ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้าที่ 88 อัตตทีปวรรคที่ ๕
๑. อัตตทีปสูตร ว่าด้วยการพึ่งตนพึ่งธรรม
[๘๗] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้.
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายแล้วตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเป็นผู้มีตนเป็นที่พึ่ง มีตนเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ จงเป็นผู้มีธรรมเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะอยู่เถิด
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อเธอทั้งหลายจะมีตนเป็นที่พึ่ง มีตนเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะอยู่
จะต้องพิจารณาโดยแยบคายว่า โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส มีกำเนิดมาอย่างไร เกิดมาจากอะไร
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส มีกำเนิดมาอย่างไร เกิดมาจากอะไร
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มีได้สดับแล้วในโลกนี้ ไม่ได้เห็นพระอริยเจ้าทั้งหลาย ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยเจ้า ไม่ได้รับแนะนำในอริยธรรม ไม่ได้เห็นสัตบุรุษทั้งหลาย ไม่ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ ไม่ได้รับแนะนำในสัปปุริสธรรม ย่อมตามเห็นรูปโดยความเป็นตน ๑ ย่อมเห็นตนมีรูป ๑ ย่อมเห็นรูปในตน ๑ ย่อมเห็นตนในรูป ๑ รูปนั้นของเขาย่อมแปรไป ย่อมเป็นอย่างอื่นไป โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส ย่อมเกิดขึ้นแก่เขา เพราะรูปแปรไปและเป็นอื่นไป ย่อมเห็นเวทนาโดยความเป็นตน ฯลฯ ย่อมเห็นสัญญาโดยความเป็นตน ฯลฯ ย่อมเห็นสังขารโดยความเป็นตน ฯลฯ ย่อมเห็นวิญญาณโดยความเป็นตน ๑ ย่อมเห็นตนมีวิญญาณ ๑ ย่อมเห็นวิญญาณในตน ๑ ย่อมเห็นตนในวิญญาณ ๑ วิญญาณนั้นของเขาย่อมแปรไป ย่อมเป็นอย่างอื่นไป โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส ย่อมเกิดขึ้นแก่เขา เพราะวิญญาณแปรไป และเป็นอย่างอื่นไป.
[๘๘ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อภิกษุรู้ว่ารูปไม่เที่ยงแปรปรวนไป คลายไป ดับไป เห็นตามความเป็นจริงด้วยปัญญาอันชอบอย่างนี้ว่า รูปในกาลก่อน และรูปทั้งมวลในบัดนี้ ล้วนไม่เที่ยงเป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ดังนี้ ย่อมละโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสได้ เพราะละโสกะเป็นต้นเหล่านั้นได้ จึงไม่สะดุ้ง เมื่อไม่สะดุ้ง ย่อมอยู่เป็นสุข ภิกษุผู้มีปรกติอยู่เป็นสุข เรากล่าวว่า ผู้ดับแล้วด้วยองค์นั้น
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อภิกษุรู้ว่าเวทนาไม่เที่ยง ฯลฯ สัญญาไม่เที่ยง ฯลฯ สังขารไม่เที่ยง ฯลฯ วิญญาณไม่เที่ยง แปรปรวนไป คลายไป ดับไป เห็นตามความเป็นจริงด้วยปัญญาอัน ชอบอย่างนี้ว่า วิญญาณในกาลก่อน และวิญญาณทั้งมวลในบัดนี้ ล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ดังนี้ ย่อมละโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสได้ เพราะละโสกะ เป็นต้น เหล่านั้นได้ ย่อมไม่สะดุ้ง เมื่อไม่สะดุ้ง ย่อมอยู่เป็นสุข ภิกษุผู้มีปรกติอยู่เป็นสุข เรากล่าวว่าผู้ดับแล้วด้วยองค์นั้น.
จบ อัตตทีปสูตรที่ ๑
อัตตทีปวรรคที่ ๕ อรรถกถาอัตตทีปสูตรที่ ๑ อัตตทีปวรรค สูตรที่ ๑
มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้
บทว่า อตฺตทีปา ความว่า ท่านทั้งหลายจงทำตนให้เป็นเกาะ เป็นที่ต้านทาน เป็นที่เร้น เป็นคติ ที่ไปในเบื้องหน้า เป็นที่พึ่งอยู่เถิด.
บทว่า อตฺตสรณา นี้เป็นไวพจน์ของบทว่า อตฺตทีปา นั้นแล.
บทว่า อนญฺญสรณา นี้ เป็นคำห้ามพึ่งผู้อื่น ด้วยว่าผู้อื่นเป็นที่พึ่งไม่ได้ เพราะคนหนึ่งจะพยายามทำอีกคนหนึ่งให้บริสุทธิ์หาได้ไม่ สมจริงดังที่ตรัสไว้ว่า
ตนนั่นแลเป็นที่พึ่งของตน คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า อนญฺญสรณา ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ.
ถามว่า ก็ในที่นี้ อะไรชื่อว่าตน?
แก้ว่า ธรรมที่เป็นโลกิยะและเป็นโลกุตตระ (ชื่อว่าตน) .
ด้วยเหตุนั้นนั่นแล พระองค์จึงตรัสว่า ธมฺมทีปา ธมฺมสรณา อนญฺญสรณา มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ ดังนี้.
บทว่า โยนิ ได้แก่ เหตุ ดุจในประโยคมีอาทิว่า โยนิ เหสา ภูมิชผลสฺส อธิคมาย นี้แลเป็นเหตุให้บรรลุผลอันเกิดแต่ภูมิ. บทว่า กึปโหติกา ได้แก่ มีอะไรเป็นแดนเกิด อธิบายว่า เกิดจากอะไร บทว่า รูปสฺส เตฺวว นี้ ท่านปรารภเพื่อแสดงการละความโศกเป็นต้น เหล่านั้นนั่นแล.
บทว่า น ปริตสฺสติ ได้แก่ ไม่ดิ้นรน คือไม่สะดุ้ง. บทว่า ตทงฺคนิพฺพุโต ได้แก่ ดับสนิทด้วยองค์นั้นๆ เพราะดับกิเลสทั้งหลายด้วยองค์คือวิปัสสนานั้น.
ในพระสูตรนี้ท่านกล่าวเฉพาะวิปัสสนาเท่านั้น.
จบ อรรถกถาอัตตทีปสูตรที่ ๑
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระสูตรที่คุณหมอได้ยกมา นั้น เป็นพระสูตรที่ได้สนทนาที่มูลนิธิฯ เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๔ ที่ผ่านมา เป็นพระสูตรที่แสดงถึงที่พึ่ง หรือธรรมที่เป็นที่พึ่ง, ที่พึ่ง ได้แก่ กุศลธรรมทุกระดับขั้น สูงสุด คือ โลกุตตรกุศล ที่สามารถดับกิเลสได้ตามลำดับ ซึ่งในอรรถกถาได้แสดงไว้อย่างชัดเจนว่า ได้แก่โลกิยะและโลกุตตระ ซึ่งไม่พ้นไปจากกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา (ความเข้าใจถูกเห็นถูก) ที่พึ่งจริงๆ คือ ความเข้าใจถูก เห็นถูก
เมื่อกล่าวถึงธรรมแล้ว มีความหมายกว้างขวางมาก หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงไม่ได้หมายถึงเพียงสิ่งที่ดีเท่านั้น ธรรม ได้แก่ การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การถูกต้องกระทบสัมผัส การคิดนึก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความไม่โลภ ความไม่โกรธ ความไม่หลง ความตระหนี่ ความริษยา เป็นต้น เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว ธรรม ย่อมไม่พ้นไปจากจิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) รูป และ นิพพาน ซึ่งไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตน เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่มีจริงแต่ละอย่างๆ เท่านั้น
เมื่อได้ศึกษาแล้วก็จะเข้าใจว่า เราจะถือเอาธรรมทุกอย่างเป็นที่พึ่งไม่ได้ เช่น จะถือเอา โลภะ โทสะ โมหะ ซึ่งเป็นอกุศลธรรม เป็นที่พึ่งไม่ได้เลย อกุศลธรรม เป็นธรรมฝ่ายดี ให้ผลเป็นทุกข์ เป็นที่พึ่งไม่ได้เลยแม้แต่น้อย แต่สิ่งที่จะเป็นที่พึ่งได้จริงๆ คือ กุศลธรรมเท่านั้น พึ่งไ้ด้ตั้งแต่ขั้นต้นจนกระทั่งสามารถดับกิเลสได้ตามลำัดับขั้น การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ แล้วน้อมปฏิบัติตามพระธรรม ย่อมจะเป็นหนทางที่ทำให้พบที่พึ่งที่แท้จริง อันเป็นที่พึ่งอย่างประเสริฐ ที่จะสามารถดับกิเลส อันเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ ความเดือดร้อนทั้งปวงได้ในที่สุด ครับ
ขอเชิญคลิกอ่านพระสูตร และ ข้อความโดยสรุปของพระสูตรนี้ ได้ที่นี่ครับ
อัตตทีปสูตร ... วันเสาร์ที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๕๔
...ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณหมอ และทุกๆ ท่านครับ...
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณคำปั่น และ ทุกๆ ท่านครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศจิตของทุกท่านครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาทุกท่านครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ