คำว่าต้องรู้ธรรมตรงตามความเป็นจริงนั้นรู้อย่างไรในการละกามราคะ
โดย รวส  28 ต.ค. 2552
หัวข้อหมายเลข 14094

เพราะทุกวันนี้ผมเข้าใจว่ารสของกามนั้นยิ่งเสพก็ยิ่งติดและติดไปอีกหลายภพหลายชาติผมกลัวแต่เมื่อความอยากเข้ามาก็ต้องพ่ายแพ้ต่อมันทุกครั้ง เหมือนกับกลัวไม่จริงเพราะอะไรปิดบังช่วยตอบด้วยครับขอกราบขอบพระคุณทุกท่านที่เมตตาช่วยชี้ทางให้



ความคิดเห็น 1    โดย khampan.a  วันที่ 28 ต.ค. 2552

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้าที่ ๕๔๐

โลภะให้เกิดความพินาศ โลภะทำจิตให้กำเริบ ชนไม่รู้สึกโลภะนั้นอันเกิดแล้ว ในภายในว่าเป็นภัย คนโลภย่อมไม่รู้ประโยชน์นี้ ย่อมไม่เห็นธรรม โลภะย่อม ครอบงำนรชนในขณะใด ความมืดตื้อย่อมมีในขณะนั้น ก็ผู้ใด ละความโลภ ได้ขาด ย่อมไม่โลภในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความโลภ ความโลภอันอริยมรรค ย่อมละเสียได้จากบุคคลนั้น เปรียบเหมือนหยดน้ำตกไปจากใบบัว ฉะนั้น.

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔-หน้าที่ ๔๖ เวลาเต็มก็ดี เวลาพร่องก็ดี เวลาแห้งก็ดี ของแม่น้ำทั้งหลาย มีแม่น้ำคงคาเป็นต้นย่อมปรากฏ, แต่เวลาเต็ม หรือ เวลาแห้งแห่งตัณหา (ความอยาก,ความโลภ,ความติดข้อง) ย่อมไม่มี, ความพร่องอย่างเดียว ย่อมปรากฏเป็นนิตย์ เพราะฉะนั้น แม่น้ำ เสมอด้วยตัณหา ย่อมไม่มี เพราะอรรถว่าให้เต็มได้โดยยาก.

------------------------------------------

โลภะ (ความติดข้องยินดีพอใจ) ในกาม (สิ่งที่น่าปรารถนาน่าใคร่น่าพอใจ อันได้แก่รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ) เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นนามธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน ไม่มีเราที่มีโลภะ แต่เป็นสภาพธรรมล้วนๆ ที่เป็นโลภะ เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ของโลภะ เป็นอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตประจำวัน เพราะได้สะสมกิเลสประเภทนี้มาอย่างเนิ่นนานในสังสังสารวัฏฏ์ ซ้ำยังถูกอวิชชา ซึ่งเป็นความไม่รู้ปิดบังไว้ จึงทำให้ไม่เห็นโทษ เห็นภัยของกิเลส ที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง, กิเลสที่มีมากอย่างนี้ ไม่มีอะไรที่จะไปละหรือดับ ได้ นอกจากปัญญาเท่านั้น และจะต้องเป็นปัญญาขั้นโลกุตตระเท่านั้นที่จะดับกิเลสได้ ประการที่สำคัญ ผู้ที่จะดับความยินดีพอใจในกามได้ ต้องเป็นพระอริยบุคคลขั้นพระอนาคามี และ จะไม่มีโลภะใดๆ อีกเลย เมื่อได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงนั้น สามารถทำให้ผู้ศึกษาได้พิจารณาขัดเกลากิเลสอกุศลของตนเองได้อย่างละเอียด เพราะเหตุว่าทรงชี้ให้เห็นโทษของอกุศลตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากที่จะเห็นได้ ดังนั้น การฟัง การศึกษาพระธรรมจึงเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลอย่างแท้จริง ซึ่งจะเป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของปัญญาตามลำดับ การละกิเลส เป็นเรื่องที่ไกลมาก จึงต้องเริ่มสะสมปัญญาตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


ความคิดเห็น 3    โดย สุภาพร  วันที่ 29 ต.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย Sam  วันที่ 29 ต.ค. 2552

รู้ธรรมะตามความเป็นจริงนั้น รู้อย่างไร ในการละกามราคะ

และอะไรเป็นเครื่องกั้น?

ดังที่ทราบแล้วครับ ว่าการละกามระคะนั้น ต้องละด้วยปัญญาขั้นสูงมากๆ (เป็น

ปัญญาของพระอนาคามีบุคคล) ดังนั้น ในขั้นต้นยังไม่ควรตั้งใจจะละกามราคะ หรือ

กิเลสอย่างอื่น (คนส่วนมากอยากละโทสะ) เพราะยังไงก็ละไม่ได้หากไม่มีปัญญาที่รู้

ธรรมะตามความเป็นจริงก่อน นั่นคือ ควรศึกษาพระธรรมเพื่อละความไม่รู้ เป็นอันดับ

แรก ซึ่งความไม่รู้นี่เอง ที่เป็นเครื่องกั้นครับ เพราะเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับปัญญา

การรู้ธรรมะตามความเป็นจริงขั้นต้น คือรู้ว่าเราไม่ใช่พระอริยบุคคล จึงไม่

สามารถเอาชนะกิเลสอะไรได้เลย เมื่อปัจจัยแวดล้อมเหมาะสม กิเลสที่เคยสะสมมา

แล้วในอดีต ก็มีกำลังที่จะล่วงออกมาทางกายและวาจา และสำหรับกามราคะนั้น แม้

แต่พระโสดาบันก็ยังมีความพอใจในเรื่องนี้อยู่ได้บ้าง แต่ท่านไม่ล่วงศีลข้อ ๓ เลย ดัง

นั้นหากเรามีความพอใจในกามราคะอยู่ ก็ไม่ควรล่วงศีลข้อนี้ หรือข้ออื่นๆ เลยครับ

นอกจากนี้ การมีความคิดเป็นไปในทาน หรือการให้นั้น ในขณะนั้นจิตจะเป็น

ไปในกุศล และช่วยให้จิตในขณะนั้นไม่หมกมุ่นไปในกาม

ประการสำคัญที่สุด คือควรมีการศึกษาพระธรรมโดยละเอียด ซึ่งจะช่วยให้เรา

เข้าใจกามราคะและกิเลสของเรามากขึ้น และทำให้รู้จักตัวเองมากขึ้น อันจะเป็นความ

รู้ขั้นต้นที่จะนำไปสู่การดับกามราคะได้ในที่สุด และอย่าลืมครับว่า กามราคะ ดับด้วย

ปัญญา (ความรู้ ความเข้าใจ) ไม่ใช่ด้วยความต้องการครับ


ความคิดเห็น 6    โดย จักรกฤษณ์  วันที่ 29 ต.ค. 2552

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 7    โดย wannee.s  วันที่ 29 ต.ค. 2552

ผู้ที่จะละโลภะได้ต้องบรรลุเป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าไม่ใด้ให้ละโลภะก่อน ขั้น

แรกให้ละความเห็นผิด เพราะเรามีอวิชชามาก จึงปิดบังไม่ให้รู้ความจริงว่าโลภะก็เป็น

ธรรมอย่างหนึ่งที่มีจริง เกิดแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง ถ้าสติไม่เกิดขณะนั้นก็หลงลืมสติค่ะ


ความคิดเห็น 9    โดย เมตตา  วันที่ 29 ต.ค. 2552

สติ สัมปชัญญะ ปัญญา ก็เป็นธรรมะอย่างหนึ่ง ไม่สามารถเกิดขึ้นมาเองได้ แต่

เกิดขึ้นได้จากก่ารค่อยๆ อบรมเจริญให้มีขึ้น... ปัญญาทำกิจของปัญญา สติก็ทำกิจ

ของสติ ไม่ใช่ตัวตนไปทำกิจไปคอยดูคอยรู้มัน คอยทำให้มากขึ้นกว่าเดิม...


ความคิดเห็น 11    โดย รวส  วันที่ 31 ต.ค. 2552

ผมขอกราบขอบคุณทุกท่าน ที่เมตตาแสดงความคิดเห็นช่วยชี้ทางสว่างให้ ผมเข้าใจ

ครับว่า กามราคะ ใช้ความต้องการก็ไม่มีทางจะดับได้ แต่ผมหรือปัญญาขอเพียงความ

เข้าใจ เพื่อเป็นทางให้ปัญญาได้เดินต่อๆ ไป เป็นการสะสมปัญญาจากชาตินี้และต่อๆ

ไป จนรู้แจ้งแทงตลอด

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 12    โดย Sam  วันที่ 2 พ.ย. 2552

ขออนุโมทนาครับ