[เล่มที่ 18] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 447
ข้อความบางตอนจาก
ปาสราสิสูตร
ตอบว่าข้อนี้เป็นความจริง จิตของพระองค์น้อมไปอย่างนี้ (ไม่แสดงธรรม) ด้วยอานุภาพแห่งปัจจเวกขณญาณ ก็พระองค์บรรลุสัพพัญุญุตญาณพิจารณาถึง ความที่สัตว์ยังยึดกิเลสและความที่ธรรมเป็นสภาพลึกซึ้ง จึงปรากฏว่าสัตว์ยังยึดกิเลสและธรรมเป็นสภาพลึกซึ้ง โดยอาการทั้งปวง เมื่อเป็นอย่างนั้น ก็ทรงพระดำริว่า สัตว์เหล่านั้นเพียบไปด้วยกิเลสเศร้าหมองเหลือเกิน กำหนัดเพราะราคะ โกรธเพราะโทสะ หลงเพราะโมหะ เหมือนน้ำเต้าเต็มด้วยน้ำข้าว เหมือนตุ่มเต็มด้วยเปรียง เหมือนผ้าเก่าชุ่มด้วยมันข้นและเหมือนมือเปื้อนยาหยอดตา สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นจักตรัสรู้ได้อย่างไรเล่า จึงทรงน้อมจิตไปอย่างนั้น แม้ด้วยอานุภาพแห่งการพิจารณาถึงการยึดกิเลส ก็ธรรมนี้พึงทราบว่าลึกเหมือนลำน้ำที่รองแผ่นดิน เห็นได้ยาก เหมือนเมล็ดพันธุ์ผักกาดที่เอาภูเขามาวางปิด รู้ตามได้แสนยากเหมือนปลายแห่งขนทรายที่แบ่งออกเป็น ๗ ส่วน ชื่อว่า ทานที่เราพยายามเพื่อแทงตลอดธรรมนี้ไม่ให้แล้วไม่มี ชื่อว่าศีลที่เราไม่ได้รักษาแล้วก็ไม่มี. ชื่อว่าบารมีไรๆ ที่เรามิได้บำเพ็ญก็ไม่มี เมื่อเรานั้น กำจัดกำลังของมารที่เหมือนไร้อุตสาหะ แผ่นดินก็ไม่ไหว เมื่อระลึกถึงปุพเพนิวาสญาณในปฐมยาม ก็ไม่ไหว เมื่อชำระทิพยจักษุในมัชฌิมยามก็ไม่ไหว แต่เมื่อแทงตลอดปฏิจจสมุปบาทในปัจฉิมยาม หมื่นโลกธาตุจึงไหว ดังนั้น ผู้ที่มีญาณกล้าแม้เช่นเรายังแทงตลอดธรรมนี้ได้โดยยากทีเดียวโลกิยมหาชนจักแทงตลอดธรรมนั้นได้อย่างไร พึงทราบว่า ทรงน้อมจิตไปอย่างนี้ แม้ด้วยอานุภาพแห่งการพิจารณาความลึกซึ้งแห่งพระธรรมด้วยประการ ดังนี้.
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ยินดีในกุศลจิตค่ะ