เคยอ่านเจอข้อความ พยาบาทนั้น จะละได้ก็ด้วยการใส่ใจโดยแยบคาย ในเมตตาเจโตวิมุตติ. ในคำว่า เมตตาเจโตวิมุตินั้น เมื่อพูดกันถึงเมตตา ย่อมควรทั้งอัปปนา ทั้งอุปจาระ. บทว่า เมตตาเจโตวิมุตติ ได้แก่อัปปนาโยนิโสมนสิการมีลักษณะ ดังกล่าวแล้ว. เมื่อภิกษุทำโยนิโสมนสิการให้เป็นไปมากๆ ในเมตตาเจโตวิมุตตินั้น ย่อมละพยาบาทได้. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสไว้ (ในสังยุตกายมหาวารวรรค) ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมตตาเจโตวิมุตติมีอยู่ การทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในเมตตาเจโตวิมุตตินั้น นี้เป็นอาหารเพื่อความไม่เกิดแห่งพยาบาทที่ยังไม่เกิด หรือเพื่อละพยาบาทที่เกิดแล้วดังนี้ ... และทราบว่าอัปปนาสมาธิซึ่งเป็นฌานจิตนั้น และอัปปนาสมาธิเกิดกับจิตที่เป็นรูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ และโลกุตรภูมิ ไม่เกิดกับจิตที่เป็นกามาวจรภูมิ
จากข้อความที่ได้อ่านมาดังนี้ จะเข้าใจอย่างไรว่า ถ้าจะเกิดเมตตาต่อสัตว์อื่นสูงสุดจนละพยาบาทได้เด็ดขาด ต้องเข้าฌานถึงขั้นอัปปนาสมาธิอย่างนั้น หรือมีความหมายอย่างอื่นด้วยครับ ที่สงสัยเพราะว่าถ้าบุคคลที่เป็นพระอริยบุคคล เช่นพระอรหันต์ที่เป็นสุขวิปัสโกท่านไม่ได้ทำฌานท่านจะมีเมตตาสูงสุดได้ไหม
(หากอ่านมาไม่ครบถ้วน ทำให้เข้าใจไขว้เขว ช่วยชึ้แนะด้วยครับ)
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
จากข้อความที่กล่าวมานั้น คำว่า เมตตาเจโตวิมุติ คำว่า เจโตวิมุติ นั้น มุ่งหมายถึง ความหลุดพ้นแห่งจิต หลุดพ้นจากราคะ ด้วยกำลังของสมาธิ ที่เป็นฌานจิต เป็นต้น ดังนั้น เมตตาเจโตวิมมุติ เป็นการเจริญเมตตาที่มีกำลัง ที่ทำให้หลุดพ้นจากกิเลส มี ราคะชั่วขณะที่กำลังเจริญเมตตา ซึ่ง เมตตาเจโตวิมุตติ เป็นเมตตาที่มีกำลัง แผ่ไป ไม่มีประมาณในสรรพสัตว์ทั้งหลาย จนสามารถทำให้จิตสงบชั่วขณะ อย่างต่อเนื่อง ที่ เป็นการเจริญสมถภาวนา
ซึ่ง คำถามว่า พระอรหันต์ที่ไม่ได้ฌาน ท่านไม่มีเมตตา หรือ เมตตา เป็นความหวังดี นำประโยชน์เกื้อกูลไปให้ เมตตาจึงเกิดได้ แม้แต่ปุถุชนผู้ไม่ได้ ฌาน และพระอรหันต์ผู้ไม่ไ่ด้ฌานก็มีเมตตาเกิดได้ แต่เมตตาของผู้ที่ไม่ได้ฌาน ไม่เป็น เมตตาเจโตวิมุติ เมตตานั้น เกิดไม่ต่อเนื่องติดต่อกันไป เหมือนเมตตาเจโตวิมมุติ และ เมตตานั้น ก็ไม่ได้แผ่ไปไม่มีประมาณ ในขณะนั้นที่กำลังเจริญเมตตาเจโตวิมมุติ เพียงแต่พระอรหันต์ที่ไม่ไ่ด้ฌาน และปุถุชนที่ไม่ได้ฌาน ก็มีเมตตา เกิดขึ้นได้ เฉพาะบุคคล ขณะที่เกิดในขณะนั้น ครับ ไม่ได้แผ่ไปไม่มีประมาณ และไม่เกิดเมตตาต่อเนื่อง ดังเช่น เมตตาเจโตวิมุติ ของผู้ที่อบรมสมถภาวนา จะเกิดกุศลที่เป็นเมตตาต่อเนื่องติดต่อกันไป จนปรากฏลักษณะของสมาธิ ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้าศึกหรือธรรมที่เป็นปฏิปักษ์ตรงกับข้ามกับความพยาบาท ความโกรธ นั้น ก็คือ เมตตา, เมตตา ไม่ใช่เพียงชื่อ แต่เป็นความปรารถนาดี ความหวังดีต่อผู้อื่น ควรอบรมเจริญในชีวิตประจำวันเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่มีเมตตาต่อผู้อื่นนั้น เบาสบาย ไม่หนักเหมือนความโกรธ ความไม่พอใจ, สำหรับผู้ที่อบรมเจริญเมตตา จนกระทั่งจิตสงบแนบแน่นถึงความเป็นอัปปนา เป็นฌานจิต ขณะนั้นเมตตามีกำลัง สงบระงับพยาบาท หรือ ความโกรธ ซึ่งเป็นนิวรณธรรมประการหนึ่ง เป็นการพ้นด้วยเมตตา (เมตตาเจโตวิมุตติ) แต่ก็ควรที่จะได้พิจารณาเพิ่มเติมว่า ตราบใดก็ตามที่ไม่ได้อบรมเจริญปัญญาจนกระทั่งถึงสามารถดับกิเลสได้ถึงความเป็นพระอนาคามีบุคคล ความโกรธ ก็ยังไม่สามารถดับได้ สมถภาวนาไม่สามารถดับกิเลสได้ เพียงข่มไว้ด้วยกำลังแห่งฌานเท่านั้น แต่การอบรมเจริญวิปัสสนา สามารถดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น จนถึงสามารถดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น เมื่อถึงความเป็นพระอรหันต์แล้ว สภาพจิตที่ดีงาม ที่ประกอบด้วยความเมตตาต่อผู้อื่น ก็มีได้ เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย ซึ่งไม่ใช่กุศล แต่เป็นมหากิริยาครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
พระพุทธเจ้าตรัสว่า เมตตาเจโตวิมุตติอันบุคคลเสพแล้ว เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ทำให้เป็นดุจยาน ทำให้เป็นที่ตั้ง ให้ตั้งมั่นโดยลำดับ สั่งสมดีแล้ว ปรารภด้วยดีแล้ว พึงหวังอานิสงส์ ๑๑ ประการ คือ ย่อมหลับเป็นสุข ๑ ย่อมตื่นเป็นสุข ๑ ย่อมไม่ฝันลามก ๑ ย่อมเป็นที่รักแห่งมนุษย์ทั้งหลาย ๑ ย่อมเป็นที่รักแห่งอมนุษย์ทั้งหลาย ๑ เทวดาทั้งหลายย่อมรักษา ๑ ไฟยาพิษหรือศาสตราย่อมไม่กล้ำกราย ๑ จิตย่อมตั้งมั่น โดยรวดเร็ว ๑ สีหน้าย่อมผ่องใส ๑ เป็นผู้ไม่หลงใหลทำกาละ ๑ เมื่อไม่แทงตลอด คุณอันยิ่งย่อมเป็นผู้เข้าถึงพรมหโลก ๑ ฯลฯ ค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอขอบพระคุณในเมตตาจิตทุกท่านที่ให้ความกระจ่างและร่วมอนุโมทนา ครับ
ความจริงพยาบาทเป็นกิเลสหยาบ การมีอยู่ของพยาบาทย่อมทำให้ใจเป็นทุกข์ การให้อภัย คือ การละพยาบาท
ขออนุโมทนา
การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ