[เล่มที่ 68] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 793
จริยานานัตตญาณนิทเทส
๑๗. อรรถกถาจริยานานัตตญาณนิทเทส
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 68]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 793
จริยานานัตตญาณนิทเทส
[๑๖๕] ปัญญาในการกำหนดจริยา เป็นจริยานานัตตญาณ อย่างไร?
จริยาในบทว่า จริยา มี ๓ คือ วิญญาณจริยา อัญญาณจริยา ญาณจริยา.
วิญญาณจริยาเป็นไฉน?
กิริยาคือความนึกเพื่อต้องการดูรูปทั้งหลายเป็นอัพยากฤต เป็นวิญญาณจริยา จักขุวิญญาณอันเป็นแต่เพียงเห็นรูป เป็นวิญญาณจริยา เพราะได้เห็นรูปแล้ว มโนธาตุอันเป็นวิบากที่ขึ้นสู่อารมณ์ เป็นวิญญาณจริยา เพราะขึ้นสู่รูปแล้ว มโนวิญญาณธาตุอันเป็นวิบาก เป็นวิญญาณจริยา กิริยาคือความนึกเพื่อต้องการฟังเสียงเป็นอัพยากฤต เป็นวิญญาณจริยา โสตวิญญาณอันเป็นแต่เพียงฟังเสียง เป็นวิญญาณจริยา เพราะได้ฟังเสียงแล้ว มโนธาตุอันเป็นวิบากที่ขึ้นสู่อารมณ์ เป็นวิญญาณจริยา เพราะขึ้นสู่เสียงแล้ว มโนวิญญาณธาตุอันเป็นวิบาก เป็นวิญญาณจริยา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 794
กิริยาคือความนึกเพื่อต้องการดมกลิ่นเป็นอัพยากฤต เป็นวิญญาณจริยา ฆานวิญญาณอันเป็นแต่เพียงดมกลิ่น เป็นวิญญาณจริยา เพราะได้ดมกลิ่นแล้ว มโนธาตุอันเป็นวิบากที่ขึ้นสู่อารมณ์ เป็นวิญญาณจริยา เพราะขึ้นสู่กลิ่นแล้ว มโนวิญญาณธาตุอันเป็นวิบาก เป็นวิญญาณจริยา กิริยาคือความนึกเพื่อต้องการลิ้มรสเป็นอัพยากฤต เป็นวิญญาณจริยา ชิวหาวิญญาณอันเป็นแต่เพียงลิ้มรส เป็นวิญญาณจริยา เพราะได้ลิ้มรสแล้ว มโนธาตุอันเป็นวิบากที่ขึ้นสู่อารมณ์ เป็นวิญญาณจริยา เพราะขึ้นสู่รสแล้ว มโนวิญญาณธาตุอันเป็นวิบาก เป็นวิญญาณจริยา กิริยาคือความนึกเพื่อต้องการถูกต้องโผฏฐัพพะเป็นอัพยากฤต เป็นวิญญาณจริยา กายวิญญาณอันเป็นแต่เพียงถูกต้องโผฏฐัพพะ เป็นวิญญาณจริยา เพราะได้ถูกต้องโผฏฐัพพะแล้ว มโนธาตุอันเป็นวิบากที่ขึ้นสู่อารมณ์ เป็นวิญญาณจริยา เพราะขึ้นสู่โผฏฐัพพะแล้ว มโนวิญญาณธาตุอันเป็นวิบาก เป็นวิญญาณจริยา กิริยาคือความนึกเพื่อต้องการรู้แจ้งธรรมารมณ์ เป็นอัพยากฤต เป็นวิญญาณจริยา มโนวิญญาณอันเป็นแต่เพียงรู้แจ้งธรรมารมณ์ เป็นวิญญาณจริยา เพราะรู้แจ้งธรรมารมณ์แล้ว มโนธาตุอันเป็นวิบากที่ขึ้นสู่อารมณ์ เป็นวิญญาณจริยา เพราะขึ้นสู่ธรรมารมณ์แล้ว มโนวิญญาณธาตุอันเป็นวิบาก เป็นวิญญาณจริยา.
[๑๖๖] คำว่า วิญญาณจริยา ความว่า ชื่อว่าวิญญาณจริยา เพราะอรรถว่ากระไร?
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 795
ชื่อว่าวิญญาณจริยา เพราะอรรถว่า ประพฤติไม่มีราคะ ประพฤติไม่มีโทสะ ประพฤติไม่มีโมหะ ประพฤติไม่มีมานะ ประพฤติไม่มีทิฏฐิ ประพฤติไม่มีอุทธัจจะ ประพฤติไม่มีวิจิกิจฉา ประพฤติไม่มีอนุสัย ประพฤติไม่ประกอบด้วยราคะ ประพฤติไม่ประกอบด้วยโทสะ ประพฤติไม่ประกอบด้วยโมหะ ประพฤติไม่ประกอบด้วยมานะ ประพฤติไม่ประกอบด้วยทิฏฐิ ประพฤติไม่ประกอบด้วยอุทธัจจะ ประพฤติไม่ประกอบด้วยวิจิกิจฉา ประพฤติไม่ประกอบด้วยอนุสัย ประพฤติไม่ ประกอบด้วยกุศลกรรม ประพฤติไม่ประกอบด้วยอกุศลกรรม ประพฤติไม่ประกอบด้วยกรรมไม่มีโทษ ประพฤติไม่ประกอบด้วยกรรมไม่มีโทษ ประพฤติไม่ประกอบด้วยกรรมดำ ประพฤติไม่ประกอบด้วยกรรมขาว ประพฤติไม่ประกอบด้วยกรรมที่มีสุขเป็นกำไร ประพฤติไม่ประกอบด้วยกรรมที่มีทุกข์เป็นกำไร ประพฤติไม่ประกอบด้วยกรรมที่มีสุขเป็นวิบาก ประพฤติไม่ประกอบด้วยกรรมที่มีทุกข์เป็นวิบาก ประพฤติในอารมณ์ที่รู้แจ้งแล้ว วิญญาณมีความประพฤติเห็นปานนี้ เหตุนั้นชื่อว่า วิญญาณจริยา จิตนี้บริสุทธิ์โดยปกติ เพราะอรรถว่าไม่มีกิเลส เหตุนั้นจึงชื่อว่า วิญญาณจริยา นี้ชื่อว่าวิญญาณจริยา.
[๑๖๗] อัญญาณจริยาเป็นไฉน?
กิริยาคือความนึกเพื่อความแล่นไปแห่งราคะในรูปอันเป็นที่รัก อันเป็นอัพยากฤต เป็นวิญญาณจริยา ความแล่นไปแห่งราคะ เป็น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 796
อัญญาณจริยา กิริยาคือความนึกเพื่อความแล่นไปแห่งโทสะ ในรูปอันไม่เป็นที่รัก อันเป็นอัพยากฤต เป็นวิญญาณจริยา ความแล่นไปแห่งโทสะ เป็นอัญญาณจริยา กิริยาคือความนึกเพื่อความแล่นไปแห่งโมหะ ในวัตถุที่มิได้เพ่งเล็งด้วยราคะและโทสะทั้งสองนั้นอันเป็นอัพยากฤต เป็นวิญญาณจริยา ความแล่นไปแห่งโมหะ เป็นอัญญาณจริยา กิริยาคือความนึกเพื่อความแล่นไปแห่งมานะที่ผูกพันอันเป็นอัพยากฤต เป็นวิญญาณจริยา ความแล่นไปแห่งมานะ เป็นอัญญาณจริยา กิริยาคือ ความนึกเพื่อความแล่นไปแห่งทิฏฐิที่ยึดถืออันเป็นอัพยากฤต เป็นวิญญาณจริยา ความแล่นไปแห่งทิฏฐิ เป็นอัญญาณจริยา กิริยาคือความนึกเพื่อความแล่นไปแห่งอุทธัจจะที่ถึงความฟุ้งซ่านอันเป็นอัพยากฤต เป็นวิญญาณจริยา ความแล่นไปแห่งอุทธัจจะ เป็นอัญญาณจริยา กิริยาคือความนึกเพื่อความแล่นไปแห่งวิจิกิจฉาที่ไม่ถึงความตกลงอันเป็นอัพยากฤต เป็นวิญญาณจริยา ความแล่นไปแห่งวิจิกิจฉา เป็นอัญญาณจริยา กิริยาคือความนึกเพื่อความแล่นไปแห่งอนุสัยที่ถึงความเป็นธรรมมีเรี่ยวแรงอันเป็นอัพยากฤต เป็นวิญญาณจริยา ความแล่นไปแห่งอนุสัย เป็นอัญญาณจริยา กิริยาคือความนึกเพื่อความแล่นไปแห่งราคะในเสียง ฯลฯ ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ในธรรมารมณ์เป็นที่รักอันเป็นอัพยากฤต เป็นวิญญาณจริยา ความแล่นไปแห่งราคะ เป็นอัญญาณจริยา กิริยาคือความนึกเพื่อความแล่นไปแห่ง โทสะในธรรมารมณ์ไม่เป็นที่รักอันเป็นอัพยากฤต เป็นวิญญาณจริยา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 797
ความแล่นไปแห่งโทสะ เป็นอัญญาณจริยา กิริยาคือความนึกเพื่อความแล่นไปแห่งโมหะในวัตถุที่มิได้เพ่งเล็งด้วยราคะและโทสะทั้งสองนั้น อันเป็นอัพยากฤต เป็นวิญญาณจริยา ความแล่นไปแห่งโมหะ เป็นอัญญาณจริยา กิริยาคือความนึกเพื่อความแล่นไปแห่งทิฏฐิที่ยึดถืออันเป็นอัพยากฤต เป็นวิญญาณจริยา ความแล่นไปแห่งทิฏฐิ เป็นอัญญาณจริยา กิริยาคือความนึกเพื่อความแล่นไปแห่งอุทธัจจะที่ถึงความฟุ้งซ่านอันเป็นอัพยากฤต เป็นวิญญาณจริยา ความแล่นไปแห่งอุทธัจจะ เป็น อัญญาณจริยา กิริยาคือความนึกเพื่อความแล่นไปแห่งวิจิกิจฉาที่ไม่ถึงความตกลงอันเป็นอัพยากฤต เป็นวิญญาณจริยา ความแล่นไปแห่งวิจิกิจฉา เป็นอัญญาณจริยา กิริยาคือความนึกเพื่อความแล่นไปแห่ง นุสัยที่ถึงความเป็นธรรมมีเรี่ยวแรง อันเป็นอัพยากฤต เป็นวิญญาณจริยา ความแล่นไปแห่งอนุสัย เป็นอัญญาณจริยา.
[๑๖๘] คำว่า อัญญาณจริยา ความว่า ชื่อว่าอัญญาณจริยา เพราะอรรถว่ากระไร?
ชื่อว่าอัญญาณจริยา เพราะอรรถว่า ประพฤติมีราคะ ประพฤติมีโทสะ ประพฤติมีโมหะ ประพฤติมีมานะ ประพฤติมีทิฏฐิ ประพฤติมีอุทธัจจะ ประพฤติมีวิจิกิจฉา ประพฤติมีอนุสัย ประพฤติประกอบด้วยราคะ ประพฤติประกอบด้วยโทสะ ประพฤติประกอบด้วยโมหะ ประพฤติประกอบด้วยมานะ ประพฤติประกอบด้วยทิฏฐิ ประพฤติ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 798
ประกอบด้วยอุทธัจจะ ประพฤติประกอบด้วยวิจิกิจฉา ประพฤติประกอบด้วยอนุสัย ประพฤติไม่ประกอบด้วยกุศลกรรม ประพฤติประกอบด้วยอกุศลกรรม ประพฤติประกอบด้วยกรรมมีโทษ ประพฤติไม่ประกอบด้วยกรรมไม่มีโทษ ประพฤติประกอบด้วยกรรมดำ ประพฤติไม่ประกอบด้วยกรรมขาว ประพฤติไม่ประกอบด้วยกรรมมีสุขเป็นกำไร ประพฤติประกอบด้วยกรรมมีทุกข์เป็นกำไร ประพฤติไม่ประกอบด้วยกรรมมีสุขเป็นวิบาก ประพฤติประกอบด้วยกรรมมีทุกข์เป็นวิบาก ประพฤติในอารมณ์ที่ไม่รู้ ความไม่รู้มีจริยาเห็นปานนี้ เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า อัญญาณจริยา นี้ชื่อว่าอัญญาณจริยา.
[๑๖๙] ญาณจริยาเป็นไฉน?
กิริยาคือความนึกเพื่อต้องการพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงอันเป็นอัพยากฤต เป็นวิญญาณจริยา การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง เป็นญาณจริยา กิริยาคือความนึก เพื่อต้องการพิจารณาเห็นความทุกข์อันเป็นอัพยากฤต เป็นวิญญาณจริยา การพิจารณาเห็นทุกข์ เป็นญาณจริยา กิริยาคือความนึกเพื่อต้องการพิจารณาเห็นอนัตตาอันเป็นอัพยากฤต เป็นวิญญาณจริยา การพิจารณาเป็นอนัตตา เป็นญาณ จริยา กิริยาคือความนึกเพื่อต้องการพิจารณาเห็นความเบื่อหน่าย ฯลฯ เพื่อต้องการพิจารณาเห็นความคลายกำหนัด เพื่อต้องการพิจารณาเห็นความดับ เพื่อต้องการพิจารณาเห็นความสละคืน เพื่อต้องการพิจารณา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 799
เห็นความสิ้นไป เพื่อต้องการพิจารณาเห็นความเสื่อมไป เพื่อต้องการพิจารณาเห็นความแปรปรวน เพื่อต้องการพิจารณาเห็นความไม่มีนิมิต เพื่อต้องการพิจารณาเห็นความไม่มีที่ตั้ง เพื่อต้องการพิจารณาเห็นความสูญ เพื่อต้องการพิจารณาเห็นธรรมด้วยปัญญาอันยิ่ง เพื่อต้องการพิจารณารู้เห็นตามความเป็นจริง เพื่อต้องการพิจารณาเห็นโทษ เพื่อต้องการพิจารณาหาทาง อันเป็นอัพยากฤต เป็นวิญญาณจริยา การพิจารณาหาทาง เป็นญาณจริยา การพิจารณาเห็นความคลายออก คือ นิพพาน เป็นญาณจริยา โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผลาสมาบัติ สกทาคามิมรรค สกทาคามิผลสมาบัติ อนาคามิมรรค อนาคามิผล สมาบัติ อรหัตตมรรค อรหัตตผลสมาบัติ เป็นญาณจริยา.
[๑๗๐] คำว่า ญาณจริยา ความว่า ชื่อว่าญาณจริยา เพราะอรรถว่ากระไร?
ชื่อว่าญาณจริยา เพราะอรรถว่าประพฤติไม่มีราคะ ประพฤติไม่มีโทสะ ฯลฯ ประพฤติไม่มีอนุสัย ประพฤติไม่ประกอบด้วยราคะ ประพฤติไม่ประกอบด้วยโทสะ ประพฤติไม่ประกอบด้วยโมหะ ประพฤติไม่ประกอบด้วยมานะ ฯลฯ ไม่ประกอบด้วยทิฏฐิ ไม่ประกอบด้วยอุทธัจจะ ไม่ประกอบด้วยวิจิกิจฉา ไม่ประกอบด้วยอนุสัย ประกอบด้วยกุศลกรรม ไม่ประกอบด้วยอกุศลกรรม ไม่ประกอบด้วยกรรมมีโทษ ประกอบด้วยกรรมไม่มีโทษ ไม่ประกอบด้วยกรรมดำ ประกอบด้วย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 800
กรรมขาว ประกอบด้วยกรรมมีสุขเป็นกำไร ไม่ประกอบด้วยกรรมมีทุกข์เป็นกำไร ประพฤติประกอบด้วยกรรมมีสุขเป็นวิบาก ประพฤติไม่ประกอบด้วยธรรมมีทุกข์เป็นวิบาก ประพฤติในญาณ ญาณมีจริยาเห็นปานนี้ เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่า ญาณจริยา นี้ชื่อว่าญาณจริยา วิญญาณจริยา อัญญาณจริยา ญาณจริยา ชื่อว่า เพราะอรรถว่า รู้ธรรมนั้น ชื่อว่าปัญญา เพราะอรรถว่ารู้ชัด เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาในการกำหนดจริยา เป็นจริยานานัตตญาณ.
๑๗. อรรถกถาจริยานานัตตญาณนิทเทส
๑๖๕] พึงทราบวินิจฉัยในจริยานานัตตญาณนิทเทสดังต่อไปนี้.
ในบทมีอาทิว่า วิญฺาณจริยา มีความดังต่อไปนี้ ชื่อว่า จริยา (๑) เพราะอรรถว่าประพฤติในอารมณ์. จริยาคือวิญญาณ ชื่อว่า วิญญาณจริยา.
ชื่อว่า อัญญาณจริยา เพราะอรรถว่าประพฤติด้วยความไม่รู้, หรือประพฤติเพราะความไม่รู้, หรือประพฤติในอารมณ์ที่ไม่รู้, หรือประพฤติซึ่งความไม่รู้.
๑. อารมฺมเณ จรตีติ จริยา. ชื่อว่า จริยา เพราะอรรถว่าท่องเที่ยวไปในอารมณ์.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 801
ชื่อว่า ญาณจริยา เพราะอรรถว่าจริยาคือญาณ, หรือการประพฤติด้วยญาณ, หรือประพฤติเพราะญาณ, หรือประพฤติในอารมณ์ที่รู้แล้ว, หรือประพฤติซึ่งความรู้.
บทว่า ทสฺสนตฺถาย - เพื่อต้องการเห็น คือ เป็นไปเพื่อต้องการเห็นรูป.
บทว่า อาวชฺชนกิริยาพฺยากตา - กิริยาคือความนึกเป็นอัพยากฤต คือ ชื่อว่า อาวัชชนะ เพราะอรรถว่านำออกไปจากสันดานอันเป็นภวังค์ แล้วนึก คือ น้อมไปสู่จิตสันดานในรูปารมณ์. ชื่อว่า กิริยา เพราะอรรถว่าเป็นเพียงการกระทำโดยความไม่มีวิบาก. ชื่อว่า อัพยากฤต เพราะอรรถว่าพยากรณ์ไม่ได้ว่าเป็นกุศลหรืออกุศล.
บทว่า ทสฺสนฏฺโ - เป็นแต่เพียงเห็น. ชื่อว่า ทสฺสนํ - เพราะอรรถว่าเป็นเหตุเห็น หรือเห็นเอง หรือเป็นแต่เพียงเห็นรูปนั้น. อรรถะ คือ การเห็น ชื่อว่า ทสฺสนฏฺโ.
บทว่า จกฺขุวิญฺาณํ - จักขุวิญญาณ ได้แก่ กุศลวิบาก หรืออกุศลวิบาก.
บทว่า ทิฏตฺตา - เพราะได้เห็นแล้ว คือ เพราะได้เห็นรูปารมณ์ด้วยจักขุวิญญาณ เพราะไม่มีการรับอารมณ์ที่ไม่เห็น.
บทว่า อภินิโรปนา วิปากมโนธาตุ - มโนธาตุอันเป็นวิบากที่ขึ้นสู่อารมณ์. ชื่อว่า อภินิโรปนา เพราะอรรถว่ายกขึ้นสู่อารมณ์ที่เห็นแล้ว. สัมปฏิจฉนมโนธาตุเป็นวิบากทั้งสอง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 802
บทว่า อภินิโรปิตตฺตา - เพราะขึ้นแล้ว คือ เพราะขึ้นสู่รูปารมณ์.
บทว่า วิปากมโนวิญฺาณธาตุ - มโนวิญญาณธาตุอันเป็นวิบาก คือ สันตีรณมโนวิญญาณธาตุ พิจารณาอารมณ์เป็นวิบากทั้งสอง. แม้ในโสตทวารเป็นต้นก็มีนัยนี้ แม้เมื่อท่านไม่กล่าวถึงโวฏฐัพพนะ - การกำหนดอารมณ์ ในลำดับสันตีรณะ - การพิจารณาอารมณ์ก็พึงถือเอาว่า ย่อมได้ เพราะพระอรรถกถาจารย์กล่าวไว้แล้ว.
บทว่า วิชานนตฺถาย - เพื่อต้องการรู้แจ้ง คือ เพื่อต้องการรู้แจ้งธรรมารมณ์ และอารมณ์มีรูปเป็นต้น.
บทว่า อาวชฺชนกิริยาพยากตา - กิริยาคือความนึกเป็นอัพยากฤต ได้แก่ จิตอันเป็นมโนทวาราวัชชนะ.
บทว่า วิชานนฏฺโ เป็นแต่เพียงรู้แจ้ง ความว่า การรู้แจ้งอารมณ์ด้วยสามารถจิตแล่นไป ในลำดับอารมณ์นั้นเป็นอรรถ มิใช่อื่น. เพราะท่านกล่าวถึงชวนจิตเป็นอกุศล และชวนจิตอันเป็นมรรคผลแห่งวิปัสสนาไว้ต่างหากแล้วในเบื้องหน้า ในที่นี้ควรถือเอาชวนจิตที่เหลือ. แต่ควรถือเอาชวนจิตที่ให้เกิดความร่าเริง จากคำมีอาทิว่า ชื่อว่า วิญญาณจริยา (๑) เพราะอรรถว่าไม่ประพฤติประกอบด้วยกุศลกรรม. เพราะ
๑. ขุ. ป. ๓๑/๑๖๖.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 803
ท่านกล่าวอเหตุกจิตไว้แล้ว ในทวาร ๖ พึงทราบว่า อเหตุกจิต ๑๘ คือ อาวัชชจิต ๒ ทวิปัญจวิญญาณจิต คือวิญญาณ ๕ อย่างละ ๒ สัมปฏิจฉนจิต ๒ สันตีรณจิต ๓ หสิตุปปาทจิต - จิตให้เกิดความร่าเริง ๑ ว่าเป็นวิญญาณจริยา.
๑๖๖] บัดนี้ พระสารีบุตรเถระเพื่อจะแสดงว่า ที่ชื่อว่า วิญญาณจริยา เพราะอรรถว่าเพียงรู้แจ้งอารมณ์ จึงกล่าวบทมีอาทิว่า นีราคา จรติ - ประพฤติไม่มีราคะ ความว่า วิญญาณย่อมถึงระหว่างการตั้งลงในการประกอบด้วยราคะเป็นต้น และการประกอบด้วยศรัทธา เป็นต้น. เมื่อไม่มีการประกอบเหล่านั้น วิญญาณย่อมตั้งอยู่ในที่ตั้งของตน. เพราะฉะนั้น พระสารีบุตรเถระย่อมแสดงเพียงกิจของวิญญาณ แห่งวิญญาณที่ท่านกล่าวแล้วนั้น ด้วยคำมี นีราคา เป็นต้น. ชื่อว่า นีราคา เพราะอรรถว่าประพฤติไม่มีราคะ. อาจารย์บางพวกกล่าวทำเป็นรัสสะว่า นิราคา.
อนึ่ง คนมีราคะด้วยความกำหนัด. มีโทสะด้วยการประทุษร้าย. มีโมหะด้วยการหลง. มีมานะด้วยการถือตัว. มีทิฏฐิด้วยความเห็นวิปริต. ความเป็นผู้ฟุ้งซ่าน หรือความเป็นผู้ไม่สงบ ชื่อว่า อุทธัจจะ. วิจิกิจฉา มีอรรถดังได้กล่าวแล้ว.
ชื่อว่า อนุสัย เพราะอรรถว่านอนเนื่องในสันดาน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 804
กล่าวว่า นิรนุสยา ท่านกล่าวว่า นานุสยา. มีความอย่างเดียวกันว่า ไม่มีอนุสัย. ในบทนี้ พึงทราบว่า ไม่มีกิเลสอย่างกลางที่ถึงความครอบงำ.
จริงอยู่ วิญญาณจริยาท่านมิได้กล่าวถึงอนุสัยที่ละได้แล้ว. พระสารีบุตรเถระเพื่อแสดงถึงทัสนะในระหว่างโดยปริยายว่า วิญญาณจริยาใดมีชื่อว่า นีราคา เป็นต้น. วิญญาณจริยานั้นเป็นอันชื่อว่าพ้นแล้วจากราคะเป็นต้น จึงกล่าวบทมีอาทิว่า ราควิปฺปยุตฺตา - พ้นแล้วจากราคะ
อนึ่ง เพื่อเห็นความที่จิตพ้นจากกิเลสเหล่าอื่นอีก จึงกล่าวว่า กุสเลหิ กมฺเมหิ เป็นอาทิ. กุศลนั่นแหละเป็นกรรมไม่มีโทษ เพราะไม่มีโทษมีราคะเป็นต้น.
ชื่อว่า สุกฺกานิ - กรรมขาว เพราะประกอบด้วยหิริโอตตัปปะ อันทำความเป็นผู้บริสุทธิ์.
ชื่อว่า สุขุทฺรยานิ เพราะอรรถว่ามีสุขเกิดขึ้น เพราะมีสุขเป็นไป.
อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า สุขุทฺรยานิ เพราะอรรถว่ามีสุขเกิดขึ้นเป็นกำไร เพราะมีสุขเป็นวิบาก. พึงประกอบอกุศลโดยตรงกันข้ามกับที่กล่าวแล้ว.
บทว่า วิญฺาเต จรติ ประพฤติในอารมณ์ที่รู้แจ้งแล้ว ความว่า อารมณ์ที่รู้แจ้งด้วยความรู้ชัด ชื่อว่า วิญญาตะ ในอารมณ์ที่รู้แจ้ง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 805
แล้วนั้น. ท่านอธิบายไว้อย่างไร. ท่านอธิบายไว้ว่า ชื่อว่า วิญญาณจริยา เพราะประพฤติในความรู้แจ้งอารมณ์ที่รู้แจ้ง เพราะประกอบด้วยความรู้ชัดดุจผ้าสีเขียว เพราะประกอบด้วยสีเขียว.
บทว่า วิญฺาณสฺส เอวรูปา จริยา โหติ - วิญญาณมีความประพฤติเห็นปานนี้ ความว่า วิญญาณมีประการดังกล่าวแล้ว เป็นวิญญาณมีความประพฤติดังได้กล่าวแล้ว. อนึ่ง ท่านกล่าวโดยโวหารว่า ความประพฤติของวิญญาณ. แต่ไม่มีความประพฤติต่างหากจากวิญญาณ.
บทว่า ปกติปริสุทฺธมิทํ จิตฺตํ นิกฺกิเลสฏฺเน - จิตนี้บริสุทธิ์โดยปรกติ เพราะอรรถว่าไม่มีกิเลส ความว่า จิตมีประการดังกล่าวแล้วนี้ บริสุทธิ์โดยปรกติ เพราะไม่มีกิเลสมีราคะเป็นต้น. เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ว่า ชื่อว่า วิญญาณจริยา เพราะอรรถว่าประพฤติเพียงรู้เท่านั้น. ปาฐะว่า นิเกฺลสฏฺเน ก็มี.
๑๖๗] พึงทราบวินิจฉัยใน อญฺาณจริยา ดังต่อไปนี้.
บทว่า มนาปิเกสุ - ในรูปอันเป็นที่รัก ความว่า ชื่อว่า มนาปานิ เพราะ อรรถว่าเอิบอิ่ม เลื่อมใสในใจ. หรือว่ายังใจให้เอิบอิ่มให้เจริญ. การยังใจให้เอิบอิ่มนั่นแหละ ชื่อว่า มนาปิกานิ. ในรูปอันเป็นที่เอิบอิ่มนั้น. รูปเหล่านั้นจะเป็นรูปที่น่าปรารถนา หรือไม่น่าปรารถนาก็ตาม. ด้วยอำนาจของศัพท์ คือรูปที่น่ารัก. เพราะราคะย่อมไม่เกิดในรูปที่น่าปรารถนาเท่านั้น โทสะก็ย่อมไม่เกิดในรูปที่ไม่น่าปรารถนาเท่านั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 806
บทว่า ราคสฺส ชวนตฺถาย - เพื่อความแล่นไปแห่งราคะ คือ เป็นไปเพื่อความแล่นไปแห่งราคะด้วยอำนาจแห่งสันตติ.
บทว่า อาวชฺชนกิริยาพฺยากตา - กิริยาคือความนึกเป็นอัพยากฤต ความว่า มโนธาตุเป็นกิริยา คือความนึกเป็นอัพยากฤตเป็นการกระทำในใจโดยไม่แยบคาย ในจักขุทวาร.
บทว่า ราคสฺส ชวนา - ความแล่นไปแห่งราคะ คือ ราคะเป็นไป ๗ ครั้ง. ราคะนั่นแหละเป็นไปบ่อยๆ.
บทว่า อญฺาณจริยา - ประพฤติในอารมณ์ที่ไม่รู้ ท่านอธิบายว่า ประพฤติราคะโดยไม่รู้ เพราะราคะเกิดโดยไม่รู้. แม้ในบทที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
บทว่า ตทุภเยน อสมเปกฺขนสฺมึ วตฺถุสฺมึ - ในวัตถุที่มิได้เพ่งเล็งด้วยราคะและโทสะทั้งสองนั้น ได้แก่ ในวัตถุ กล่าวคือ รูปารมณ์ เว้นจากความเพ่งเล็งด้วยอำนาจแห่งราคะและโทสะ.
บทว่า โมหสฺส ชวนตถาย - เพื่อเล่นไปแห่งโมหะ คือ เพื่อแล่นไปแห่งโมหะ ด้วยอำนาจแห่งวิจิกิจฉาและอุทธัจจะ.
บทว่า อญฺาณจริยา คือ ประพฤติเพื่อความไม่รู้ มิใช่เพื่ออย่างอื่น.
บทมีอาทิว่า วินิพนฺธสฺส - แห่งมานะที่ผูกพันเป็นบทกล่าวถึงสภาพแห่งมานะเป็นต้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 807
ในบทเหล่านั้น บทว่า วินิพนฺธสฺส ได้แก่ มานะที่ผูกพันแล้วตั้งอยู่ด้วยความเย่อหยิ่ง.
บทว่า ปรามฏฺาย แห่งทิฏฐิที่ยึดถือ ได้แก่ ทิฏฐิที่ก้าวล่วงความที่รูปเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น แล้วยึดถือความเป็นของเที่ยงเป็นต้น จากฝ่ายอื่น.
บทว่า วิกฺเขปคตสฺส - แห่งอุทธัจจะที่ถึงความฟุ้งซ่าน คือ อุทธัจจะที่ถึงความฟุ้งซ่านไปในรูปารมณ์.
บทว่า อนิฏฺาคตาย - แห่งวิจิกิจฉาที่ไมถึงความตกลง คือ ถึงความไม่ตัดสินใจ.
บทว่า ถามคตฺสฺส - แห่งอนุสัยถึงความเป็นธรรมมีเรี่ยวแรง คือ ถึงความมีกำลัง.
บทว่า ธมฺเมสุ คือ ในธรรมทั้งหลายมีรูปเป็นต้น หรือเป็นธรรมารมณ์.
๑๖๘ - ๑๗๐] เพราะราคะเป็นต้นย่อมปรากฏด้วยความไม่รู้. ฉะนั้น พระสารีบุตรเถระเมื่อจะยังความไม่รู้ให้แปลกออกไป ด้วยการประกอบกิเลสมีราคะเป็นต้น จึงกล่าวบทมีอาทิว่า สราคา จรติ- ประพฤติมีราคะ.
ในบทเหล่านั้น บทว่า สราคา จรติ พึงทราบถึงความประพฤติด้วยการแล่นไปแห่งโมหะ มานะ ทิฏฐิ มานานุสัย ทิฏฐานุสัย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 808
อวิชชานุสัย.
บทว่า สโทสา จรติ ประพฤติมีโทสะ ได้แก่ ประพฤติด้วยการแล่นไปแห่งอวิชชาอนุสัย คือ โมหะ.
บทว่า สโมหา จรติ - ประพฤติมีโมหะ ได้แก่ ประพฤติด้วยการแล่นไปแห่งราคะ โทสะ มานะ ทิฏฐิ อุทธัจจะ และวิจิกิจฉานุสัย.
บทว่า สมานา จรติ - ประพฤติมีมานะ ได้แก่ ประพฤติด้วยการแล่นไปแห่งราคะ โมหะ กามราคะ ภวราคะ อวิชชานุสัย.
บทว่า สทิฏฺิ จรติ - ประพฤติมีทิฏฐิ ได้แก่ ประพฤติด้วยการแล่นไปแห่งราคะ โมหะ กามราคะและอวิชชานุสัย.
บทว่า สอุทฺธจฺจา จรติ สวิจิกิจฺฉา จรติ - ประพฤติมีอุทธัจจะ ประพฤติมีวิจิกิจฉา ได้แก่ ประพฤติด้วยการแล่นไปแห่งโมหะ คืออวิชชานุสัย.
บทว่า สานุสยา จรติ - ประพฤติมีอนุสัย แม้ในบทนี้ก็ควรทำอนุสัยหนึ่งๆ ให้เป็นมูลตามนัยที่กล่าวแล้วนั่นแหล่ะ แล้วประกอบความประพฤติมีอนุสัย ด้วยอำนาจอนุสัยที่เหลือซึ่งได้ในจิตนั้น.
บทมีอาทิว่า ราคสมฺปยุตฺตา - ประพฤติประกอบด้วยราคะ เป็นคำไวพจน์ของความประพฤติมีราคะเป็นต้นนั่นเอง.
จริงอยู่ ความประพฤตินั้นเอง ย่อมเป็นไปกับด้วยราคะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 809
เป็นต้นด้วยสามารถการประกอบกัน เพราะเหตุนั้นจึงได้ชื่อทั้งหลาย มีอาทิว่า สราคา-มีราคะ. ความประพฤติประกอบด้วยประการทั้งหลาย มีการเกิดร่วมกัน ดับร่วมกัน มีวัตถุร่วมกัน และอารมณ์ร่วมกัน เสมอด้วยราคะเป็นต้น เพราะเหตุนั้นจึงได้ ชื่อทั้งหลาย มีอาทิว่า ราคสมฺปยุตฺตา.
อนึ่ง เพราะความประพฤตินั้นไม่ประกอบด้วยกรรมเป็นกุศล เป็นต้น ประกอบด้วยกรรมเป็นอกุศลเป็นต้น. ฉะนั้น พระสารีบุตรเถระเพื่อแสดง อญฺาณเจริยา จึงกล่าวบทมีอาทิว่า กุสเลหิ กมฺเมหิ - ด้วยกรรมเป็นกุสล.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อณฺาเต - ในอารมณ์ที่ไม่รู้ คือ ในอารมณ์ที่ไม่รู้แห่งสภาวะที่เป็นจริง เพราะโมหะมีความไม่รู้เป็นลักษณะ. บทที่เหลือมีความได้กล่าวไว้แล้ว.
พึงทราบวินิจฉัยในญาณจริยาดังต่อไปนี้. เพราะกิริยาคืออาวัชชนะ - การนึกเป็นอัพยากฤต เป็นปัจจัยในลำดับแห่งวิวัฏฏนานุปัสสนา - การพิจารณาเห็นความคลายออกเป็นต้นไม่มี ฉะนั้น เพื่อประโยชน์แก่วิวัฏฏนานุปัสนาเป็นต้นเหล่านั้น ท่านจึงไม่กล่าวถึงกิริยาคือการนี้เป็นอัพยาฤต กล่าววิวัฏฏนานุปัสนาเป็นต้นเท่านั้น. จริงอยู่ การนึกย่อมมีเพื่อประโยชน์แก่อนุโลมญาณเท่านั้น จากนั้นท่านกล่าวถึงวิวัฏฏนานุปัสนามรรคและผล.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 810
อนึ่ง ในบทว่า ผลสมาปตฺติ นี้ ญาณจริยาจะเกิดในลำดับมรรคก็ตาม เกิดในลำดับผลก็ตาม. ท่านประสงค์เอาแม้ทั้งสองอย่าง.
ในบทมีอาทิว่า นีราคา จรติ - ประพฤติไม่มีราคะ พึงทราบความไม่มีราคะเป็นต้น ด้วยการกำจัดราคะเป็นต้น. โดยอรรถเพียงความไม่มีราคะเป็นต้นในวิญญาณจริยา.
บทว่า าเต - ในอารมณ์ที่รู้ คือ ในอารมณ์ที่รู้ตามความเป็นจริง. พระสารีบุตรเถระแสดงถึงความไม่ผสมกันและกันของจริยา ๓ ด้วยบทมีอาทิว่า อญฺา วิญฺณาณจริยา. เพราะวิญญาณจริยามีอเหตุกจิตเกิดขึ้นด้วยสามารถเพียงทำหน้าที่รู้. อัญญาณจริยาด้วยสามารถอกุศลจิตเกิดขึ้น ๑๒ ดวง มีหน้าที่ไม่รู้. ญาณจริยาด้วยสามารถแห่งวิปัสสนา มรรค ผล ทำหน้าที่รู้โดยพิเศษ.
พึงทราบว่า จริยาเหล่านี้ ผสมกันและกัน. มีสเหตุกกามาวจรเป็นกิริยากุศล เว้นวิปัสสนา มีสเหตุกกามาวจรเป็นวิบาก และมีรูปาวจรกุศล อรูปาวจรกุศล เป็นอัพยากฤต พ้นจากจริยา ๓.
พึงทราบว่า ปัจจเวกขณญาณของพระเสกขะ อเสกขะ เป็นการพิจารณานิพพาน มรรค ผล เพราะท่านแสดงญาณจริยา อันเป็นวิวัฏฏนานุปัสนา มีนิพพานเป็นอารมณ์ ท่านสงเคราะห์เข้าในญาณจริยา. เพราะจริยาแม้เหล่านั้นทำหน้าที่ของญาณโดยพิเศษด้วยประการฉะนี้.
จบ อรรถกถาจริยานานัตตญาณนิทเทส