ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
" เข้าใจถูกก่อนตาย "
ถอดจากคำสนทนาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี
วันเสาร์ที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๖๕
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่างกับเรา เพราะเราไม่เคยคิดถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เลย มีแต่ความไม่รู้และความคิดและความสนใจในเรื่องราวของสิ่งที่มีจริงๆ แต่ถ้าไม่มีสิ่งที่มีจริงๆ แต่ละหนึ่งขณะ ก็ไม่มีชีวิต แต่เมื่อมีสิ่งที่มีจริงๆ แล้ว ไม่สนใจสิ่งที่มีจริงๆ เลย นั่นคือคนทั่วไป แต่การสะสมของพระโพธิสัตว์นานแสนนานมาแล้ว ตั้งแต่เริ่มคิดว่าๆ สิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ความจริงคืออะไร แต่ละหนึ่ง ไม่เหมือนกันเลย
~ ทุกคนลองคิด เริ่มต้น ไม่มีคนอื่น ไม่มีใคร ไม่มีอะไร แต่มีสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ทีละหนึ่ง ทีละขณะ
~ แต่ละหนึ่งขณะ มีสิ่งที่มีจริงตลอดไปทุกขณะๆ แต่ไม่รู้เลย เพราะฉะนั้น พระโพธิสัตว์ สะสมมา ที่เห็นว่า เมื่อมีสิ่งที่มีจริงอย่างนี้ ควรจะรู้ความจริงถึงที่สุดของสิ่งที่มีจริง
~ ความจริง ของเดี๋ยวนี้คืออะไร? นี่เป็นสิ่งที่อยู่ในใจของพระโพธิสัตว์เรื่อยมาที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่มี เดี๋ยวนี้ เราเริ่มเป็นอย่างนั้นหรือยัง?
~ สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้จริงที่สุด เพราะกำลังมีจริงๆ แต่ไม่รู้ สมควรไหมที่รู้ว่า สิ่งนี้ที่กำลังมีจริง ความจริงของสิ่งนี้คืออะไร? ถ้ายังไม่สนใจที่จะรู้ ชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย มีทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งเกิดขึ้นเป็นไปแต่ไม่รู้อะไรเลย จนตาย ก็ไม่รู้ความจริง สิ่งที่มีจริงทุกขณะตั้งแต่เกิดจนตาย แต่ไม่รู้ เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ไหมที่จะเป็นอย่างนั้น มีแต่ไม่รู้ความจริงของสิ่งนั้น?
~ คนที่ไม่เคยฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ไม่รู้ประโยชน์ของการที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้
~ มีสิ่งที่เกิดมีจริงๆ กับแต่ละคน โดยที่ไม่คิด ไม่คาด ไม่ฝัน ว่า จะเป็นอย่างนี้มาก่อนเลย แต่สิ่งนี้ก็เกิดเป็นไปทุกขณะแต่ไม่รู้ความจริง นี่คือ คนที่ไม่สนใจที่รู้ว่า ตลอดชีวิตมีสิ่งที่มีจริง จนตายแล้วก็ไม่มี แล้วก็หมดไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก
~ เกิดมาแล้วมีสิ่งที่มีจริงปรากฏแล้ว แต่ไม่รู้ กับ การที่สิ่งที่มีจริงขณะนี้ สามารถรู้ความจริงได้ ควรรู้ไหมหรือไม่ควรรู้เลยจนตายตลอดไป? คนที่ไม่เคยฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย หมดโอกาสที่จะรู้ว่า สิ่งที่มีจริงแต่ละขณะตั้งแต่เกิดจนตาย ความจริงคืออะไร? แต่คนที่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้ว่าสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้สามารถที่จะรู้ความจริงได้ ขณะนั้นจะเป็นประโยชน์กว่าไม่รู้ไหม?
~ เริ่มเป็นคนตรง สิ่งที่มีจริงขณะนี้กำลังมี ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่มี กับ มีผู้ที่รู้ความจริงของสิ่งที่มีถึงที่สุด สมควรบ้างไหมที่จะรู้ว่า ความจริงขณะนี้เป็นอย่างไร
~ เริ่มคิดถึงความจริงขณะนี้ของสิ่งที่มีจริง ซึ่งเป็นจริงๆ ตั้งแต่เกิดจนตาย สมควรไหม?
~ ในสมัยพุทธกาล เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้ว ทรงแสดงความจริงให้คนที่ได้ฟังเริ่มเห็นประโยชน์สูงสุดของการที่ได้เข้าใจสิ่งที่มีในขณะนั้นซึ่งไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลย เมื่อเห็นประโยชน์ของการได้เข้าใจ ก็มีความมั่นคงที่ให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย นี่เป็นเหตุที่จะดำรงคำสอนเรื่องสิ่งที่มีจริงให้ดำรงสืบต่อไป
~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงสิ่งที่มีจริงๆ ทุกขณะในชีวิตทุกชีวิต
~ เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มีจริง ไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น แต่เมื่อได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มรู้สิ่งที่มีตามปกติทีละอย่างจนสามารถที่จะประจักษ์แจ้งความจริงของสิ่งนั้นได้
~ สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ไม่ใช่สิ่งที่มีจริงเมื่อกี้นี้ สิ่งที่มีจริงเมื่อกี้นี้เอง อยู่ไหนเดี๋ยวนี้ นี่เป็นความจริงของแต่ละขณะ ใช่ไหม? เมื่อกี้นี้เกิดแล้ว หมดแล้ว ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่เมื่อกี้นี้ เป็นสิ่งที่เกิดมีแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก แต่ละขณะตั้งแต่เกิดจนตายเป็นอย่างนี้หรือเปล่า? เพราะฉะนั้น ความจริงแท้อยู่ที่ไหน อยู่ที่ทุกขณะที่เกิดแล้วก็หมดไป เกิดแล้วก็หมดไป จริงไหม?
~ คุณอาคิลอยู่ไหน? คุณอาช่าอยู่ไหน? ไม่มี ใช่ไหม? มีเห็น มีได้ยิน ไม่พร้อมกัน แต่ละหนึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไป แล้วแต่ละหนึ่งเกิดต่อแล้วดับไป และแต่ละหนึ่งก็เกิดต่อแล้วก็ดับไปจนถึงตาย และก็ยังมีการเกิดขึ้นอีกเป็นชาติต่อไป เห็นอีก ได้ยินอีกตลอดเวลา นี่เป็นความจริงหรือเปล่า?
~ ไม่ว่าอะไรทั้งหมด เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ดีหรือร้าย เหตุการณ์ที่น่าพอใจหรือไม่น่าพอใจ เกิดแล้วดับเลย ไม่เหลือเลย จริงไหม?
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ หมายความว่า รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ทุกๆ ขณะ ถ้าพระองค์ไม่ตรัสรู้ ไม่ทรงแสดงความจริง เราจะรู้ไหมว่า เห็นขณะนี้เดี๋ยวนี้เป็นอะไรที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้จริงๆ จึงฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งทรงแสดงหนทางที่จะให้รู้ความจริง ให้รู้การเกิดขึ้นและดับไปของสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้
~ ก่อนเห็น ไม่มีเห็น เห็นเกิดขึ้นแล้วเห็นก็หมดไป พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้งความจริงของทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้วดับไป และทรงแสดงหนทางที่จะให้รู้ความจริงนี้ด้วย
~ ทุกคนได้ยินคำว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประจักษ์แจ้งความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เขาพยายามหาทางที่จะรู้อย่างที่พระองค์ตรัสรู้ แต่หนทางที่เขาแสวงหา คิดเอง หาเอง เข้าใจเอง ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น หนทางเดียวที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ ก็คือ ฟังแต่ละคำของพระองค์ เห็นความลึกซึ้งอย่างยิ่งจึงรู้ว่า ท่านผู้นี้ เป็นผู้ที่รู้ความจริง จึงแสดงความจริงได้
~ มีความเข้าใจที่ถูกต้องก่อนตายได้ เพราะฉะนั้น ก่อนจะตายเดี๋ยวนี้ ควรรู้อะไร? ทุกขณะสิ่งที่มีค่าที่สุดก่อนจะตาย เพราะไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไหร่ ก็คือ เข้าใจธรรมจากการฟังการไตร่ตรอง
~ ทำไมเหตุการณ์นั้นๆ จึงเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น ไม่ว่าเหตุการณ์อะไรทั้งสิ้น จะได้ลาภ เสื่อมลาภ จะเกิดทุกข์ จะเจ็บไข้ได้ป่วยทั้งหมด ทำไมสิ่งต่างๆ เหล่านั้น จึงเกิดขึ้นได้? เกิดเพราะเหตุปัจจัย สำคัญที่สุด เกิดแล้วด้วย เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เข้าใจสิ่งที่เกิดแล้ว เพราะเกิดแล้ว
~ เราไม่ต้องใช้คำภาษาบาลีอะไรเลย เป็นเรื่องที่มีจริงๆ ให้เข้าใจก่อน แล้วเราจะใช้คำต่างๆ ทีหลัง แต่เราต้องมีความเข้าใจจริงๆ ว่า ไม่ว่าอะไรที่เกิดขึ้น ต้องมีเหตุปัจจัยให้สิ่งนั้นเกิด ไม่ใช่ให้จำชื่อ ไม่ใช่ให้จำคำ แต่ให้รู้ความจริงว่า สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ไม่ว่าอะไร ต้องมีเหตุปัจจัยที่จะทำให้เกิด จึงเกิดได้
~ สิ่งที่เกิดขึ้นน่าพอใจก็มี ไม่น่าพอใจก็มี ต้องเป็นไปตามเหตุ ไม่ใช่อยากจะพอใจหรือไม่พอใจเอง แต่สิ่งนั้น เป็นสิ่งที่น่าพอใจหรือไม่น่าพอใจ เกิดขึ้นแล้วเพราะปัจจัยให้เป็นอย่างนั้นๆ
~ สิ่งที่น่าพอใจเกิดแล้วบังคับไม่ได้ มีเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดเป็นสิ่งที่น่าพอใจ เปลี่ยนไม่ได้ สิ่งนั้นเกิดน่าพอใจตามปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้น ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจเกิดขึ้น บังคับบัญชาไม่ได้ เกิดแล้วตามปัจจัยที่ทำให้สิ่งที่ไม่น่าพอใจเกิดขึ้น เป็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ มั่นคงไหม?
~ ตรงต่อความจริงเป็นสัจจบารมี ต้องตรง ตามความเป็นจริงตลอดไป ถ้ามีสัจจบารมีตรงต่อความเป็นจริงที่มั่นคง เป็นอธิษฐานบารมี ไม่เปลี่ยน
~ สิ่งที่ไม่น่าพอใจเกิดขึ้นแล้ว เพราะอะไร เพราะฉะนั้น สิ่งที่ไม่น่าพอใจเกิดขึ้นเพราะเหตุไม่ดี ใช่ไหม? จึงทำให้สิ่งนั้นที่เกิด ไม่น่าพอใจ เพราะฉะนั้น เหตุมี ๒ อย่าง เหตุที่ดี ภาษาบาลีเป็น กุสล (กุศล) ดีงาม เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดผลคือ สิ่งที่เกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัยนั้น ดี จริงไหม? มั่นคงไหม? นี่เป็นเหตุให้รู้ว่า อะไรเป็นเหตุที่ดี เพราะฉะนั้น จึงไม่ทำเหตุที่ไม่ดี ถ้าไม่เข้าใจเหตุ ก็ยังคงทำสิ่งที่ไม่ดีต่อไป
~ สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ลึกซึ้งมาก ต้องฟังจนเข้าใจจริงๆ ต้องละเอียด จึงสามารถเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ได้
~ ก่อนได้ยิน ก็ไม่มีได้ยินแล้วก็ได้ยินแล้วได้ยินก็หมดไป เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่ปรากฏในชีวิตประจำวันต้องเกิดขึ้น เพียงเกิดเป็นสิ่งนั้นแล้วก็ดับไป มั่นคงไหม?
~ ถ้าไม่เข้าใจความจริงของแต่ละหนึ่งธรรม จะไม่รู้ว่าธรรมอะไรเกิดแล้วดับ เพราะฉะนั้น เมื่อรวมๆ กันทั้งหมด ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงซึ่งเกิดดับสืบต่อไป จึงทรงแสดงความจริงของแต่ละหนึ่งธรรมให้เริ่มรู้ความจริงว่า แต่ละหนึ่งไม่ปนกัน ไม่รวมกันเลย เป็นแต่ละหนึ่งจริงๆ
~ คุณอาช่าเห็นคุณอาคิลไหม? เห็นคุณมานิตไหม? จนกว่าสภาพธรรมจริงๆ จะปรากฏว่า ไม่มีคุณมานิต ไม่มีคุณอาคิล เพราะฉะนั้น ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้เกิดความรู้ในสิ่งที่กำลังมีซึ่งยากมาก เพราะไม่เคยคิดมาก่อน
~ ต้องศึกษาพระธรรมด้วยความเคารพอย่างยิ่งในแต่ละคำซึ่งกล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ซึ่งขณะนี้เป็นอย่างนั้น แต่เกิดดับเร็วมาก จนรวมเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นคุณมานิต เป็นคุณอาคิล เป็นคุณสุคิน
~ เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มเข้าใจสิ่งที่พระองค์ตรัส เป็นเพราะปัญญาที่ตรัสรู้ความจริงและทรงแสดงหนทางให้รู้ความจริงนี้ได้ด้วย ถ้าไม่ฟังคำของพระองค์ทีละคำแล้วก็ไตร่ตรองจนเข้าใจคำนั้นจริงๆ จะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เพราะคิดว่าธรรมไม่ลึกซึ้ง เพราะฉะนั้นหนทางเดียวที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มขึ้น ก็เมื่อมีความเข้าใจคำที่พระองค์ทรงแสดงเพิ่มขึ้น
~ มีความอดทนไหมที่จะฟังทีละคำ แล้วก็เข้าใจทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า กำลังมีจริงๆ เดี๋ยวนี้เอง มีความเพียรที่จะฟังทุกคำ พิจารณาไตร่ตรองทุกคำ เพื่อที่จะได้รู้ความจริงก่อนที่จะตายเพราะจะตายเดี๋ยวนี้ก็ได้
~ คุณอาช่า พูดว่า ไม่มีคุณอาคิล ต้องจริง ไม่มีคุณอาคิล จะรู้ว่าไม่มีคุณอาคิลเมื่อเข้าใจว่า สิ่งที่เข้าใจว่าเป็นคุณอาคิล คืออะไร จึงไม่ใช่คุณอาคิล
~ ต้องมีความเพียรที่จะค่อยๆ ไม่ลืมว่า ที่เข้าใจว่าเป็นคุณอาคิล ไม่ใช่คุณอาคิล แต่เป็นสิ่งที่มีจริง
~ ได้ยินคำแต่ละคำทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องรู้ว่า ต้องมีความเพียรที่จะไม่ลืมและค่อยๆ เข้าใจว่า ไม่ใช่ต้นไม้ ไม่ใช่ดอกไม้ ไม่ใช่โต๊ะ ไม่ใช่เก้าอี้ ไม่ใช่คุณอาคิล แล้วเป็นอะไรตามความเป็นจริง จึงค่อยๆ ละความจำที่เคยเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้มานานได้
~ ต้องมีความเพียรเป็นวิริยบารมี และอีกนานเท่าไหร่กว่าจะรู้เห็นซึ่งกำลังเกิดขึ้นเห็นแล้วดับไป ต้องอาศัยความอดทนอีกนานมากที่จะค่อยๆ เข้าใจแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ ทุกคนรู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่เลิศที่สุดในสากลจักรวาลเพราะรู้ความจริงที่สามารถทำให้ความไม่ดีทั้งหมด ดับ ไม่เกิดอีกเลย
~ ก่อนอื่นต้องรู้ว่า ดีคืออย่างไร ไม่ดีคืออะไร มีใครรู้บ้างว่า ขณะนี้ที่กำลังฟังพยายามเข้าใจคำที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ด้วยความเคารพ นั่นคือ ความดีสูงสุด เพราะกำลังเริ่มละความไม่ดี คือ ความไม่รู้
~ การที่ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมี ทำให้เกิดความไม่ดีทุกอย่าง เพราะไม่รู้ความจริง ว่า เป็นสิ่งที่มีปัจจัยเกิดแล้วดับเท่านั้น เพราะฉะนั้นความดีสูงสุดคือ การสามารถเข้าใจความจริง เมื่อเข้าใจความจริง ก็รู้ว่า อะไรดี ไม่ดี จึงสามารถที่จะค่อยๆ ละความไม่ดีได้ จริงไหม?
~ ความรู้ถูก จะทำให้มีความมั่นคงและชีวิตจะมั่นคงในความดีและความเข้าใจจนกว่าสามารถที่จะรู้ความจริงได้ จึงจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มขึ้น ตอนนี้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแค่ไหน? เพิ่งเริ่มรู้จักใช่ไหม? ถ้าเข้าใจเพิ่มขึ้นรู้จักเพิ่มขึ้น เข้าใจเพิ่มขึ้นรู้จักเพิ่มขึ้น เท่ากับเห็นพระกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะพระกายจริงๆ ก็คือทุกคำที่พระองค์ได้ตรัสรู้และทรงแสดง แสดงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ ตอนนี้เพิ่งเริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มมากขึ้น เพราะการที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ด้วยการเห็นพระกาย คือ พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงทั้งหมด เป็นพระกายที่ทำให้รู้ว่าเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ เราจะเปลี่ยน ไม่ให้ธรรมเกิดดับเร็วอย่างนี้ไม่ได้ จะให้ธรรมเกิดช้าๆ ดับช้าๆ ไม่ได้ แต่ว่า สามารถที่จะเริ่มเข้าใจความต่างกันของสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง จึงจะรู้ว่า เปลี่ยนไม่ได้ ต้องเป็นอย่างนั้น จึงเข้าใจความหมายของคำว่า ธรรม
~ ถ้าเข้าใจว่า เห็นขณะนี้เกิดขึ้นเห็นเท่านั้น ก็จะรู้ว่า อย่างอื่นไม่ใช่เห็น เริ่มเข้าใจทีละหนึ่ง คือรู้ว่า เห็นเป็นเห็นเท่านั้น ไม่เป็นอื่น
~ เห็นเป็นเห็น เห็นเป็นคนไม่ได้ เห็นเป็นอะไรไม่ได้ แต่เห็น เป็นขณะที่เกิดขึ้นเห็นเท่านั้น และได้ยิน ก็ไม่ใช่คน ไม่ใช่ใคร แต่เป็นขณะที่เกิดขึ้นได้ยิน เพราะฉะนั้น เห็น เป็นสภาพที่รู้สิ่งที่ปรากฏให้เห็น ได้ยินเป็นสภาพรู้เสียงที่เกิดขึ้นปรากฏให้ได้ยิน ไม่มีเรา แต่มีธรรมแต่ละหนึ่ง
~ ฟังจนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละน้อยในที่สุดขณะที่กำลังเห็นหรือกำลังได้ยิน หรือ อะไรก็ตามแต่ เริ่มรู้ตรงนั้นเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น เริ่มรู้ว่า ไม่มีเราที่จะทำอะไร ไม่ใช่ไปนั่งจ้องหรือพยายามพากเพียรที่จะรู้
~ เดี๋ยวนี้ เห็นและไม่รู้ว่า เห็นดับแล้ว สะสมความไม่รู้ไว้ในใจ แม้ว่าเห็นดับแล้ว ความไม่รู้ว่าเห็นก็มีอยู่ในใจแล้ว
~ ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดง ไม่มีใครรู้จักกิเลสนี้เลย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงของแต่ละหนึ่งขณะซึ่งเกิดดับสืบต่อกันว่า หลังจากที่เห็นแล้วมีจิตที่เกิดต่อ มีสภาพรู้ที่เกิดต่อ คือความไม่รู้ในสิ่งที่เห็นทันทีแต่ไม่มีใครรู้เลยว่า เดี๋ยวนี้กำลังเป็นอย่างนั้น
~ เริ่มรู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสคำว่า อาสวะ (กิเลสที่บางเบา ไหลไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) คุณมธุเคยได้ยินคำนี้มาก่อนไหม เพราะฉะนั้น ได้ยินคำไหน ไม่ผ่านไป จนกว่าจะเข้าใจคำนั้น
~ ธรรมคือสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งขณะเกิดดับเร็วมาก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่า เห็นเดี๋ยวนี้เป็นเพียงหนึ่งขณะเท่านั้น พระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่เกิดดับเร็วทีละหนึ่งขณะได้ พระองค์ทรงแสดงว่า เมื่อเห็นดับแล้ว ความไม่รู้ความจริงว่าเห็นเกิดแล้วดับมี เดี๋ยวนี้ไม่รู้ว่า ที่กำลังเห็น ทันทีที่เห็นสั้นมาก ดับแล้ว เพราะมีความไม่รู้ในสิ่งที่เห็นแล้ว
~ ไม่รู้จักเห็น ไม่รู้จักจำ ไม่รู้จักคิด ไม่รู้จักชอบ ไม่รู้จักโกรธ เป็นธรรมดาหรือเปล่า?
~ ตั้งแต่เกิดจนตายทุกอย่างเป็นธรรมหรือเปล่า? แต่ไม่เคยรู้ใช่ไหมว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง นั่นคือ อาสวะ แม้มีแต่ก็น้อยมากจนไม่ปรากฏว่า ไม่รู้ในสิ่งที่กำลังเห็น
~ ไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น ไม่มีคน ไม่มีอะไร มีแต่เห็น ชอบเห็นไหม? ชอบแล้วโดยไม่รู้ตัวใช่ไหม? นี่คือความหมายของอาสวะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงกิเลสระดับนี้ที่เป็นอาสวะว่า มี ๔ อย่าง เวลามีเห็นแล้วไม่รู้ ขณะนั้นเป็น อวิชชาสวะ
~ สิ่งที่ปรากฏทางตาให้เห็น ทางหูให้ได้ยิน ทางจมูกเป็นกลิ่น ทางลิ้นเป็นรส ทางกายเป็นสิ่งที่กระทบสัมผัส เป็นสิ่งที่ติดข้อง เพราะไม่รู้ทันที เพราะฉะนั้น จึงเป็นกามาสวะ
~ พอใจที่จะเห็น พอใจที่จะได้ยิน พอใจในสิ่งที่ปรากฏด้วย ทั้งหมดเป็น กามาสวะ ทั้งหมด ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็น กาม ที่น่าพอใจ เพราะฉะนั้น มี อวิชชาสวะ มี กามาสวะ เข้าใจแล้วใช่ไหม?
~ คุณมธุอยากตายไหม? (ไม่อยากตาย) นั่นคือ ภวาสวะ พอใจในความเป็น พอใจในความมี ความเป็นอยู่ ที่ต้องการจะเป็นอย่างนี้อยู่ต่อไป นั่นคือ ภวาสวะ
~ ทั้งหมดที่ไม่รู้ความจริงตามความเป็นจริง เข้าใจว่า เดี๋ยวนี้เห็นไม่ได้ดับไป ยังมีเราที่เห็น นั่นเป็น ทิฏฐาสวะ
~ ได้ยินทุกคำต้องเข้าใจทุกคำ ความละเอียดและความลึกซึ้งทุกคำ ตรงกันหมด ไม่ค้านกันเลยตามความเป็นจริง
~ ใครไม่มีอาสวะเลย? พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นอรหันต์หรือเปล่า? นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครเป็นพระอรหันต์มีไหม? เพราะฉะนั้น จึงมีคำภาษาบาลี "ขีณาสวะ" ขีณะ แปลว่า ดับหมด ไม่เหลือเลย ไม่มีอาสวะอีกเลย ไม่มีกิเลสทั้งหมดเลย เพราะฉะนั้น พระอรหันต์ ก็มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และก็มีผู้ที่เป็นสาวก (อรหันตสาวก) ดับกิเลสหมด แต่ไม่ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของคุณสุคิน ผู้แปลการสนทนา
จากภาษาไทยเป็นภาษาฮินดี
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
กราบบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง และกราบยินดีในความดีของทุกๆ ท่านด้วยค่ะ
กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
กราบยินดีในกุศลของคุณสุคิน คุณอาคิล คุณอาซา คุณมธุและทุกๆ ท่าน
กราบอนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนาค่ะ
กราบอนุโมทนาค่ะ
กราบยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ
ขอบพระคุณ และยินดีในความดีของ อ.คำปั่น ด้วยค่ะ
ยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ
ไพเราะมากๆ ๆ ๆ ๆ ๆ .... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง กราบขอบพระคุณผู้ร่วมสนทนาทุกๆ ท่าน และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกๆ ท่านค่ะ
กราบอนุโมทนากุศลค่ะท่านอาจารย์
กราบอนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ