๖. ปิยัญชหเถรคาถา ว่าด้วยคาถาของพระปิยัญชหเถระ
โดย บ้านธัมมะ  18 พ.ย. 2564
หัวข้อหมายเลข 40477

[เล่มที่ 50] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 377

เถรคาถา เอกนิบาต

วรรคที่ ๘

๖. ปิยัญชหเถรคาถา

ว่าด้วยคาถาของพระปิยัญชหเถระ


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 50]



ความคิดเห็น 1    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 22 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 377

๖. ปิยัญชหเถรคาถา

ว่าด้วยคาถาของพระปิยัญชหเถระ

[๒๑๓] ได้ยินว่า พระปิยัญชหเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า

เมื่อผู้อื่นยกตน ควรถ่อมตน เมื่อผู้อื่นตกต่ำ ควรยกตนขึ้น เมื่อผู้อื่นไม่ประพฤติพรหมจรรย์ ควรประพฤติพรหมจรรย์ เมื่อผู้อื่นยินดีในกามคุณ ไม่ควรยินดีในกามคุณ.


ความคิดเห็น 2    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 22 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 378

อรรถกถาปิยัญชหเถรคาถา

คาถาของท่านพระปิยัญชหเถระ เริ่มต้นว่า อุปฺปตนฺเตสุ นิปเต. เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร?

แม้พระเถระนั้น ก็มีอธิการอันกระทำไว้แล้ว ในพระพุทธเจ้าองค์ ก่อนๆ สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้ในภพนั้นๆ (เกิด) เป็น รุกขเทวดา อยู่ในป่าหิมวันต์ ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนาม ว่า วิปัสสี ในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้ (อาศัย) อยู่ในซอกเขา ในคราวประชุมเทวดา ยืนอยู่ท้ายบริษัท เพราะความเป็นผู้มีอานุภาพน้อย ฟังธรรมแล้ว ได้มีศรัทธาจิตในพระศาสดา วันหนึ่งเห็นเนินทรายในแม่น้ำคงคาใสสะอาดบริสุทธิ์น่ารื่นรมย์ ระลึกถึงคุณของพระศาสดาว่า คุณของพระศาสดา สะอาดบริสุทธิ์ (ยิ่งกว่า) เนินทรายนี้ เป็นพระคุณหาที่สุดมิได้ หาประมาณมิได้ ดังนี้. เทวดานั้นปรารภถึงคุณของพระศาสดา อย่างนี้แล้ว ยังจิตให้เลื่อมใส ด้วยบุญกรรมนั้น ท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย บังเกิดในตระกูล แห่งเจ้าลิจฉวี ในพระนครไพศาลี เจริญวัยแล้ว เป็นนักรบไม่เคยพ่ายแพ้ ในสงคราม ปรากฏพระนามว่า ปิยัญชโห เพราะเป็นที่เกรงขามของศัตรู ทั้งหลาย.

ในคราวที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปพระนครไพศาลี ท้าวเธอได้มีจิตศรัทธาบวชแล้ว อยู่ในป่าเจริญวิปัสสนา บรรลุพระอรหัตแล้ว. สมดัง คาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า

เราอยู่ในระหว่างภูเขาใกล้ภูเขาหิมวันต์ ได้เห็น กองทรายอันงามแล้ว ระลึกถึงพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ


ความคิดเห็น 3    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 22 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 379

สุด ไม่มีอะไรเปรียบได้ในพระญาณ สงครามไม่มีแก่พระศาสดา พระศาสดาทรงรู้ทั่วถึงธรรมทั้งปวงแล้ว ทรงน้อมไปด้วยญาณ. ขอนอบน้อมแด่พระองค์ ผู้เป็นบุรุษอาชาไนย ขอนอบน้อมแด่พระองค์ ผู้อุดมบุรุษไม่มีผู้เสมอ ด้วยพระญาณของพระองค์ โดยที่ทรงมีพระญาณอันสูงสุด. เรายังจิตให้เลื่อมใส ในพระญาณแล้ว บันเทิงอยู่ในสวรรค์ตลอดกัป ในกัปทั้งหลายที่เหลือเราทำกุศล ในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้สัญญาใดในกาลนั้น ด้วยสัญญานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งสัญญาในพระญาณ ในกัปที่ ๗๐ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิองค์หนึ่ง มีนามว่าปุลินปุปผิยะ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก. เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.

ก็พระเถระครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว เมื่อจะพยากรณ์พระอรหัตตผล ด้วยสามารถแห่งการแสดงความนี้ว่า ข้อปฏิบัติของพระอริยเจ้าทั้งหลาย แยกกันกับข้อปฏิบัติของอันธพาลปุถุชน ได้กล่าวคาถาว่า

เมื่อผู้อื่นยกตน ควรถ่อมตน เมื่อผู้อื่นตกต่ำ ควรยกตนขึ้น เมื่อผู้อื่นไม่ประพฤติพรหมจรรย์ ควรประพฤติพรหมจรรย์ เมื่อผู้อื่นยินดีในกามคุณ ไม่ควรยินดีในกามคุณ ดังนี้.


ความคิดเห็น 4    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 22 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 380

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุปฺปตนฺเตสุ ได้แก่ ยกตนให้สูง คือ เมื่อสัตว์ทั้งหลายไม่เข้าไปสงบแล้ว โดยยกตนขึ้น ด้วยกิเลสมีมานะ. อุทธัจจะ ถัมภะ และสารัมภะเป็นต้น.

บทว่า นิปเต ได้แก่ พึงน้อมตนลง คือพึงเป็นผู้มีความประพฤติ นอบน้อม โดยเว้นบาปธรรมเหล่านั้นเสียทุกอย่าง.

บทว่า นิปตนฺเตสุ ได้แก่ ตกต่ำ คือ เมื่อสัตว์ทั้งหลายเสื่อมจากคุณ เพราะกระทำอธิมุตติให้ต่ำ และเพราะความเกียจคร้าน.

บทว่า อุปฺปเต ได้แก่ พึงยกขึ้น คือ พึงสนับสนุนขวนขวายโดยคุณ เพราะกระทำให้มีอธิมุตติประณีต และเพราะการปรารภความเพียร.

อีกอย่างหนึ่ง บทว่า อุปฺปตนฺเตสุ ได้แก่ โอหัง คือ ยกศีรษะขึ้น (ชูคอ) ด้วยสามารถแห่งความกลุ้มรุมของกิเลสทั้งหลาย.

บทว่า นิปเต ความว่า พึงถ่อมตนด้วยการพิจารณาอันสมควร โดยประการที่กิเลสเหล่านั้น จะไม่เกิดขึ้นด้วยกำลังแห่งการพิจารณา.

บทว่า นิปตนฺเตสุ ความว่า ตกไปโดยรอบ คือ เมื่อความเพียร และความพยายามอ่อน ในเพราะการทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย หรือเมื่อธรรม คือสมถะ และวิปัสสนา ตามที่ปรารภแล้วเสื่อมไป.

บทว่า อุปฺปเต ความว่า พึงยังคนเหล่านั้นให้เข้าไปตั้งไว้ คือให้เกิด และพึงให้เจริญ ด้วยโยนิโสมนสิการ และด้วยการถึงพร้อมแห่งวิริยารัมภะ (ปรารภความเพียร).

บทว่า วเส อวสมาเนสุ ความว่า เมื่อสัตว์ทั้งหลายไม่อยู่อย่างผู้ประพฤติมรรคพรหมจรรย์ และไม่อยู่อย่างพระอริยเจ้า ตนเองพึงอยู่แบบมรรคพรหมจรรย์ และอยู่อย่างพระอริยะเจ้านั้น อีกอย่างหนึ่ง หมายความว่า เมื่อพระอริยเจ้าทั้งหลายไม่อยู่อย่างผู้มีกิเลส คือไม่อยู่อย่างผู้มีคู่ (มีบุตรมีภรรยา) ตนเองควรอยู่อย่างที่พระอริยเจ้าอยู่ (อยู่โดยไม่มีการอยู่อย่างผู้มีคู่นั้น)


ความคิดเห็น 5    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 22 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 381

บทว่า รมมาเนสุ โน รเม ความว่า เมื่อสัตว์ทั้งหลายยินดีอยู่ ด้วยควานยินดีในกามคุณ (และ) ด้วยความยินดีในกิเลส ตนเองไม่พึงยินดี คือไม่พึงพอใจอย่างนั้น อีกอย่างหนึ่ง เมื่อพระอริยเจ้าทั้งหลาย ยินดีอยู่ ด้วยความยินดีในฌานเป็นต้น ที่ปราศจากอามิส แม้ตนเองก็พึงยินดีอย่างนั้น. แต่ไม่พึงยินดี คือไม่พึงอภิรมย์ โดยประการอื่นจากความยินดีในฌานเป็นต้น นั้น แม้ในบางครั้งบางคราว.

จบอรรถกถาปิยัญชหเถรคาถา