สถานที่สนทนาธรรม
หัวข้อการสนทนาธรรม
บรรยากาศภายในหอประชุม
คุณโจ ผู้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการจัดสนทนาธรรม
ก่อนอื่นต้องขออนุโมทนาคุณโจ (รูปบน) ครับ ที่ได้ให้ข้าพเจ้ายืม DVD มา เพื่อใช้ในการพิมพ์เพื่อตีแผ่การแสดงธรรมะที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ท่องเว็บไซด์ท่านอื่นๆ ที่มีอัธยาศัยในการศึกษาธรรมะในอีกรูปแบบหนึ่ง DVD แผ่นนี้เป็นการตอบปัญหาธรรมะโดยท่านอาจารย์สุจินต์และคณะวิทยาการ ได้แก่ อาจารย์นิภัทรและอาจารย์ธิดารัตน์ ที่มีประโยชน์มาก ควรค่าแก่การศึกษาจริงๆ ซึ่งก็จะได้นำเสนอเป็นตอนๆ ไปครับ
นามสกุลของท่านอาจารย์พิมพ์สลับกันไปนิดแต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคใดๆ ต่อการฟังพระธรรมครับผู้มีปัญญาท่านรู้ตามความเป็นจริงของโลกธรรมไม่ติดในชื่อมากเกินไป ไม่ถูกชื่อครอบงำย่ำยีจิต
ชีวิตคืออะไร?
ท่านอาจารย์ : ชีวิตก็คือขณะนี้ค่ะ ไม่ใช่ขณะอื่นนะคะ กำลังนั่งอยู่ที่นี่ แล้วก็มีเห็น ถ้าไม่มีเห็นจะมีชีวิตมั้ย แล้วก็มีได้ยิน ขณะที่กำลังได้ยินก็คือขณะหนึ่งของชีวิต ขณะที่กำลังคิดนึก ทุกๆ ขณะตั้งแต่เกิดจนตาย นั่นคือชีวิต แต่ข้อสำคัญก็คือว่า แม้ว่าจะเป็นชีวิตนะคะ แต่ก็ไม่รู้ว่าชีวิตคืออะไร ยังคงมีความไม่รู้ค่ะ
เพราะฉะนั้นที่ถาม .. (ท่านอาจารย์หันกลับไปดูข้อความบนหน้าจอ) เราเกิดมาจากไหน? พอจะได้คำตอบหรือยังคะ เราเกิดมาจากความไม่รู้ค่ะ ถ้ารู้จริงๆ จะไม่เกิด เพราะฉะนั้น แต่ละคนที่เกิดมา ต้องมาจากความไม่รู้ แม้แต่ผู้ที่จะตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระชาติสุดท้าย เมื่อเกิดขณะแรกก็ยังคงมีความไม่รู้ เพราะฉะนั้น เมื่อได้เกิดมาแล้ว จากการที่ได้สะสมความเข้าใจที่ได้บำเพ็ญมา จึงสามารถที่จะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าและทรงตรัสรู้ความจริงทั้งหมด เช่นขณะนี้หละค่ะ คนที่ไม่ได้ฟังพระธรรมเลยนะคะ ก็จะคิดว่าชีวิตนั้นคือเรา นะคะ แต่ว่าตามความเป็นจริงแล้ว ถ้าไม่มีธรรมะคือ ไม่มีเห็นเลย ไม่มีได้ยิน ไม่มีได้กลิ่น ไม่มีลิ้มรส ไม่มีการรู้สิ่งที่กำลังกระทบสัมผัส ไม่มีการคิดนึกใดๆ นะคะ จะมีเราหรือว่าจะมีชีวิตมั้ย เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า ชีวิตก็คือในขณะนี้เอง ตั้งแต่เกิดจนตาย แล้วก็เมื่อจากโลกนี้ไปแล้วนะคะ ก็ยังไม่จบ ตามคำถามที่ว่า ... (ต่อด้านล่าง)
ตายแล้วไปไหน?
ท่านอาจารย์ : ก็เหมือนกับเรามาจากไหน ถ้าไม่เคยเกิดก่อนในชาติก่อนๆ ๆ นะคะ ก็จะไม่มีขณะนี้ แม้ผู้ที่เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเนี่ยค่ะ ถ้าไม่เคยเกิดมาก่อนๆ ๆ ๆ เพื่อบำเพ็ญพระบารมี ก็จะไม่มีการตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เมื่อทรงตรัสรู้แล้ว ไปไหน?
สำหรับผู้ที่มีกิเลสอยู่ ต้องไปนะคะ แต่ว่าผู้ที่ดับกิเลสหมดแล้ว ก็จะไม่มีการไปอีกต่อไป เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า เกิดมาก็ไม่รู้ว่า...เพราะไม่รู้จึงเกิด และเวลาที่จะจากโลกนี้ไป ถ้ายังคงมีความไม่รู้อยู่นะคะ ก็จะต้องไปสู่ที่หนึ่งที่ใดแล้วแต่เหตุที่ได้กระทำ
เพราะฉะนั้น การที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์นะคะให้ทราบว่าเป็นผลของกรรมที่เป็นกุศลอย่างหนึ่ง แต่ถ้าจากโลกนี้ไปนะคะ ก็ไม่ทราบว่ากรรมที่ได้กระทำแล้ว ซึ่งเป็นกุศลกรรมบ้าง อกุศลกรรมบ้าง จะทำให้ไปเกิดที่ไหนต่อไปแต่เมื่อเหตุยังมี ผลก็ต้องมี
ขอกราบอนุโมทนาท่านอาจารย์ครับ
ถ้าจะกล่าวว่าชีวิตคือการเรียน รู้เรียนรู้สิ่งที่ปรากฏขณะนี้ทางตา.....ใจ.และตราบใดที่ยังมีชีวิตก็ยังเรียนรู้ไม่จบ.ถูกต้องไหมคะ?
จะคิด-ตอบโดยนัยไหนก็ได้ครับ ถ้าหากว่า ความคิดนั้นถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ก็เป็นกุศลจิตที่ประกอบไปด้วยปัญญาครับแต่ถ้าหากจะให้ถูกที่สุด จะไม่จบอยู่ที่เพียงการคิดครับ จะต้องถึงการประจักษ์แจ้งแทงตลอดในสภาพธรรมตามความเป็นจริงที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ดับความสงสัยในความจริงของชีวิต บรรลุถึงความเป็นพระอริยเจ้าได้ จึงจะสามารถเข้าใจความหมายของคำว่าชีวิตจริงๆ เพราะเหตุว่า มีการเข้าถึงตัวจริงของชีวิตด้วยปัญญาว่า ชีวิตเป็นแต่เพียงจิตหนึ่งขณะๆ ๆ ๆ ที่เกิดดับสืบต่อกันไปตามเหตุปัจจัย สามารถเห็นแจ้งในความจริงของสังขารธรรมทั้งหลายที่เป็นธรรมแห่งชีวิตนั้นว่า มีแต่ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นอนัตตาครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ..ที่กรุณาขยายความเพื่อให้เข้าใจยิ่งขึ้น.
ขออนุโมทนา... ขณะใดที่สติไม่เกิด ขณะนั้นก็คือไม่รู้ไม่ระลึกค่ะ
ได้มีโอกาสอยู่ ณ ที่ตรงนั้นด้วยค่ะ ปลื้มใจ ในการบรรยายธรรมจากท่านอาจารย์มากๆ อนุโมทนา
ขออนุโมทนาค่ะ
กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์ และขออนุโมทนาทุกท่านค่ะ
สำหรับผู้ที่มีกิเลสอยู่ ต้องไปเห็นอีก ได้ยินอีก ได้กลิ่นอีก.....ไม่มีวันสิ้นสุดวนเวียนอยู่ในภพภูมิต่างๆ แล้วแต่กุศลกรรมหรืออกุศลกรรมใดให้ผล
เราเกิดมาจากไหน? เกิดมาจากความไม่รู้ เพราะความไม่รู้จึงได้กระทำกุศลกรรมต่างๆ และอกุศลกรรมต่างๆ ซึ่งเป็นเหตุปัจจัยให้ต้องไปเห็นอีก ได้ยินอีก ได้กลิ่นอีก ได้ลิ้มรสอีก ได้กระทบสัมผัสอีกวนเวียนอยู่ในสังสารวัฎฎ์ จนกว่าจะละความไม่รู้ดับกิเลสเป็นสมุจเฉทค่ะ
กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ค่ะ
ผู้ที่ไม่เข้าใจธรรม จะกลัวการตาย แต่ผู้ที่เข้าใจธรรมว่าเป็นธรรม จะกลัวการเกิด
ชีวิตเป็นของน้อยนิด อย่าประมาท มีโอกาสควรศึกษาพระธรรม พระธรรมช่วยได้เฉพาะผู้ที่รู้จักธรรมะจริงๆ ส่วนพระธรรมช่วยอะไรไม่ได้เลย ถ้าผู้นั้นไม่รู้จักธรรมะ อะไรเลย เพราะว่าธรรมมีอยู่ทุกขณะตรงหน้าตลอดแต่มองไม่เห็น
จะดีมั้ย ถ้าเกิดมาชาติหนึ่งที่เริ่มจะ ค่อยๆ เห็นสภาพธรรมะตามความเป็นจริง แม้ตายก็ไม่เสียชาติเกิด ในใต้พระพุทธศาสนา
ทราบจากสหายธรรมที่เชียงใหม่ว่าช่วงเวลานั้น ท่านอาจารย์มีอาการเข่าบวม เจ็บเข่า แต่ท่านอาจารย์ไม่เคยกล่าวถึงอาการนั้นเลย ท่านแสดงธรรมด้วยความเป็นปกติ สม่ำเสมอเช่นเคย ทำให้เกิดความซาบซึ้ง ในจริยาวัตรของท่านอาจารย์ (ซึ่งท่านก็ปฎิบัติตามพระพุทธเจ้า) แสดงถึงขันติธรรม ซึ่งเป็นตัวอย่างอันดีงามที่ข้าพเจ้าขอน้อมนำมาปฎิบัติและเป็นเครื่องระลึกในการเตือนตน
กราบอนุโมทนาท่านอ.สุจินต์ค่ะ
ขออนุโมทนาท่านเจ้าของกระทู้และสหายธรรมทุกท่าน
เราเกิดมาจากความไม่รู้และตายไปสู่ความไม่รู้ วนเวียนอยู่อย่างนี้มานานแล้ว และจะยังคงวนเวียนอีกต่อไป
ขอกราบอนุโมทนาท่านอาจารย์ที่แสดงคำสอนให้เราเข้าใจว่าความไม่รู้นั้น คืออะไร มีโทษอย่างไร และทางสู่การดับความไม่รู้เพื่อยุติการวนเวียนเป็นเช่นไร
ขออนุโมทนาคุณสารธรรมและทุกท่านครับ