ผู้ที่ปฏิสนธิด้วยติเหตุกะในชาติปัจจุบัน (ประวัติกาล) เพราะอะไรครับ จะกล่าวได้ว่า เพราะชาติที่ผ่านมา จิตของเกิดกุศลญานสัมปยุตก่อนตาย (จุติจิต) เช่น ฟังธรรมเข้าใจก่อนตาย ใช่หรือไม่ครับ ขอให้ช่วยยกตัวอย่างด้วยครับ
ขอขอบพระคุณล่วงหน้าครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ผู้ที่ปฏิสนธิจิตเป็นผลของกรรมที่ประกอบด้วยปัญญา และปฏิสนธิจิตมีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วยนั้น เป็นติเหตุกบุคคล เพราะมีเหตุ ๓ คือ มีอโลภเจตสิก อโทสเจตสิก และปัญญา (อโมห) เจตสิกเกิดร่วมด้วย บุคคลนั้นเมื่อได้ฟังพระธรรมก็สามารถพิจารณาเข้าใจพระธรรม และสามารถอบรมเจริญปัญญาจนบรรลุฌานจิต หรือ รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ๔ บรรลุมรรค ผล นิพพานเป็นพระอริยบุคคลในชาตินี้ได้ตามควรแก่การสะสมของเหตุปัจจัย
ซึ่งเหตุให้เกิดเป็นติเหตุกบุคคลก็เพราะกุศลกรรมที่ประกอบด้วยปัญญาให้ผล ซึ่งก็แล้วแต่ว่า จะเป็นกุศลกรรมที่ประกอบด้วยปัญญาในชาติก่อนหรือชาติไหนๆ ก็ได้ในอดีตชาติ เช่น ขณะที่มีความเข้าใจถูก ในขณะที่ฟังพระธรรม เป็นต้น ให้ผล ก็ทำให้ปฏิสนธิจิตประกอบด้วยเหตุ ๓ ตามที่กล่าวมา
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เหตุย่อมสมควรแก่ผล เพราะมีการอบรมเจริญปัญญา สะสมไว้ สามารถเป็นเหตุให้เป็นผู้มีปฏิสนธิจิตที่ประกอบพร้อมด้วยปัญญาได้ แต่ถ้าไม่ได้อบรมเจริญปัญญาเลย แล้วจะมีเหตุที่ไหนมาเป็นเหตุให้มีปฏิสนธิจิตที่ประกอบพร้อมกับปัญญาได้
ติเหตุกบุคคล คือ ผู้ปฏิสนธิด้วยเหตุ ๓ คือ อโลภเหตุ อโทสเหตุ และ อโมหเหตุ คือ ปัญญา บุคคลประเภทนี้สามารถอบรมเจริญปัญญาถึงขั้นรู้แจ้งอริยสัจจธรรมในชาตินั้นได้ เพราะฉะนั้น บุคคลผู้ได้บรรลุธรรม ต้องปฏิสนธิจิตประกอบด้วยเหตุ ๓ คือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ (ปัญญา) แต่ประเด็นที่น่าพิจารณาต่อ คือ แม้จะปฏิสนธิประกอบด้วยเหตุ ๓ ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องบรรลุธรรมเสมอไป ยกตัวอย่างเช่น ท่านพระเทวทัต ปฏิสนธิด้วยเหตุ ๓ แต่เป็นผู้ถูกลาภสักการะครอบงำ กระทำอนันตริยกรรม ไปเกิดในอเวจีมหานรก
เราไม่สามารถทราบได้ว่าเราปฏิสนธิประกอบด้วยเหตุ ๒ หรือ เหตุ ๓ แต่เมื่อมีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา ก็ไม่ควรจะปล่อยโอกาสนั้นให้ล่วงเลยไป ควรอย่างยิ่งที่จะสะสมปัญญาต่อไป เพราะเราไม่สามารถที่จะรู้ได้เวลาของการฟังพระธรรม ในชาตินี้จะสิ้นสุดลงเมื่อใด ครับ
...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขออนุโมทนาครับ