มีคนรู้จักคนหนึ่งมีอาการซึมเศร้าค่ะ คือ ไม่อยากทำอะไรเลย ได้แต่นอน แต่ไม่ได้นอนหลับนะคะ คือนอนเฉยๆ บางครั้งก็เป็นนาน หลายอาทิตย์เป็นเดือนก็มี ต้องหยุดงานเป็นอาทิตย์สองอาทิตย์ คนในครอบครัวต้องช่วยกันสอดส่อง ไม่ให้อยู่คนเดียวเพราะเกรงว่าจะทำร้ายตัวเอง หมอปัจจุบันก็ให้ยาหลายชนิดแล้วแต่ก็ยังไม่หาย อาการซึมเศร้านี้จะเป็นสลับกับอาการไฮเปอร์ คืออยากทำกิจกรรมตลอดไม่อยู่นิ่ง บางครั้งก็ใจร้อน อาการที่ว่ามานี้เป็นอาการของโรคชนิดหนึ่งซึ่งจำชื่อไม่ได้แล้ว ตอนนี้คนในครอบครัวเขาก็เป็นทุกข์มากเพราะไม่รู้จะรักษาอย่างไร ถ้าใครพอจะมีคำแนะนำดีๆ อะไรบ้าง ก็ยินดีนะคะ ขอบคุณค่ะ
เข้าใจว่าอาการของโรคบางชนิดต้องอาศัยเวลาในการบำบัดรักษา และควรจะใช้วิธีหลายๆ วิธี หมอปัจจุบันก็ควรให้รักษาที่ต่อเนื่อง ต้องมีคนอยู่เป็นเพื่อนและมีกิจกรรมให้ทำตามสมควร ที่ขาดไม่ได้ก็คือ ให้ฟังธรรมะ ต้องใจเย็นๆ ค่อยๆ ดูแลรักษาไปเรือยๆ อาจจะต้องดูแลรักษากันตลอดชีวิต แต่ถ้ารักษาอย่างถูกวิธีจะทำให้เขามีอาการดีขึ้นและดูแลตัวเองได้ระดับหนึ่ง ก็ขอเป็นกำลังให้นะครับ ในเมื่อเขาเกิดมาเป็นญาติของเราแล้วก็ควรทำการสงเคราะห์ญาติตามสมควรแก่ฐานะ พระธรรมของพระพุทธเจ้าทรงแนะนำให้สงเคราะห์ญาติ เพราะการสงเคราะห์ญาติเป็นมงคลอย่างหนึ่ง ในมงคล ๓๘ ครับ
ผู้ป่วยประเภทนี้คงยังต้องอาศัยการรักษาจากแพทย์แผนปัจจุบันอยู่ค่ะ เพราะสาเหตุของโรคอาจเนื่องมาจากความไม่สมดุลย์ของระดับสารเคมีในสมองด้วย ทำให้มีผลกระทบอย่างมากกับสภาพจิตใจและร่างกาย นอกจากนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การดูแลเอาใจใส่ด้วยความเข้าใจและความอดทนจากญาติพี่น้องที่ใกล้ชิดค่ะ และการดูแลจะได้ผลยิ่งขิ้นเมื่อเรามีความเข้าใจในพระธรรมด้วย สามารถช่วยเกื้อกูลถ่ายทอดธรรมให้ผู้ป่วยได้ตามโอกาสในช่วงที่เขาจะรับได้ เป็นการสงเคราะห์ญาติทั้งทางโลกและทางธรรม เป็นการสงเคราะห์ตนในเรื่องความเมตตาและความอดทนด้วย และเป็นการช่วยละคลายความทุกข์ของหลายฝ่ายด้วยค่ะ.....
ตามทฤษฎีดูง่ายค่ะ แต่ทางปฏิบัติทำได้ยากทีเดียว ต้องประกอบด้วยเมตตาและความอดทนอย่างสูงค่ะ ขอให้กำลังใจจริงๆ
อยู่ในตระกูล โรคประสาทเช่น BIPOLAR DISORDER (manic- depressive disorder) ข้อมูลเรื่องอาการและวิธีรักษาค้นได้ในกูเกิ้ลค่ะ.
ต้องพบจิตแพทย์ต้องรักษาแต่เนิ่นๆ เป็นอาการของโรค ไม่ใช่แกล้งทำแต่สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างมีคุณภาพดีพอสมควรหากอยู่ในความดูแลของจิตแพทย์ส่วนใหญ่ต้องทานยาตลอดชีวิต.
ต้องนอนให้เพียงพอ โดยเฉพาะตอนกลางคืนต้องไม่เครียดหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่เครียด ต้องทานยาให้ตรงเวลาและสม่ำเสมอตามแพทย์สั่ง.
จิตบำบัดที่ดีที่สุดคือ การฟัง หรือ อ่านพระธรรมหากน้อมนำพระธรรมมาได้ และเข้าใจเรื่องกรรมและผลของกรรมมั่นคงในเรื่องของกรรมและเหตุปัจจัย รู้ว่า สติปัฏฐาน หมายความว่าอย่างไร แม้จะต้องเผชิญกับอาการ "เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย" ก็ไม่ถึงกับรุนแรงและอันตราย. ขึ้นอยู่ที่ว่าผู้ป่วย ได้สั่งสมบุญ มาในอดีตหรือไม่มีอัธยาศัย ในการฟังพระธรรม หรือไม่หากฟังพระธรรม แล้วเข้าใจเขาจะได้รับยาขนานเอกคือ "ธรรมโอสถ" และสามารถอยู่กับอกุศลวิบากคือ โรคร้ายได้อย่างปกติและมีคุณภาพชีวิตที่ดีสามารถทำงานบางอย่างที่ไม่เครียดได้
โดยเฉพาะ"การศึกษาพระธรรม" "ธรรม รักษา ผู้ประพฤติธรรม"
คงต้องค่อยๆ ดูแล และเอาใจใส่เขาให้ดีครับ กว่าจะอาการดีขึ้น คงต้องอาศัยปัจจัยหลายๆ อย่างแต่ถ้าผู้ดูแลเข้าใจพระธรรม ก็จะมีความมั่นคงในผลของกรรมว่า. ถ้าเป็นผลของกุศลจริงๆ จะไม่มีทางทำให้เขาต้องเป็นอย่างนี้ได้เลย ผลที่ไม่ดีที่เขาได้รับนั้นมาจากการกระทำเหตุที่ไม่ดีในอดีต แต่ผลที่ดีที่ยังทำให้มีผู้อยู่ดูแลเคียงข้างไม่ถูกทอดทิ้งนั้นมาจากกระทำที่ดีครับ เหตุนี้ กุศลจึงเป็นเหมือนญาติ เพราะคอยตามพะเน้าพะพอช่วยเหลือจุนเจือผู้กระทำบุญอยู่ทุกๆ ชาติไปจริงๆ เราเองก็ไม่พึงประมาทในการเจริญกุศลแม้เพียงน้อยเลย
...ขออนุโมทนาครับ...
โรคซึ่มเศร้าเป็นโรคยอดนิยมเป็นกันมากเป็นร้อยๆ ล้านคนไม่ว่าชนชาติไหน ในอเมริกามีการทำสารคดีเกียวกับโรคนี้เช่นของ opra winfrey นักจัดรายการ ทีวี ชื่อดังของอเมริกา คนที่เป็นมีทุกอาชีพ เป็นตัวตลก นักร้องแผ่นเสียงทองคำ นักสังคมสงเคราะ ทุกอาชีพๆ ๆ หมอยังหาสาเหตุไม่เจอ ถ้าอาการยังน้อยก็ยังพอทำงานได้ เช่นตัวตลกในละครสัตว์แต่พอแสดงจบก็มานั่งซึ่มเศร้า ถ้าอาการมากก็จะทำอะไรไม่ได้เลย เช่น คนที่รู้จักคนนี้ คนที่เป็นโรคนี้น่าสงสารมาก ในขณะที่เขานั่งซึ่มเศร้าถามเขาว่าเป็นอะไรเขาตอบว่าเขาก็ไม่รู้แต่นั่งเศร้า ขอแสดงความคิดเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับสาเหตุของโรคนี้อาจจะผิดก็ได้เพราะไม่ใช่หมอ สหายธรรมที่เรียนธรรมะก็รู้ว่า มี โลภะ โทสะ โมหะ สาเหตุของโรคนี้น่าจะเป็นโทสะ เพราะอาการต่างๆ ฟ้อง ทุกคนมี โทสะแต่ถ้าสะสมจนมีกำลังมากๆ เข้าก็จะพัฒนาเป็นซึ่มเศร้า ถ้าความคิดนี้ถูก การดูแลผู้ป่วยก็ต้องเกี่ยวกับการลดหรือกำจัดโทสะ จะเห็นได้จากว่ามีการเป็นห่วงว่าผู้ป่วยจะฆ่าตัวตาย ก็มีแต่โทสะเท่านั้นที่เป็นเหตุ ถ้าดูแลดีๆ โรคนี้รักษาหายได้เพราะมีผู้รักษาหายมาแล้ว และผู้ที่ป่วยโรคนี้ด้วยกันที่หายแล้วจะสงเคราะผู้ที่ป่วยอยู่ได้ดีจริงๆ ผู้ป่วยเป็นโรคนี้จะวิงวอนให้คนรอบข้างช่วยเขาด้วยและถ้าเราเป็นคนรอบข้างก็จะสงสาร ผมเคยสนทนาเรื่องนี้กับคุณติ้มที่ มศพ และแนะนำคุณติ้ม (คุณสุพิน) ให้เขียนหนังสือโดยอาศัยความรู้ทางธรรมะ รับรองขายดีแน่นอนเพราะหนังสือในท้องตลาดเนื้อหาสู้ที่มาจากธรรมไม่ได้ แต่ทุกคนก็รู้การเขียนหนังสือไม่ง่ายต้องขันติ ถ้าใครสนใจและเขียนได้เชิญเลย ครับ
ผู้ดูแลที่ดี จะต้องมีความรัก ความเมตตา ความอดทน ความเข้าใจต่อผู้ป่วยเป็นอย่างมาก เพราะการดูแลไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผู้ที่ไม่มีใจรักค่ะ
สำหรับกรณีนี้ การดูแลย่อมเป็นหน้าที่ของผู้ที่ใกล้ชิด และเข้าใจผู้ป่วยเป็นอย่างดี การรักษาเป็นหน้าที่ของจิตแพทย์ ทั้งสองอย่างต้องควบคู่กันไปโดยใช้ระยะเวลานานพอควรค่ะ ควรหากิจกรรมที่ผู้ป่วยชอบเพื่อผ่อนคลาย ดึงความสนใจจากโลกส่วนตัวของผู้ป่วย เมื่อผู้ป่วยมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น ก็ค่อยๆ เอาธรรมะสอดแทรกเข้าไปในชีวิตประจำวัน โดยเริ่มต้นจากเรื่องง่ายๆ ก่อนนะคะ ถ้าผู้ป่วยได้สั่งสมมาบ้าง ก็คงจะช่วยให้สุขภาพใจและกายดีขึ้นตามลำดับ
ขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้คุณนะคะ ...โชคดีค่ะ ...
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ขออนุโมทนาในกุศลของทุกท่านครับ ที่เอื้อเฟื้อด้วยกุศลธรรมด้วยคำแนะนำที่ดี
คงต้องช่วยกันเท่าที่ทำได้ ศึกษาสาเหตุของโรคนี้ให้ดี ที่สำคัญรู้จักบุคคลนั้นว่าเขาขาดอะไรในบางสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นความอบอุ่นหรือเพื่อนทุกอย่างแก้ไขได้ แต่ต้องค่อยๆ แก้ครับ
และขอให้สำเหนียกไว้เสมอว่าตัวท่านก็เคยเป็นอย่างนี้แล้วในอดีตและอนาคตก็ต้องเป็นอย่างนี้เช่นกัน เมื่ออกุศลกรรมให้ผลน้อมนำมาที่ตัวเอง ไม่ประมาทในการเจริญกุศลทุกประการ ไม่ประมาทในอกุศลแม้เล็กน้อย อบรมศึกษาพระธรรม ขออนุโมทนาในกุศลที่สงเคราะห์ญาติครับ
พึงปรารภความเพียรในประโยชน์ของสัตว์นั้นๆ
พึงอดกลั้นสิ่งทั้งปวงมีสิ่งที่น่าปรารถนาและไม่น่าปรารถนาเป็นต้น.
พึงไม่พูดผิดความจริง.
พึงแผ่เมตตาและกรุณาแก่สัตว์ทั้งปวงโดยไม่เจาะจง.
การเกิดขึ้นแห่งทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งจะพึงมีแก่สัตว์ทั้งหลาย
พึงหวังการเกิดขึ้นแห่งทุกข์ทั้งปวงนั้นไว้ในตน. (จริยาปิฏก เล่ม 74 หน้า 642)
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ให้หาหมอรักษา ให้ความเป็นเพื่อน ให้เวลาดูแลเขาเป็นพิเศษ ให้ความรักความอุ่นกับเขา ภัยในสังสารวัฏฏ์นี่น่ากลัวจริงๆ ทำให้เราวนเวียนอยู่กับกิเลส กรรม วิบาก ถ้าประมาท ไม่เจริญกุศล โดยเฉพาะเจริญมรรคมีองค์แปด ก็ไม่มีทางออกจากวัฏฏ์สงสารนี้ได้เลยค่ะ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ขอขอบพระคุณและอนุโมทนากับคำแนะนำที่ดีและกำลังใจที่มอบให้ของทุกท่านค่ะ ตอนนี้ ทางครอบครัวของเขาก็พยายามดูแลช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ถ้าจะพาเขามาฟังธรรมที่มูลนิธิฯนี่ จะเป็นการฝืนใจเกินไปสำหรับเขาหรือเปล่าคะ เพราะเขาจะไม่อยากพูดคุยหรือพบปะใคร ไม่อยากไปไหนเวลาที่มีอาการซึมเศร้า และได้เคยให้ซีดีของท่านอาจารย์ไปลองฟัง ไม่แน่ใจว่าได้ฟังหรือยังเพราะเห็นภรรยาของเขาบอกว่ายากค่ะ ภรรยาเขาก็เคยพาไปที่วัดก็อยากกลับบ้าน...
ขออนุโมทนาผู้ตอบทุกท่าน
และรวมทั้งผู้ถาม คุณ Natnicha ด้วยครับ
ตอบความคิดเห็นที่ ๑๐ ค่ะ
อาจแนะนำให้ภรรยาฟังจากซีดีธรรมะที่บ้าน ในขณะที่ดูแลผู้ป่วยไปพร้อมๆ กัน อาจช่วยให้ได้ประโยชน์แก่ผู้ดูแล แก่ผู้ป่วยและแก่คนในบ้านด้วยค่ะ ผู้ที่ใกล้ชิดที่สุดจะเป็นผู้ที่ผู้ป่วยไว้วางใจที่สุด มักจะมีคำถามต่างๆ ที่เกี่ยวกับชีวิตและความตายและจะระบายความรู้สึกให้ฟัง ภรรยาอาจจะใช้จุดนี้ในการค่อยๆ น้อมนำชักจูงให้เข้าใจธรรมบางเรื่องตามความเหมาะสมค่ะ....
ส่วนการไปวัดหรือไปในที่ที่มีคนพลุกพล่าน ยังไม่ควรกระทำบ่อยๆ ค่ะ เพราะจะเป็นการเพิ่มความเครียดและผล้กดันให้เขาถอยเข้าไปอยู่ในความซึมเศร้าซึ่งเขาคิดว่าเป็นโลกที่ปลอดภัยของเขาเพิ่มขี้นไปอีก ซึ่งเป็นอาการหลักอย่างหนึ่งของโรคนี้ ทำให้การรักษาไม่ได้ผลเท่าที่ควรค่ะ
ขอให้กำลังใจอีกทีค่ะ ขออนุโมทนาคุณ Natnicha และทุกๆ ท่านค่ะ
พระสัทธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไม่ใช่จะฟังแล้วเข้าใจได้ง่ายๆ ค่ะ โดยเฉพาะเวลาที่อกุศลกลุ้มรุมมากๆ ควรทานยาคือ รักษาโรคทางกาย (สารเคมีในสมองไม่ปกติ) โดยการดูแลของจิตแพทย์ ให้บรรเทาในระดับหนึ่งก่อน ประมาณสัก ๒ อาทิตย์อาการจะค่อยๆ ดีขึ้น ถ้าได้ยาที่ถูกกับโรคบางรายอาจต้องลองยาอยู่นาน กว่าจะพบยาที่ถูกกับโรคเพราะร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกันเช่นยาตัวเดียวกันบางคนทานได้ผล บางคนทานแล้วแพ้ยาก็มี ถ้าดูแลดี สิ่งแวดล้อมเป็นสัปปายะ ทานยาสม่ำเสมอจนอาการดีขึ้นแล้ว เช่น ทานได้ นอนหลับ ทำงานได้เป็นปกติ ค่อยแนะนำให้ศึกษาพระธรรม ด้วยความสมัครใจ เพราพระธรรมไม่สาธารณะ เขาต้องมีอัธยาศัยในทางธรรมด้วย.
ช่วงเวลาที่เขาพูดรู้เรื่อง หมายถึง อาการทางกายบรรเทาลง ท่านผู้ถามอาจเกื้อกูลเขาได้ด้วยการแนะนำว่าเจริญกุศลทุกประการ แล้วจะเห็นคุณค่าของกุศลว่าในขณะที่กุศลจิตเกิด จิตใจจะเบา อ่อนโยน สงบ มีความแตกต่างจากขณะที่ จิตหนักอึ้งไปด้วยความเศร้าอย่างไร?
แนะนำให้เห็นความแตกต่างระหว่างกุศล และอกุศลด้วยตัวเขาเอง. แต่ต้องไม่ลืมว่า โลกธรรมนั้นวนเวียนอยู่เสมอดีขึ้นได้ก็แย่ลงอีกได้ เพราะไม่หายขาด ถ้ามีเหตุปัจจัยขนาดคนปกติยังอารมณ์แปรปรวนได้เลยค่ะ (แต่หายเองได้) คงไม่ต้องพูดถึงคนที่ป่วยเป็นโรคนี้ ว่ามีความเสี่ยงมากกว่าจึงควรระวังเรื่องเหตุปัจจัยให้มาก เท่าที่จะระวังได้ดูแลเรื่องการนอนให้ดี อย่าอดนอน อย่าดื่มเหล้า.
อาการดีเพรส (depressive) ช่วงเวลาที่รุ้สึกแย่หายไป อาการแมเนีย (manic) ช่วงเวลาที่แอคทีฟผิดปกติ มักจะมาแทนถ้าไม่ได้ทานยารักษาระดับฮอร์โมนที่ผิดปกติให้คงที่ก็จะ "เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย" "ไม่ซึมก็ซ่าส์" วนเวียนอยู่อย่างนี้จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องอยู่ในการดูแลของจิตแพทย์ทานยาให้สม่าเสมอ เพราะเป็นโรคเรื้อรังและไม่หายขาด มีปัจจัยเมื่อไหร่อาการก็กำเริบอีกค่ะ มีผู้ป่วยหลายราย ที่ยังพอประทังชีพอยู่กับโรคนี้ได้ด้วยการศึกษาพระธรรม หากไม่ฆ่าตัวตายหนีความจริงไปเสียก่อนเพราะโรคนี้เป็นแล้วไม่ตาย แต่จะทุกข์ใจมากจนอยากตาย.
สาเหตุของโรคนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะรู้ได้แน่ชัด ได้แต่คาดคะเนกันไป แต่ที่แน่ๆ เมื่อเป็นแล้วก็รักษากันไปตามอาการและให้อาหารเสริมที่ดีที่สุดคือ พระธรรม ที่ไม่เพียงเป็นผลดีต่อชีวิต ที่เหลือในชาตินี้แต่ยังเป็นเหตุสะสมเป็นปัจจัยที่ดี ที่จะติดตามไปในชาติต่อๆ ไปด้วย. หากไปได้ไกลจนสุดทาง "มรรค" แล้วก็เป็นวิธีเดียวที่จะไม่ต้องกลับมาเกิดอีกและเป็นโรคนี้ หรือโรคใดๆ อีกเลยค่ะ.
ธรรม รักษา ผู้ประพฤติธรรม.ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ
เป็นอกุศลนั่นเอง............อนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาคุณ natnicha และในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ขออนุโมทนาทุกความเห็นค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ เราคงเป็นผู้มีภัยในชีวิต
"ไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ"
ขอขอบพระคุณกำลังใจจากทุกท่านนะคะ
มีข้อสงสัยอีกอย่างหนึ่งค่ะ ได้อ่านรายละเอียดของโรคชนิดนี้ พบว่ามีสาเหตุมาจากความผิดปกติของสมอง การทำงานของสมองและสารเคมีในสมองที่ทำหน้าที่สื่อสารระหว่างเซลล์ประสาทแปรปรวนไป แต่ทางพุทธศาสนาสมองเป็นเพียงรูป อย่างเช่นความคิดเห็นที่ ๕ ที่กล่าวว่า สาเหตุน่าจะเกิดจาก การสะสมอกุศล โทสะ โลภะ โมหะ
จึงอยากทราบว่า อะไรคือสาเหตุที่แท้จริงของโรคคะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
โรคที่ป่วยทางจิต ชื่อก็บอกแล้วว่าป่วยทางจิต ดังนั้นเกิดจากความวิปลาสของจิตที่เห็นคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงอย่างมาก คืออกุศลจิตเกิดบ่อยๆ และมีกำลัง จึงสามารถแสดงความผิดปกติอย่างมากออกมาทางกายซึ่งต้นเหตุก็คือกิเลสนั่นเอง หากไม่มีกิเลส อกุศลจิตก็เกิดไม่ได้ และอีกประเด็นหนึ่งเพราะวิบากกรรมที่ป็นผู้เสพสุราเมรัยให้ผล วิบากอย่างเบาที่สุดทำให้บุคคลนั้นเป็นบ้า แต่ก็เพราะบ้าได้ก็เพราะมีกิเลสอีกนั่นเองครับ โดยสูงสุดรากเหง้าคือ ความไม่รู้ เพราะอวิชชา กิเลสประการต่างๆ จึงตามมาและทำให้เกิดอกุศลจิตประเภทต่างๆ ที่สำคัญขณะที่อกุศลจิตเกิด ทุกท่านก็วิปลาสแล้วเพียงแต่ไม่มีกำลังถึงขนาดคนบ้านั่นเอง ไม่ประมาทในการอบรมปัญญานะครับ อนุโมทนา
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
โรคประสาท ไม่ใช่โรคจิตค่ะ โรคประสาทนั้น ผู้ป่วยยังรู้ตัวว่าป่วย แต่โรคจิต ผู้ป่วยไม่รู้ตัวว่าป่วย.
ผู้ที่รู้ว่าวิบากนี้มีสาเหตุมาจากกรรมอะไรมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น
ต้องขอประทานโทษนะคะ....ที่จะกล่าว! คิดไป ก็ไม่ได้คำตอบทีแท้จริงแต่ที่แน่ๆ
อกุศลวิบาก ทุกประการต้องมีสาเหตุมาจาก อกุศลกรรม แน่นอนนี่คือสัจธรรม ที่ควรพิจารณารู้เพื่ออะไร? เพื่อไม่ประมาท ในเรื่องของกรรมตามที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ตลอด ๔๕ พรรษาและศึกษาได้จากในพระไตรปิฎกโดยอาศัยกัลยาณมิตร ผู้มีปัญญาเพื่อความไม่คลาดเคลื่อนในอรรถะเพราะพระธรรมลึกซึ้งไม่ใช่จะเข้าใจได้ง่ายและหากหลงทาง เข้าใจผิดก็ไม่มีทางที่จะได้พบกับพระธรรมที่แท้จริงเลย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การดื่มน้ำเมาคือ สุราและเมรัยอันบุคคลเสพแล้ว เจริญแล้ว กระทำไห้มากแล้ว ย่อมยังสัตว์ให้เป็นไปในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย
วิบากแห่งการดื่มสุราและเมรัยอย่างเบาที่สุด ย่อมยังความเป็นบ้าให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์. (สัพพลหุสสูตรที่ ๑๐) ดังนั้นสาเหตุที่แท้จริงเพราะมีอกุศล มีกิเลส เพระถ้าไม่มีกิเลสแล้วก็จะไม่เกิด เพราะมีกิเลสจึงเกิด จึงมีขันธ์ 5 มีการทำอกุศลกรรมและได้รับวิบากกรรมครับ ขออนุโมทนา
อนุโมทนาค่ะ