ้าโกศลพระนามว่า พัลลิกะ ก็ทรงครอบครองราชสมบัติโดยธรรม ทรงตรวจสอบหาโทษในบรรดาข้าราชบริพารภายในเป็นต้น มิได้ทรงเห็นใครๆ กล่าวถึงโทษเลย ทรงสดับแต่คำสรรเสริญพระคุณของพระองค์เหมือนกัน จึงทรงตรวจสอบชาวชนบท ได้เสด็จถึงประเทศนั้น.
กษัตริย์ทั้งสอง ได้ปะจันหน้ากันที่ทางเกวียนอันราบลุ่มแห่งหนึ่ง ไม่มีทางที่รถจะหลีกกันได้. สารถีของพระเจ้าพัลลิกะจึงพูดกะสารถีของพระเจ้าพาราณสีว่า "จงหลีกรถของท่าน" สารถีของพระเจ้าพาราณสีก็ตอบว่า "พ่อมหาจำเริญ ขอให้ท่าน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 6
หลีกรถของท่านเถิด บนรถนี้มีพระเจ้าพรหมทัตมหาราช ผู้ครอบครองราชสมบัติในกรุงพาราณสีประทับนั่งอยู่" สารถีอีกฝ่ายหนึ่งก็พูดว่า "พ่อมหาจำเริญ บนรถนี้พระเจ้าพัลลิกะมหาราชผู้ครอบครองราชสมบัติแคว้นโกศลก็ประทับนั่งอยู่ ขอท่านได้โปรดหลีกรถของท่าน แล้วให้โอกาสแก่รถของพระราชาของเราเถิด"
สารถีของพระเจ้าพาราณสีดำริว่า "แม้ผู้ที่นั่งอยู่ในรถนี้ ก็เป็นพระราชาเหมือนกัน เราจะควรทำอย่างไรดีหนอ" นึกขึ้นได้ว่า มีอุบายอย่างหนึ่ง เราจักถามถึงวัย ให้รถของพระราชาหนุ่ม หลีกไป แล้วให้พระราชทานโอกาสแก่พระราชาแก่ ครั้นตกลงใจแล้ว จึงถามถึงวัยของพระเจ้าโกศลกะสารถี แล้วกำหนดไว้ ครั้นทราบว่าพระราชาทั้งสองมีวัยเท่ากัน จึงถามถึงปริมาณราชสมบัติ กำลัง ทรัพย์ ยศ ชาติ โคตร ตระกูล ประเทศ ครั้นทราบว่า ทั้งสองฝ่ายเป็นผู้ครอบครองรัชสีมาประมาณ ฝ่ายละสามร้อยโยชน์ มีกำลัง ทรัพย์ ยศ ชาติ โคตร ตระกูล และประเทศเท่ากัน แล้วคิดต่อไปว่า เราจักให้โอกาสแก่ผู้มีศีลจึงถามว่า "พ่อมหาจำเริญ ศีลและมารยาทแห่งพระราชาของท่านเป็นอย่างไร" เมื่อเขาประกาศสิ่งที่เป็นโทษแห่งพระราชาของตน โดยนึกว่าเป็นคุณ จึงกล่าวคาถาแรกว่า :-
พระเจ้าพัลลิกราชทรงชนะคนกระด้างด้วยความกระด้าง ทรงชนะคนอ่อนโดยด้วยความ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 7
อ่อนโยน ทรงชนะคนดีด้วยความดี ทรงชนะคนไม่ดีด้วยความไม่ดี พระราชาพระองค์นี้เป็นเช่นนั้น ดูก่อนสารถีท่านจงหลีกทางถวายพระราชาของเราเถิด.
ในบทเหล่านั้นบทว่า ทฬฺหํ ทฬฺหสฺส ขิปติ ความว่า สารถีของพระเจ้าพัลลิกะชี้แจงว่า ผู้ใดเป็นคนกระด้าง มีกำลัง ควรชนะด้วยการประหารหรือด้วยวาจาอันกระด้าง ก็ใช้การประหาร หรือวาจาอันกระด้างต่อผู้นั้น พระเจ้าพัลลิกะทรงใช้ความกระด้างชนะผู้นั้นอย่างนี้. บทว่า พลฺลิโก เป็นชื่อของพระราชาพระองค์นั้น. บทว่า มุทุนา มุทุํ ความว่า พระเจ้าพัลลิกะทรงใช้ความอ่อนโยนชนะบุคคลอ่อนโยน ด้วยอุบายอันอ่อนโยน. บทว่า สาธุมฺปิ สาธุนา เชติ อสาธุมฺปิ อสาธุนา ความว่า สารถีของพระเจ้าพัลลิกะชี้แจงต่อไปว่า ชนเหล่าใดเป็นคนดี คือ เป็นสัตบุรุษ พระองค์ทรงใช้ความดีชนะชนเหล่านั้น ด้วยอุบายอันดี. ส่วนชนเหล่าใดเป็นคนไม่ดี พระองค์ก็ทรงใช้ความไม่ดีชนะชนเหล่านั้น ด้วยอุบายที่ไม่ดีเหมือนกัน.
บทว่า เอตาทิโส อยํ ราชา ความว่า พระเจ้าโกศลของพวกเรา ทรงประกอบด้วยศีล และมารยาทเห็นปานนี้. บทว่า มคฺคา อุยฺยาหิ สารถิ ความว่า สารถีของพระเจ้าพัลลิกะพูดว่า ขอท่านจงหลีกรถของตนจากทางไปเสีย คือจงไปนอกทาง ให้ทางแก่พระราชาของพวกเรา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 8
ลำดับนั้นสารถีของพระเจ้าพาราณสี กล่าวกะสารถีของพระเจ้าพัลลิกะว่า ท่านกล่าวถึงพระคุณของพระราชาของท่านหรือ เมื่อเขาตอบว่า ใช่แล้ว สารถีของพระเจ้าพาราณสีจึงกล่าวต่อไปว่า ผิว่าเหล่านี้เป็นพระคุณ สิ่งที่เป็นโทษจะมีเพียงไหน สารถีของพระเจ้าพัลลิกะกล่าวว่า เหล่านี้เป็นโทษก็ตามเถิด แต่พระราชาของท่านมีพระคุณเช่นไรเล่า สารถีของพระเจ้าพาราณสีกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นท่านจงฟัง แล้วกล่าวคาถาที่สองว่า :-
พระเจ้าพาราณสีทรงชนะคนโกรธด้วยความไม่โกรธ ทรงชนะคนไม่ดีด้วยความดี ทรงชนะคนตระหนี่ด้วยการให้ ทรงชนะคนพูดเหลาะแหละด้วยคำสัตย์ พระราชาพระองค์นี้เป็นเช่นนั้น ดูก่อนสารถีท่านจงหลีกทางถวายพระราชาของเราเถิด.
ในบทเหล่านั้น บทว่า เอตาทิโส ความว่า พระราชาทรงประกอบด้วยคุณเหล่านี้ ที่กล่าวไว้โดยนัยมีอาทิว่า พึงชนะคนโกรธด้วยความไม่โกรธ ดังนี้ อธิบายว่า พระราชาพระองค์นี้ พระองค์เองไม่โกรธ ทรงชนะบุคคลผู้โกรธด้วยความไม่โกรธ พระองค์เองเป็นคนดี ทรงชนะคนไม่ดีด้วยความดี พระองค์เองเป็นผู้ทรงบริจาค ทรงชนะคนตระหนี่เหนียวแน่นด้วยการบริจาค พระองค์เองตรัสความจริง ทรงชนะคนพูดเหลาะแหละด้วยคำจริง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 9
บทว่า มคฺคา อุยฺยาหิ ความว่า สารถีของพระเจ้าพาราณสี กล่าวว่า ท่านสารถีผู้เป็นสหาย ขอได้โปรดหลีกจากทาง จงให้ทางแก่พระราชาของพวกเราผู้ประกอบด้วยคุณ คือศีลและมารยาทมีอย่างนี้ พระราชาของพวกเราสมควรแก่ทางดำเนิน.
เมื่อสารถีของพระเจ้าพาราณสีกล่าวอย่างนี้แล้ว พระเจ้าพัลลิกะ และสารถีทั้งสองก็เสด็จและลงจากรถปลดม้าถอยรถถวายทางแด่พระเจ้าพาราณสี. พระเจ้าพาราณสีถวายโอวาทแด่พระเจ้าพัลลิกะว่า ธรรมดาพระราชาควรทรงกระทำอย่างนี้ๆ แล้วเสด็จไปกรุงพาราณสี ทรงกระทำบุญมีทานเป็นต้น ทรงเพิ่มพูนทางสวรรค์ในเวลาสุดสิ้นพระชนม์.
แม้พระเจ้าพัลลิกะก็ทรงรับพระโอวาท ของพระเจ้าพาราณสี ทรงสอบสวนชาวชนบท เสด็จไปทั่วพระนคร ไม่เห็นมีผู้กล่าวโทษของพระองค์ จึงกระทำบุญมีทานเป็นต้น ทรงเพิ่มพูนทางสวรรค์ ในเวลาสุดสิ้นพระชนม์.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาเพื่อทรงถวายโอวาทแด่พระเจ้าโกศล แล้วทรงประชุมชาดก
นายสารถีของพระเจ้าพัลลิกะครั้งนั้น ได้เป็นพระโมคคัลลานะ พระเจ้าพัลลิกะ ได้เป็นพระอานนท์ สารถีของพระเจ้าพาราณสี ได้เป็นพระสาริบุตร ส่วนพระราชาคือ ตถาคตเอง.
จบ อรรถกถาราโชวาทชาดกที่ ๑