กรรมใดบ้างให้ผลในปฏิสนธิกาล และกรรมที่ให้ผลในปวัตติกาล เพราะเหตุใดคะ
สำหรับชีวิตในชาติหนึ่งๆ แบ่งออกเป็น ๒ กาล คือ ปฏิสนธิกาล กาลหนึ่ง และปวัตติกาล อีกกาลหนึ่ง สำหรับปฏิสนธิกาล คือ ในขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นเพียงขณะเดียวเป็นปฏิสนธิกาล หลังจากนั้นทั้งหมด คือ ตั้งแต่ปฏิสนธิจิตดับไปแล้ว เป็นปวัตติกาล
ซึ่งสำหรับ กุศลกรรมบถ และ อกุศลกรรมบถ ที่ล่วงกรรมบถ ทั้งที่เป็นฝ่ายกุศล ทุกข้อ ย่อมให้ผลในปฏิสนธิกาล คือ นำเกิดเกิดปฏิสนธิจิต ได้ทั้งในสุคติภูมิ มีมนุษย์ เป็นต้น ที่เป็นปฏิสนธิกาลได้ทุกข้อ ไม่ว่าข้อใดข้อหนึ่ง ถ้าอกุศลกรรมบถ ข้อใดข้อหนึ่งแล้ว ย่อมเกิดในอบายภูมิ มีนรก เป็นต้น คือ เกิดปฏิสนธิจิตในภพภูมินรกได้ ทุกข้อและ ย่อมเกิด ปวัตติกาล คือเห็นไม่ดี ได้ยินไม่ดีได้ หลังจากเกิดแล้ว ที่เป็นปวัตติกาลด้วย ครับ ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
~ ชีวิตแบ่งออกเป็นปฏิสนธิกาลหรือปฏิสันธิกาล ตามภาษาบาลี คือ ในขณะปฏิสนธิ และเมื่อพ้นจากขณะปฏิสนธิ คือ เมื่อปฏิสนธิจิตดับแล้วตลอดไปจนถึงจุติ ชื่อว่า ปวัตติกาล เพราะฉะนั้น ในปวัตติกาลของแต่ละชีวิตก็ย่อมแล้วแต่ว่ากรรมใดจะให้ผลในขณะไหน โดยที่ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ว่า พรุ่งนี้ทุกคนกรรมใดจะให้ผล มีใครรู้ได้ไหม? น้ำจะท่วม ไฟจะไหม้ โจรผู้ร้าย สารพัดอย่าง โรคภัยที่จะเกิดขึ้น ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้เลย แต่ให้ทราบว่าวิบากทั้งหลายที่จะเกิดขึ้นก็ย่อมเกิดขึ้นได้เพราะแต่ละกรรม
อ้างอิงจาก ...ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๗๖
ผลของกรรมที่เกิดขึ้น ต้องมาจากเหตุ คือ กรรมที่ได้กระทำแล้วเท่านั้น ซึ่งการให้ผลของกรรม เราไม่สามารถจะรู้ได้ว่า กรรมใด ให้ผลเมื่อใด ประการที่สำคัญที่ควรจะได้พิจารณา คือ ในชีวิตของแต่ละคนที่เกิดมาก็มีสองส่วนใหญ่ๆ คือ ส่วนหนึ่งเป็นผลของกรรม และ อีกส่วนหนึ่ง เป็นเหตุ คือ กรรมที่จะทำให้เกิดผลในภายหน้า
กรรมของใครก็เป็นของคนนั้น จะแบ่งปันให้กันไม่ได้ ไม่เหมือนกับทรัพย์สมบัติที่จะพอจะแบ่งปันให้คนอื่นได้, บุคคลผู้ที่กระทำทุจริตกรรม ทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ ถึงแม้ว่าหนีไปอยู่ ณ สถานที่แห่งใดด้วยความมุ่งหมายว่าจะทำให้ตนเองรอดพ้นจากการให้ผลของอกุศลกรรม ก็ย่อมไม่สามารถที่จะรอดพ้นจากการให้ผลของอกุศลกรรมไปได้เลย อกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้ว ก็จะต้องให้ผล แล้วแต่ว่าจะให้ผลมาก เผ็ดร้อน หนักเบา ก็ตามควรแก่อกุศลกรรมนั้นที่ตนได้กระทำแล้วนั่นเอง ซึ่งไม่มีใครทำให้เลย ขึ้นอยู่กับกรรมที่ตนเองได้กระทำไว้แล้วอย่างเดียว จะโทษใครก็ไม่ได้ ส่วนกุศลกรรม ก็มีนัยตรงกันข้าม ย่อมให้ผลเป็นผลที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เท่านั้น
การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ในชีวิตประจำวัน ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นแห่งปัญญา ผู้ที่ได้ศึกษาพระธรรมคำสอนในทางพระพุทธศาสนา ย่อมจะเป็นผู้มีความเข้าใจว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับบุคคลแต่ละคน หรือแม้กระทั่งเกิดกับตัวเองไม่ว่าดีหรือร้าย น่าปรารถนาหรือไม่น่าปรารถนาก็ตาม ล้วนแล้วแต่เป็นเพราะกรรมที่เคยได้กระทำมาแล้วทั้งสิ้น ไม่มีใครทำให้เลย ซึ่งจะเห็นได้ว่า ถ้าไม่มีเหตุคือกรรมที่ได้กระทำมาแล้ว ผลที่จะเกิดย่อมมีไม่ได้ แต่เพราะมีเหตุคือกรรมที่ได้กระทำแล้ว เมื่อได้โอกาสที่กรรมจะให้ผล ผลจึงเกิดขึ้น ประโยชน์อยู่ที่ความเข้าใจจริงๆ ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบขอบพระคุณด้วยความเคารพค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ