ต้องให้สึก หรือให้เป็นพระสงฆ์ต่อ แล้วให้ผู้รู้มาแก้อาการจิต
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ธรรมเป็นเรื่องละเอียดและลึกซึ้ง ข้าพเจ้าขอแสดงความคิดเห็นส่วนตัวในประเด็นนี้
ครับ การสึกนั้นจะต้องเป็นความประสงค์ของผู้สึกเอง สำหรับการเป็นบ้าของพระภิกษุ
นั้น พระพุทธเจ้าแสดงเหตุของความเป็นบ้าของพระภิกษุไว้หลายประการครับ
1.เป็นบ้าเพราะดีกำเริบ ทำให้โลหิตที่ดีไม่ดี ไหลไปทั่วรางกายเกิดความเป็นบ้าได้ครับ
2.บ้าเพราะยักษ์เข้าสิง เพราะยักษ์แสดงรูปอันน่ากลัว ทำให้เกิดความเป็นบ้าได้ครับ
สำหรับพระภิกษุ
ซึ่งข้อความก็แสดงต่อไปครับว่า บ้าบางอย่างหายได้ ซึ่งเมื่อหายก็สามารถประพฤติ
พรหมจรรย์และสามารถประพฤติตามพระวินัยดับกิเลสได้ เช่น หายจากความเป็นบ้า
เพราะยักษ์เข้าสิง เ ป็นต้น ดังนั้นเราก็ไม่รู้ว่าเมื่อพระท่านเป็นบ้า บ้าเพราะอะไร แต่ก็
สามารถช่วยกันรักษา บรรเทาโดยพระภิกษุด้วยการเห็นเอง ที่เปรียบเหมือนญาติ พี่น้อง
กันในปัจจุบันครับ
ซึ่งพระภิกษุผู้เป็นบ้านั้น ไม่ต้องอาบัติข้อใด โดยประการใดๆ ครับ เพราะถึงความเป็น
บ้าอยู่ครับ ดังนั้นบ้าบางอย่างหายได้ และสามารถประพฤติพรหมจรรย์ต่อได้ครับ และ
การสึกก็ควรเป็นความประสงค์ของผู้ที่จะสึกด้วยครับ เมื่อผู้ที่จะสึกยินยอม ยินดีที่จะสึก
แล้ว จึงสึกได้ครับ
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑-หน้า 837
[ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุบ้าและมีจิตฟุ้งซ่าน]
ภิกษุเป็นบ้าเพราะดี (กำเริบ) ชื่อว่า เป็นบ้า. จริงอยู่ ดีมี ๒ อย่าง คือ ดีที่มีฝัก ๑ ดีที่ไม่มีฝัก ๑. ดีที่ไม่มีฝัก ซึมซาบไปทั่วสรรพางค์ ดุจ โลหิตฉะนั้น. เมื่อดีที่ไม่มีฝักนั้นกำเริบ พวก
สัตว์ ย่อมมีสรีระสั่นเทาไป เพราะหิดเปื่อยและหิดตอเป็นต้น. หิดเปื่อยและหิดตอเป็น
ต้นเหล่านั้น จะหาย ได้เพราะการทายา. ส่วนดีที่มีฝักตั้งอยู่ในฝักของดี. เมื่อดีที่มีฝัก
นั้นกำเริบ พวกสัตว์ย่อมเป็นบ้า. ภิกษุผู้มีสัญญาวิปลาส (มีความจำคลาดเคลื่อน)
ละทิ้งหิริและโอต- ตัปปะเสียแล้ว ย่อมเที่ยวประพฤติกรรมที่ไม่ควร. แม้ย่ำยีสิกขาบท
ทั้งเบา และหนักอยู่ ก็ไม่รู้สึกตัว. ชื่อว่าเป็นผู้แก้ไขไม่ได้ แม้เพราะการเยียวยา; ภิกษุผู้
เป็นบ้าเห็นปานนั้น ไม่เป็นอาบัติ. ภิกษุชื่อว่า มีจิตฟุ้งซ่าน ได้แก่ ผู้ปล่อยจิต (ไป
ตามอารมณ์) ท่าน เรียกว่า เป็นบ้าเพราะยักษ์เข้าสิง. ได้ยินว่า พวกยักษ์แสดงอารมณ์
ทั้งหลาย ที่น่ากลัว หรือสอดมือเข้าทางปากแล้ว บีบคั้นหทัยรูป กระทำพวกสัตว์ให้มี
ความจำคลาดเคลื่อน. ภิกษุผู้มีจิตฟุ้งซ่านเห็นปานนั้นไม่เป็นอาบัติ.
ส่วนความแปลกกันแห่งภิกษุผู้เป็นบ้าสองพวกนั้น มีดังต่อไปนี้ :- ภิกษุเป็นบ้าเพราะ
ดี (กำเริบ) จัดว่าเป็นบ้าตลอดกาลเป็นนิตย์ทีเดียว ไม่ได้ สัญญาตามปกติ. ผู้เป็นบ้า
เพราะยักษ์เข้าสิง ยังกลับได้สัญญาตามปกติในบาง ครั้งบางคราวบ้าง. แต่ในปฐม
ปาราชิกสิกขาบทนี้ ผู้เป็นบ้าเพราะดี (กำเริบ) ก็ดี ผู้เป็นบ้าเพราะยักษ์เข้าสิงก็ดี จะยก
ไว้, ภิกษุรูปใด หลงลืมสติโดยประการทั้งปวง วัตถุอะไรๆ จะเป็นไฟก็ตาม ทองก็
ตาม คูถก็ตาม แก่นจันทน์ ก็ตาม ก็ไม่รู้จัก ย่อมเที่ยวย่ำเหยียบเป็นเช่นเดียวกันหมด,
ภิกษุบ้าเห็นปาน นั้น ไม่เป็นอาบัติ แต่เมื่อกลับได้สัญญาขึ้นในบางครั้งบางคราว แล้ว
ทำทั้ง ที่รู้เป็นอาบัติทีเดียว.
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
โรคบางอย่างรักษาก็หาย ไม่รักษาก็หาย โรคบางอย่างไม่รักษาไม่หาย รักษาก็ไม่หาย
ถ้าเป็นโรคที่เกิดจากกรรม รักษาก็ไม่หาย ไม่รักษาก็ไม่หาย เช่น คนที่ล่วงศีลข้อ 5 คือ
ดื่มสุรา ภายหลังจากไปอบายแล้วกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ วิบากอย่างเบาทำให้เป็นบ้าค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น พระภิกษุเป็นเพศบรรพชิตที่สละอาคารบ้านเรือน สละทุกสิ่งทุกอย่าง เข้าสู่ความเป็นบรรพชิต ที่ไม่ได้มีมารดาบิดาคอยดูแล เหมือนกับการเป็นคฤหัสถ์ แต่ท่านก็มีวงศ์ญาติใหม่คือพระภิกษุด้วยกัน เมื่อมีการเจ็บป่วยอาพาธเกิดขึ้น ถ้าไม่ดูแลรักษากันเอง แล้วใครจะรักษา พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงว่า เมื่อภิกษุ เกิดเจ็บป่วยอาพาธขึ้น โดยไม่ได้รับการดูแลรักษาพยาบาลจากพระภิกษุด้วยกันเลย พระองค์ทรงบัญญัติเป็นสิกขาบทไว้ว่า เป็นอาบัติทุกกฏสำหรับพระภิกษุที่ไม่ดูแลภิกษุผู้ป่วยไข้เพราะตามความเป็นจริงแล้ว เป็นหน้าที่ของพระภิกษุด้วยกันที่จะรักษาจนตลอดชีวิตหรือ จนกว่าจะหาย ยิ่งเป็นโรคที่ท่านผู้ถามได้ถามถึงยิ่งจะต้องรักษาให้ถึงที่สุด การที่จะไม่รักษา ไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง สำหรับในประเด็นนี้ เมื่อประมาณ ๒ ปีที่ผ่านมา ก็เคยมีท่านผู้มาร่วมสนทนาธรรมที่มูลนิธิฯ ได้เขียนมาถามอาจารย์ประเชิญ แสงสุข ซึ่งเป็นวิทยากรผู้บรรยายพระวินัย เหมือนกัน ว่า จะทำอย่างไรดี หรือว่าจะให้สึก อาจารย์ก็ได้ให้เหตุผลตามพระธรรมวินัย คือ พระภิกษุด้วยกันจะต้องรักษาจนกว่าพระภิกษุรูปนั้นจะหาย หรือ รักษาจนตลอดชีวิต (คือจนกระทั่งท่่านมรณภาพ) โดยไม่มีข้ออ้างใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ใช่่ว่าป่วยเป็นโรคนี้แล้ว ไม่รักษา หรือ เป็นโรคนี้แล้ว ต้องให้สึก เท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ละเอียดมากทีเดียว ครับ. ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
-ต้องให้สึก หรือให้เป็นพระสงฆ์ต่อ แล้วให้ผู้รู้มาแก้อาการจิต-
ผู้ที่หลงตามไปในสิ่งที่ถูกรู้ ก็ให้ทวนย้อนมาที่ผู้รู้ อาการต่างๆ นิมิตที่หลงไปก็จะดับหายเป็นปกติได้เอง
* *
อมูฬหวินัย เป็นในกรณี ที่มี "ปฏิฆะนิมิต" กำเริบแล้ว เข้าใจว่าสิ่งนั้นๆ เป็นจริง ก็โกรธ ทำร้าย ฯลฯ ก็ให้ร้องขอ เพื่อระงับอธิกรณ์ - แก้ได้ด้วยการเจริญ อัปมัญญาเมตตา ก็จะหายสนิท ไม่กำเริบมาอีกขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ