ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
"ชื่อว่าจิตเพราะอรรถว่าคิด อธิบายว่า รู้แจ้งอารมณ์" คิด หมายความว่าอย่างไร เกิดขณะใด (ปัญจทวาร มโนทวาร) ต่างกับ วิตกเจตสิก อย่างไร และ รู้ ต่างกับ รู้แจ้ง อย่างไร
ขอบพระคุณที่อนุเคราะห์ให้ความรู้ความเข้าใจค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ความคิดนึก เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ที่เป็นนามธรรม คือ เป็นสภาพธรรมที่รู้อารมณ์ หมายถึงว่า เมื่อความคิดเกิดขึ้น จะต้องรู้อะไรบางอย่าง นั่นคือขณะที่มีความคิดนึกเกิดขึ้น จะต้องมีสิ่งที่ถูกคิด สิ่งที่ถูกคิด เรียกว่า อารมณ์ เพราะฉะนั้น ความคิดนึกจึงเป็นนามธรรม เป็นสภาพธรรมที่รู้อารมณ์ ซึ่งความคิดนึก ก็ไม่พ้นจากนามธรรม คือ จิตเจตสิก อาศัยจิตที่เป็นใหญ่ในการรู้ ก็ทำให้มีการคิดนึก เพราะอาศัยจิต และอีกนัยหนึ่ง วิตกเจตสิกก็ทำหน้าที่ ตรึกนึกคิดได้ ครับ พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ครับว่า วิตกเจตสิก ที่เป็นสภาพธรรมที่ตรึก นึกคิด และอาศัยจิตด้วยนั้น ท่านเปรียบเหมือนเท้าของโลก คือ ก้าวไปทุกที่ ทุกเวลาได้ คิดเรื่องต่างๆ อย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้น จิตและเจตสิกเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไปอย่างรวดเร็ว และ จิต เมื่อเกิดขึ้น ก็ย่อมคิดนึก ไปในเรื่องราวต่างๆ ตามความทรงจำไว้ ที่เคยจำไว้ จำไว้ในเรื่องอะไร ก็คิดไปในเรื่องนั้น เพียงแต่ว่าจะคิดด้วยกุศล หรืออกุศล ซึ่งเพราะอาศัยกิเลสเป็นปัจจัย ก็ทำให้คิดไปในเรื่องราวต่างๆ ที่อยู่รอบตัว และคิดเรื่องตนเองก็ได้ แต่คิดด้วยจิตที่เป็นอกุศล ด้วยความฟุ้งซ่าน เพราะอาศัยเหตุ คือ กิเลสเป็นสำคัญ ครับ
ซึ่งกระบวนการ การเกิดการคิดนึก ก็อาศัยการเกิดขึ้นของจิต เจตสิก ทางมโนทวารวิถี ที่นึกคิดเป็นไปในเรื่องราวต่างๆ ตามความทรงจำ สัญญาที่จำไว้ โดยมี วิตกเจตสิกทำหน้าที่ตรึก นึกถึง ครับ
ซึ่งตามที่กล่าวแล้ว จิตและเจตสิก ทำหน้าที่คิด แต่การคิดก็ต้องเจตสิกเกิดร่วมด้วยคือ เจตสิกที่ดีเช่น ศรัทธา สติ เป็นต้น หรือ มีเจตสิกที่ไม่ดี มี โลภะ โทสะ เป็นต้นเพราะฉะนั้น การคิด ก็คิดด้วย กุศล คือ เป็นกุศลจิตที่คิดด้วยกุศลนั่นเอง เพราะมีเจตสิกที่ดีเกิดร่วมด้วยกับจิตที่คิด และบางครั้งก็คิดด้วยอกุศล คือ อกุศลจิตที่คิดเช่น คิดโกรธ คิด พยาบาท คิดชอบ ติดข้อง อันมีเจตสิกที่ไม่ดี เกิดร่วมด้วย คือ โลภะ โทสะครับ นี่ก็คือ คิดด้วย อกุศล ครับ
ซึ่งโดยมาก สัตว์โลกก็คิดด้วยกุศล อกุศลโดยมาก แต่การคิดที่ดี จะมีได้ ก็ด้วยการฟัง ศึกษาพระธรรม อันเกิดจากความเห็นถูก คือ ปัญญา เป็นปัจจัย เพราะมีความเห็นถูก ความคิดก็ถูกต้องตามความเป็นจริง และ ความคิดที่ประเสริฐสูงสุดที่จะเป็นหนทางการละกิเลสแท้จริง คือ การคิดถูกที่เข้าใจว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ก่อนอื่นก็ต้องมีความเข้าใจในความเป็นจริงของจิต ว่า จิต เป็นธรรมที่มีจริง เป็นสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมไม่ใช่รูปธรรม จิต เป็นสภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นจิตประเภทใด กุศลจิต อกุศลจิต วิบากจิต และกิริยาจิต ไม่ว่าจะเป็นจิตที่เกิดขึ้นทางทวารใด หรือ เกิดโดยไม่อาศัยทวารใดเลย มีลักษณะเดียวคือ มีการรู้แจ้งซึ่งอารมณ์เป็นลักษณะ ที่จิตมีความหลากหลายแตกต่างกันไป นั้นเพราะเจตสิกธรรมที่เกิดร่วมด้วย เพราะอารมณ์ต่างกันเป็นต้น จะเห็นได้ว่า ชีวิตประจำวัน ไม่เคยขาดจิตเลยแม้แต่ขณะเดียว มีจิตเกิดดับสืบต่อกันอย่างไม่ขาดสาย จิตขณะหนึ่งเกิดแล้วดับไป เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันที
จิต มีลักษณะเพียงรู้แจ้งซึ่งอารมณ์เท่านั้น กระทำกิจหน้าที่ของตนๆ แล้วก็ดับไป จิตเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย จิตเป็นสังขารธรรมที่เกิดขึ้นเพราะปัจจัยปรุงแต่ง ไม่ได้เกิดขึ้นเองลอยๆ เมื่อจิตเกิดขึ้นก็ต้องมีเจตสิกประการต่างๆ เกิดร่วมด้วย และมีอารมณ์ตามควรแก่จิตประเภทนั้นๆ
ประเด็นคำว่า คิด ที่เป็นอรรถของจิตนั้น ก็ครอบคลุมจิตทุกขณะ ซึ่งเป็นธรรมชาติที่รู้แจ้งซึ่งอารมณ์ เมื่อเกิดขึ้นก็ต้องรู้แจ้งอารมณ์ ตามควรแก่จิตประเภทนั้นๆ เพราะรูปธรรม รู้แจ้งอารมณ์ไม่ได้ ถ้าไม่สามารถเข้าใจในอรรถว่า คิด ก็ให้เข้าใจตามคำอธิบายว่า รู้แจ้งซึ่งอารมณ์ ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นจิตที่เกิดขึ้นรับรู้อารมณ์อะไร ก็ คิดคือ รู้แจ้งซึ่งอารมณ์นั้น
และถ้าแยกไปเป็นประเด็นที่กล่าวถึง วิตักกเจตสิก นั้น ก็ต้องเป็นสภาพธรรมที่เกิดประกอบกับจิต แต่เว้นไม่เกิดกับจิตที่เป็นจิตเห็น จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส จิตรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย นี้คือ เป็นปกติในชีวิตประจำวัน โดยที่ไม่ได้กล่าวถึงระดับขั้นฌาน เพราะระดับขั้นฌาน ที่ไม่มีวิตักกเจตสิกเกิดร่วมด้วย ก็มี
วิตักกเจตสิก เป็นธรรมที่มีจริง เป็นสภาพธรรมที่ตรึกหรือจรดในอารมณ์ เกิดกับกุศลก็ได้ หรือ อกุศลก็ได้ ถ้าตรึกไปในทางที่เป็นกุศล ก็เป็นกุศลวิตก ในทางตรงกันข้าม ถ้าตรึกไปในทางอกุศล ก็เป็นอกุศลวิตก เป็นธรรมที่มีจริง ที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย และเกิดเองเพียงลำพังไม่ได้ ก็ต้องเกิดร่วมกับจิต และเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย แม้แต่ที่กล่าวถึง คิดนึก ก็ไม่พ้นจากจิต และเจตสิกธรรมที่เกิดร่วมด้วย รวมถึงวิตักกเจตสิกด้วย แม้ไม่ได้เห็นไม่ได้ยิน เป็นต้น ก็คิดนึกได้ ประโยชน์ของการมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ก็คือ ความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นการสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย และสิ่งที่จะศึกษาให้เข้าใจนั้น ก็ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะกล่าวถึงเรื่องใดก็ตาม ก็ไม่พ้นไปจากธรรมเลย แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรม จนกว่าจะได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
"ภิกษุทั้งหลาย ! ถ้าบุคคลย่อมคิดถึงสิ่งใดอยู่ ย่อมดำริถึงสิ่งใดอยู่ และย่อมมีจิตฝังลงไปในสิ่งใดอยู่ สิ่งนั้นย่อมเป็นอารมณ์เพื่อการตั้งอยู่แห่งวิญญาณ เมื่ออารมณ์มีอยู่ ความตั้งขึ้นเฉพาะแห่งวิญญาณย่อมมี เมื่อวิญญาณนั้นตั้งขึ้นเฉพาะ เจริญงอกงามแล้ว ความเกิดขึ้นแห่งภพใหม่ต่อไปย่อมมี"
สาธุ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ