ข้อความบางตอนจาก หนังสือธรรมาภิสมัย
๘๐ ประเด็นธรรมจากการบรรยายและสนทนาธรรม ของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เรื่องของปัญญาไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เป็นเรื่องที่อบรมเจริญได้แน่นอน สามารถที่จะค่อยๆ อบรมเจริญไปจนกว่าปัญญาจะคมกล้าจะรู้ชัด แต่ต้องเริ่มจากความเข้าใจ ความเข้าใจก็เริ่มจากการพิจารณาสิ่งที่ได้ยินได้ฟังว่า สิ่งใดถูก สิ่งใดผิด สิ่งใดที่พิสูจน์ได้ สิ่งใดพิสูจน์ไม่ได้ สิ่งใดเป็นของจริง สิ่งใดไม่ใช่ของจริง ศรัทธาอย่างเดียวไม่พอ เพราะศรัทธาในขั้นของทาน ก็ทำทานไปเรื่อยๆ ศรัทธาในขั้นของศีลก็วิรัติทุจริตเท่านั้นเอง แต่ต้องมีศรัทธาที่จะอบรมเจริญปัญญา ไม่เช่นนั้นก็ไม่สามารถดับกิเลสได้ จะอาศัยทานดับกิเลสไม่ได้ อาศัยศีลก็ดับกิเลสไม่ได้ ต้องอาศัยปัญญาถึงจะดับกิเลสได้
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความบางตอนจากหนังสือ บารมีในชีวิตประจำวัน
โดย อาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์
บารมี ๑๐ เป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากในการดับกิเลส เป็นสมุจเฉท
การศึกษาเรื่องของบารมี ๑๐ ก็เพื่อสำรวจตัวเองว่ายิ่งหย่อนในบารมีใด จะได้อบรมในบารมีนั้นให้ยิ่งขึ้นจนสามารถเป็นปัจจัยให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ ถ้ามุ่งแต่จะให้สติเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏในชีวิตประจำวันโดยไม่คำนึงถึงการอบรมเจริญบารมีก็จะต้องพ่ายแพ้ต่ออกุศลธรรม เพราะอกุศลธรรม มีปัจจัยเกิดขึ้นมากกว่า กุศลธรรม.
เพราะฉะนั้น การอบรมเจริญบารมีจึงไม่ใช่ด้วย ต้องการผลของกุศลแต่ต้องเป็นเพราะการเห็นโทษของอกุศลแต่ละประเภท ไม่ใช่ต้องการเจริญบารมีเพื่อผล คือสังสารวัฏฏ์ แต่บำเพ็ญบารมีเพื่อขัดเกลากิเลสจนกว่าจะดับกิเลส จึงจะดับสังสารวัฏฏ์ได้.
ฉะนั้น การอบรมเจริญบารมีจึงไม่ด้วยความหวังผลของกุศลในสังสารวัฏฏ์ ด้วยเหตุนี้ ผู้เห็นโทษของความตระหนี่จึงให้ทาน ผู้เห็นโทษของความเป็นผู้ทุศีลจึงรักษาศีล เป็นต้น เพราะเหตุว่า ทุกคนซึ่งยังมีกิเลสนั้น เปรียบเหมือนผู้ที่เป็นโรค ก็ควรพิจารณาว่าจะรักษาโรคที่กำลังเป็นอยู่ ให้เป็นผู้ที่แข็งแรงสามารถที่จะเดินทางไกล คือ มรรคมีองค์ ๘ ห้ถึงจุดหมายปลายทาง คือการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้อย่างไร ลองคิดถึงผู้ที่เห็นทาง แต่เจ็บไข้ได้ป่วยและทางนั้นก็แสนไกล แล้วทำอย่างไรจึงจะเดินไปให้ถึงจุดหมายปลายทางนั้นได้ ฉะนั้น ต้องรู้ว่าถ้าร่างกายไม่สมบูรณ์แข็งแรงก็ไม่สามารถที่จะไปได้ตลอด ธรรมที่บำรุงจิตใจให้แข็งแรงที่จะดำเนินไปในมรรคมีองค์ ๘ ได้ตลอดคือ บารมี ๑๐
การบำเพ็ญบารมีโดยตรง ต้องเป็นปัญญาบารมี เพราะการบำเพ็ญบารมีจุดหมายก็คือเพื่อ "ปัญญาบารมี" ที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม แต่เพราะเหตุว่าอริยสัจจธรรม ไม่ใช่สิ่งที่จะรู้แจ้งได้โดยเร็วจึงต้องอาศัยบารมีอื่นๆ ด้วย
ผู้ที่ได้ อบรมเจริญปัญญาบารมี มาบ้างแล้วไม่ว่าจะเกิด ณ สถานที่ใด หรือในตระกูลมิจฉาทิฏฐิก็ตามย่อมเป็นผู้ที่ใคร่จะเข้าใจใคร่ที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรม
ขออนุโมทนา
ที่จะเป็นบารมีได้กุศลธรรมนั้นๆ ต้องประกอบด้วยปัญญา
พระผู้มีพระภาคทรงสรรเสริญกุศลธรรม ทรงติเตียนอกุศลธรรม พระธรรมที่ทรงแสดงไว้ไม่ค้านกัน สอดคล้องกันไปโดยตลอดทั้งหมด ทรงแสดงหนทางแห่งการประพฤติปฏิบัติธรรมอันเหมาะสมกับอัธยาศัยของเหล่าสาวกทั้งหลาย แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ได้ทรงแสดงไว้นั้น เป็นไปเพื่อการอบรมปัญญาเมื่อปัญญาเจริญขึ้น กุศลธรรมขั้นอื่นๆ ย่อมที่จะเจริญตามไปด้วยอกุศลธรรมก็ย่อมที่จะเสื่อมลงไป จนถึงขั้นที่สามารถดับเป็นสมุจเฉทได้
ขออนุโมทนาครับ...
ขออนุโมทนาทุกความเห็นค่ะ
สิ่งที่สำคัญคือ การอบรมเจริญปัญญาพระธรรมมีความสอดคล้องกัน แล้วแต่จะกล่าวโดยนัยใด การเจริญกุศลทุกประการ ควรเป็นการสะสมบารมี บารมีทุกประการต้องประกอบด้วยปัญญา คือการเห็นโทษของอกุศลและเห็นคุณของกุศล การอบรมเจริญปัญญาจึงเกื้อกูลต่อบารมี เช่นเดียวกับบารมีก็เกื้อกูลต่อการอบรมปัญญาเช่นกัน ในกรณีของศีลและทาน ในกระทู้ของคุณเมตตาเป็นศีลและทาน ที่ไม่ประกอบด้วยปัญญาจึงเป็นการขยายความ มิใช่การขัดแย้งแต่ประการใด
ขออนุโมทนาคุณเมตตาและคุณอาจารย์ครูโอด้วยความเคารพค่ะ
สาธุ
ขออนุโมทนาพี่เมตตา
ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลวิริยะของทุกท่านค่ะ
อนุโมทนาค่ะ