อรรถกถา กุมภชาดก
ว่าด้วย โทษของสุรา
พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภหญิงนักดื่มสุรา ๕๐๐ คนผู้เป็นสหายของนางวิสาขามหาอุบาสิกา ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า โก ปาตุราสิ ดังนี้
ได้ยินว่า เมื่อเขาประกาศเรื่องมหรสพสุรา ในพระนครสาวัตถี หญิง ๕๐๐ คนเหล่านั้นจัดเตรียมสุรามีรสเข้มไว้ เพื่อสามีที่ไปเล่นมหรสพ แล้วปรึกษากันว่า เราทั้งหลายก็จะเล่นมหรสพ ดังนี้แล้ว ทุกคนจึงพากันไปยังสำนักของนางวิสาขา กล่าวชักชวนว่า สหายรัก พวกเราไปเล่นมหรสพกันเถิด เมื่อนางวิสาขาปฏิเสธว่า มหรสพนี้เป็นมหรสพสุรา เราจักไม่ดื่มสุราเลย จึงพากันกล่าวว่า ท่านจงถวายทานแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเถิด พวกเราจักเล่นมหรสพกัน นางวิสาขารับคำว่าดีแล้ว จึงส่งคนไปทูลเชิญพระบรมศาสดา ถวายมหาทานแล้วถือเอาของหอมและระเบียบเป็นอันมาก ห้อมล้อมด้วยหญิงเหล่านั้น ไปยังพระเชตวันมหาวิหาร เพื่อสดับพระธรรมกถา ในเวลาเย็น
ก็หญิงเหล่านั้นดื่มสุราไปพลาง เดินทางร่วมไปกับนางวิสาขา ยืนดื่มสุราที่ซุ้มประตู แล้วจึงได้เข้า ไปยังสำนักพระศาสดาพร้อมกับนางวิสาขา นางวิสาขาถวายบังคมพระศาสดา แล้วนั่งลง ณ ส่วนข้างหนึ่ง. บรรดาหญิงเหล่านั้น บางพวกก็ฟ้อนรำ บางพวกก็คะนองมือคะนองเท้า จนทะเลาะวิวาทกันในสำนักของพระศาสดานั่นเอง
พระบรมศาสดาจึงทรงเปล่งพระรัศมีออกจากขนพระโขนง โดยพระประสงค์จะให้หญิงเหล่านั้นเกิดความสังเวช หญิงเหล่านั้นตกใจกลัว ถูกมรณภัยคุกคาม ด้วยเหตุนั้น หญิงเหล่านั้นจึงสร่างเมา พระศาสดาทรงอันตรธานหายไปจากบัลลังก์ที่ประทับ ทรงยืนอยู่ ณ ยอดสิเนรุบรรพต เปล่งพระรัศมีออกจากพระอุณาโลม เป็นประหนึ่งว่าได้มีพระจันทร์และพระอาทิตย์อุทัยขึ้นถึงพันดวง พระศาสดาประทับยืน ณ ยอดสิเนรุบรรพตนั่นเอง โดยพระประสงค์จะให้หญิงเหล่านั้นเกิดความสังเวช จึงตรัสพระคาถานี้ความว่า
ท่านทั้งหลายจะมัวร่าเริง บันเทิงกันอยู่ทำไม ในเมื่อโลกกำลังลุกเป็นไฟอยู่เนืองนิตย์ ท่านทั้งหลายอันความมืดมิดหุ้มห่อแล้ว ยังไม่พากันแสวงหาประทีป คือที่พึ่ง (อีกหรือ?)
ในเวลาจบพระคาถา หญิงทั้ง ๕๐๐ เหล่านั้น ก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล พระศาสดาเสด็จมาประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์ใต้ร่มเงาพระคันธกุฎี
ลำดับนั้น นางวิสาขาถวายบังคมพระศาสดา แล้วกราบทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น้ำดื่มที่ชื่อว่า สุรา อันเป็นเครื่องทำลายหิริโอตตัปปะนี้ เกิดแล้วแต่ครั้งไร พระเจ้าข้า
เมื่อพระศาสดาจะตรัสบอกแก่นาง จึงทรงนำอดีตนิทานมาตรัสดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในพระนครพาราณสี มีนายพรานป่าผู้หนึ่งชื่อว่าสุระ เป็นชาวแคว้นกาสี ได้ไปสู่ป่าหิมพานต์เพื่อต้องการแสวงหาสิ่งของ ในป่าหิมพานต์นั้น มีต้นไม้ต้นหนึ่งลำต้นตั้งตรง ที่ฐานสูงประมาณชั่วบุรุษหนึ่งได้แตกออกเป็นสามค่าคบ ระหว่างค่าคบ ๓ แห่งของต้นไม้นั้นได้มีโพรงใหญ่ขนาดเท่าตุ่ม เมื่อฝนตกก็เต็มไปด้วยน้ำ ได้มีต้นสมอ มะขามป้อมและเถาพริกไทขึ้นล้อมรอบต้นไม้นั้น ผลแห่งต้นไม้นั้นๆ สุกแล้ว ก็หลุดออกจากขั้วตกลงไปในโพรงนั้น ใกล้ๆ ต้นไม้นั้นมีข้าวสาลีเกิดขึ้นเอง และนกแขกเต้าทั้งหลายมาคาบเอารวงข้าวสาลีจากที่นั้น แล้วก็บินไปจับกินอยู่บนต้นไม้นั้น เมื่อนกแขกเต้าพากันจิกกินอยู่ เมล็ดข้าวเปลือกก็ดี เมล็ดข้าวสารก็ดี หลุดหล่นลงไปในโพรงนั้น น้ำในโพรงนั้นถูกแสงแดดแผดเผาก็เกิดมีรสมีสีแดงๆ ด้วยประการฉะนี้
ในฤดูร้อน ฝูงนกทั้งหลายที่ระหายน้ำ บินมากินน้ำนั้นก็มึนเมา พลัดตกลงไปที่โคนต้นไม้ ม่อยไปหน่อยหนึ่งแล้วส่งเสียงคูขันบินไป ถึงสุนัขป่าและลิงเป็นต้น ก็มีนัยอย่างเดียวกันนี้ พรานป่าเห็นดังนั้นก็หลากใจคิดว่า ถ้าน้ำนี้เป็นพิษ สัตว์เหล่านี้คงตาย แต่นี่มันม่อยไปหน่อยหนึ่งแล้วก็บินไปได้ตามสบาย น้ำนี้คงไม่มีพิษ เขาจึงลองดื่มเอง ก็เกิดมึนเมาและอยากจะกินเนื้อสัตว์ ลำดับนั้นเขาจึงก่อไฟให้โชนขึ้น แล้วฆ่านกที่พลัดตกไปที่โคนไม้ มีนกกระทาและไก่เป็นต้น ตาย ย่างเนื้อที่ถ่านเพลิง มือหนึ่งฟ้อนรำมือหนึ่งถือเนื้อกัดกิน อยู่ในที่นั้นวันหนึ่งถึงสองวัน
ก็ ณ ที่ใกล้บริเวณนั้น มีดาบสรูปหนึ่งชื่อวรุณะ นายพรานป่าเดินไปยังสำนักพระดาบสนั้นโดยธุระอย่างอื่น เขาได้เกิดความคิดว่า เราจักดื่มน้ำนี้ร่วมกับพระดาบส เขาจึงตักน้ำใส่กระบอกไม้ไผ่อันหนึ่งจนเต็ม หิ้วไปกับเนื้อย่าง ถึงบรรณศาลาแล้วกล่าวชวนว่า ท่านขอรับ จงลองดื่มน้ำนี้ดูเถิด แล้วทั้งสองก็บริโภคเนื้อดื่มน้ำด้วยกัน
ด้วยประการฉะนี้ น้ำดื่มนั้นเลยเกิดมีชื่อว่าสุราบ้าง วรุณีบ้าง เพราะนายพรานสุระและพระวรุณดาบสพบเห็นเข้า
ฝ่ายสุรพรานกับวรุณดาบส ทั้งสองคนคิดได้ว่า มีอุบายทำมาหากินได้อยู่ จึงตักสุราใส่กระบอกไม้ ไผ่จนเต็ม แล้วพากันหาบไปจนถึงปัจจันตนคร ให้คนกราบทูลพระราชาว่า มีคนทำน้ำดื่มมาเฝ้า พระ ราชาจึงตรัสสั่งให้คนทั้งสองเข้าเฝ้า เขาจึงนำน้ำดื่มเข้าไปถวาย พระราชาทรงเสวยได้ สองสามครั้งก็ทรงมึนเมา แต่น้ำเมานั้น พอเสวยได้เพียงวันสองวันเท่านั้น ต่อมาพระราชาตรัสถามคนทั้งสองว่า น้ำชนิดนี้ มีอยู่ที่อื่นบ้างไหม? เขาพากันกราบทูลว่า ขอเดชะมีอยู่ พระเจ้าข้า พระราชาตรัสถามว่า มีอยู่ที่ไหน? เขาทูลว่า ที่ป่าหิมพานต์ พระเจ้าข้า พระราชาตรัสสั่งว่า ถ้าเช่นนั้นท่านทั้งสองจงไปเอามา
ชนทั้งสองไปนำเอามาคราวสองคราว แล้วปรึกษากันว่า พวกเราไม่อาจเอามาบ่อยๆ ได้ จึงกำหนดจดจำเครื่องปรุงทั้งปวงไว้ แล้วเอาเปลือกเป็นต้นของต้นไม้นั้น มาใส่ปนลงในเครื่องปรุงทุกอย่าง ปรุงสุราขึ้นในพระนคร
ชาวพระนครพากันดื่มสุราจนถึงความประมาทมัวเมา เลยยากจนเข็ญใจไปตามๆ กัน พระนครก็ได้เป็นเหมือนเมืองร้าง ด้วยเหตุนั้น คนทำน้ำดื่มทั้งสองจึงหลบหนีออกจากพระนครนั้น ไปยังเมืองพาราณสี ให้กราบทูลพระราชาว่า คนทำน้ำดื่มมาเฝ้า พระเจ้าพาราณสีตรัสสั่งให้คนทั้งสองเข้าเฝ้าแล้วพระราชทานเสบียงแก่คนทั้งสอง เขาช่วยกันจัดการปรุงสุราขึ้น แม้ในพระนครพาราณสีนั้น ถึงพระนครนั้นก็พินาศไปเช่นนั้นอีก เขาทั้งสองจึงหนีออกจากเมืองนั้นไปเมืองสาเกต หนีออกจากเมืองสาเกตไปยังเมืองสาวัตถี
ครั้งนั้น พระเจ้าสัพพมิตต์ได้เป็นกษัตริย์พระนครสาวัตถี ท้าวเธอทำการสงเคราะห์แก่คนทั้งสองนั้น แล้วตรัสถามว่า พวกเจ้าต้องการสิ่งใดบ้าง เมื่อเขากราบทูลว่า ต้องการรากไม้สำหรับปรุง แป้งข้าวสาลี และตุ่มห้าร้อยดังนี้ ก็ตรัสสั่งให้ประทานครบทุกอย่าง
พรานสุระและวรุณดาบสทั้งสองปรุงสุราใส่ตุ่ม ๕๐๐ ใบตั้งไว้แล้ว ประสงค์จะป้องกัน โดยเกรงว่าหนูจะรบกวน จึงผูกแมวไว้ข้างๆ ตุ่มใบละตัว แมวเหล่านั้นพากันดื่มสุราที่ไหลลงก้นตุ่ม ในเวลาที่ต้มแล้วตักใส่ตุ่ม จนมึนเมาหลับไป พวกหนูมาแทะหูจมูกหนวดและหางแมว แล้วพากันวิ่งหนีไป พวก อายุตตกบุรุษ (คนสอดแนม) คิดว่าแมวดื่มสุราพากันตายหมด จึงไปกราบทูลให้พระราชาทรงทราบ พระเจ้าสัพพมิตต์ทรงเห็นว่า ชนทั้งสองนี้จักทำยาพิษ จึงตรัสสั่งให้ตัดศีรษะคนทั้งสองเสีย คนทั้งสองพร่ำทูลขอร้องว่า ขอเดชะ ดื่มสุรามีรสอร่อย พระเจ้าข้า ดังนี้ จนขาดใจตาย
ครั้นพระราชาตรัสสั่งให้ประหารชีวิตคนทั้งสองแล้ว มีพระราชโองการให้ทำลายตุ่มเสีย ฝ่ายแมวทั้งหลาย เมื่อฤทธิ์สุราสร่างจางไปก็ลุกขึ้นวิ่งเล่นได้ พวกราชบุรุษเห็นดังนั้นจึงกราบทูลให้พระราชาทรงทราบ พระราชาทรงพระดำริว่า ถ้าน้ำสุราเป็นพิษ แมวคงตาย ชะรอยจะมีรสอร่อย เราจะลองดื่มดู แล้วตรัสสั่งให้ประดับตกแต่งพระนคร ให้สร้างมณฑปขึ้นที่หน้าพระลาน เสร็จแล้วประทับนั่งบนราชบัลลังก์ ซึ่งยกเศวตฉัตรขึ้นไว้บนมณฑปที่ประดับตบแต่งแล้ว แวดล้อมด้วยหมู่อำมาตย์มุขมนตรี เริ่มจะเสวยสุรา
ครั้งนั้น ท้าวสักกเทวราชทรงตรวจดูสัตวโลกว่า ชนเหล่าไหนบ้างหนอ ไม่ประมาทในการบำรุงมารดาบิดาเป็นต้น บำเพ็ญสุจริต ๓ ให้เต็มบริบูรณ์ ทอดพระเนตรเห็นพระเจ้าสัพพมิตต์นั้นประทับนั่งเพื่อจะดื่มสุรา จึงทรงพระดำริว่า ถ้าพระเจ้าสัพพมิตต์นี้จะดื่มสุราไซร้ สกลชมพูทวีปจักพินาศฉิบหาย เราจักต้องแก้ไขโดยวิธีที่จะให้ท้าวเธองดดื่ม แล้วทรงวางหม้อที่เต็มไปด้วยสุราใบหนึ่งไว้ที่พระหัตถ์ จำแลงเพศเป็นพราหมณ์ เสด็จมายืนอยู่ในอากาศ ณ ที่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าสัพพมิตต์ แล้วตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงซื้อหม้อใบนี้ พระเจ้าสัพพมิตตราชทอดพระเนตรเห็นพราหมณ์จำแลงยืนพูดอยู่บนอากาศอย่างนั้น ทรงสงสัยว่า พราหมณ์นี้มาจากไหนกันหนอ
เมื่อจะทรงสนทนากับพราหมณ์นั้น ได้ตรัสพระคาถา ๓ คาถาความว่า
ท่านเป็นใคร มาจากไตรทิพย์หรือ จึงเปล่งรัศมีสว่างไสวอยู่ในนภากาศ เหมือนพระจันทร์ส่องสว่างในยามรัตติกาลฉะนั้น รัศมีแผ่ซ่านออกจากตัวท่านดุจสายฟ้าแลบในเวหาสฉะนั้น
ท่านเหยียบลมหนาวในอากาศได้ เดินและยืนในอากาศได้ ฤทธิ์ของเทวดาทั้งหลายผู้ไม่ต้องเดินไกล ท่านทำให้เป็นที่ตั้งและให้เจริญดีแล้วเป็นไฉน
ท่านเป็นใครมายืนอยู่ในอากาศ ร้องขายหม้ออยู่ หรือว่าหม้อของท่านนี้ ใช้ประโยชน์อะไรได้ ดูก่อนพราหมณ์ ขอท่านจงบอกเนื้อความนั้นแก่ข้าพเจ้าเถิด
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โก ปาตุราสิ ความว่า ท่านเป็นใคร มาจากไหน จึงมาปรากฏ อธิบายว่า ท่านมาจากไหน
บทว่า ติทิวา นภมฺหิ ความว่า พระเจ้าสัพพมิตต์ตรัสถามว่า ท่านมาจากดาวดึงสพิภพหรือ จึงปรากฏในนภากาศนี้
บทว่า สํวรึ แปลว่า ในรัตติกาล
บทว่า สเตริตา ได้แก่ พระจันทร์ซึ่งมีชื่ออย่างนี้
บทว่า โส ได้แก่ ท่านนั้น
บทว่า ฉินฺนวาตํ ความว่า วลาหกเทพย่อมก้าวเดินตามลม อันมีกระแสพัดเยือกเย็นไปได้ ก็แม้ลมนั้นไม่มีแก่ท่านเลย ด้วยเหตุนั้น พระเจ้าสัพพมิตต์จึงตรัสอย่างนี้
บทว่า กมสิ แปลว่า ล่องลอยไป
บทว่า อฆมฺหิ ได้แก่ ในอากาศอันไม่มีอะไรกระทบ
บทว่า วตฺถุกตา ความว่า (ฤทธิ์ของท่าน) เป็นสิ่งที่ทำแล้ว เหมือนวัตถุ เหมือนที่ตั้งฉะนั้น
บทว่า เอนทฺธคูนมสิ ทวตานํ ความว่า พระเจ้าสัพพมิตต์ตรัสถามว่า ฤทธิ์ของท่านที่อบรมดีแล้ว คล้ายฤทธิ์ของทวยเทพ ผู้ชื่อว่าไม่ต้องเดินทางไกล เพราะไม่ต้องใช้เท้าเดินไปในทางไกล
บทว่า เวหาสยํ กมฺมาคมฺม ความว่า ท่านเป็นใครหรือ จึงอาศัยการย่างเท้า เข้าไปยืนบนอากาศได้ บัณฑิตพึงเชื่อมความของบาทคาถานั้นเข้าด้วย
บทว่า โก วา ตุวํ ท่านเป็นใครหรือ? อธิบายว่า ท่านมายืนอยู่อย่างนี้ชื่อไรเล่า
บทว่า ยเมตมตฺถํ ความว่า ท่านพูดคำนี้ใด ต้องเชื่อมความของบาทคาถานี้เข้ากับบทว่า อิมสฺส กิสฺส วตายํ จึงได้ความว่า ท่านพูดคำว่า จงซื้อหม้อใบนี้ ดังนี้ อธิบายว่า ท่านพูดว่า จงซื้อหม้อใบนี้ดังนี้ หม้อใบนี้ของท่านใช้ประโยชน์อะไรหรือ?
ลำดับนั้น ท้าวสักกเทวราชตรัสว่า ถ้าเช่นนั้นท่านจงฟัง
เมื่อจะทรงแสดงโทษของสุรา จึงตรัสว่า หม้อใบนี้มิใช่หม้อเนยใส มิใช่หม้อน้ำมัน มิใช่หม้อน้ำผึ้ง โทษของหม้อใบนี้มีอยู่มิใช่น้อย ท่านจงฟังโทษเป็นอันมากที่มีอยู่ในหม้อใบนี้
บุคคลดื่มน้ำชนิดใดแล้วเดินโซเซตกลงไปยังบ่อถ้ำหลุมน้ำครำและหลุมโสโครก พึงบริโภคของที่ไม่ควรบริโภคแม้มากได้ ท่านจงซื้อหม้อนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น
บุคคลดื่มน้ำชนิดใดแล้วไม่มีกฎเกณฑ์ในใจ เที่ยวหยำเปไป เหมือนโคกินกากสุราฉะนั้น เป็นเหมือนขาดที่พักพิง ย่อมฟ้อนรำได้ขับร้องได้ ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น
บุคคลดื่มน้ำชนิดใดแล้วแก้ผ้าเปลือยกาย เที่ยวไปตามตรอกตามถนนในบ้าน เหมือนชีเปลือย มีจิตลุ่มหลง นอนตื่นสาย ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น
บุคคลดื่มน้ำชนิดใดแล้วลุกขึ้นโซเซ โคลงศีรษะและยกแขนขึ้นร่ายรำ เหมือนรูปหุ่นไม้ฉะนั้น ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น
บุคคลดื่มน้ำชนิดใดแล้วนอนจนถูกไฟไหม้ และกินอาหารที่เหลือเดนสุนัขได้ ย่อมถึงการถูกจองจำถูกฆ่า และความเสื่อมแห่งโภคะ ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น
บุคคลดื่มน้ำชนิดใดแล้วพูดคำพูดที่ไม่ควรพูด นั่งพร่ำในที่ประชุม ปราศจากผ้าผ่อน เลอะเทอะ นอนจมอยู่ในอาเจียนของตน มีแต่เรื่องฉิบหาย ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น
บุคคลดื่มน้ำชนิดใดแล้ววางมาดเป็นคนสำคัญ นัยน์ตาขุ่นขวาง เข้าใจว่าบ้านเมืองเป็นของเราคนเดียว พระราชาแม้มีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบขัณฑสีมาก็ไม่เสมอเรา ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น
บุคคลดื่มน้ำชนิดใดแล้วถือตัวจัด ก่อการทะเลาะวิวาท ยุยงส่อเสียด มีผิวพรรณน่าเกลียด เปลือยกายวิ่งไป อยู่อย่างนักเลงเก่า ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น
น้ำชนิดนี้ทำตระกูลทั้งหลายในโลกนี้อันมั่งคั่งบริบูรณ์มีเงินทองตั้งหลายพันให้ขาดทายาทได้ ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น
ข้าวเปลือก ทรัพย์สิน เงินทอง ไร่ นา โค กระบือ ในสกุลใดย่อมพินาศไป ตระกูลที่มั่งมีทั้งหลายขาดสูญไป เพราะดื่มน้ำชนิดใด ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น
บุรุษดื่มน้ำชนิดใดแล้วเป็นคนหยาบช้า ด่ามารดาบิดาได้ แม้ถึงเป็นพ่อผัวก็พึงหยอกลูกสะใภ้ได้ ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.
นารีดื่มน้ำชนิดใดแล้วกลายเป็นคนกักขฬะหยาบช้า ด่าพ่อผัวแม่ผัวและสามีได้ แม้เป็นทาสเป็นคนใช้พึงรับเป็นสามีของตนได้ ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น
บุรุษดื่มน้ำชนิดใดแล้วฆ่าสมณะ หรือพราหมณ์ผู้ตั้งอยู่ในธรรมได้ พึงไปสู่อบายเพราะกรรมนั้นเป็นเหตุ ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น
ชนทั้งหลายดื่มน้ำชนิดใดแล้วประพฤติทุจริตทางกายทางวาจาหรือทางใจได้ ย่อมไปสู่นรกเพราะประพฤติทุจริต ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น
ชนทั้งหลายแม้จะยอมสละเงินเป็นอันมาก มาอ้อนวอนบุรุษใดซึ่งไม่เคยดื่มสุรา ให้พูดเท็จย่อมไม่ได้ บุรุษนั้นครั้นดื่มสุราแล้วย่อมพูดเหลาะแหละเหลวไหลได้ ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น
คนรับใช้ดื่มน้ำชนิดใดแล้ว เมื่อถูกเขาใช้ไปในกรณียกิจรีบด่วน ถูกซักถามก็ไม่รู้เนื้อความ ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น
ชนทั้งหลายดื่มน้ำชนิดใดแล้ว ถึงจะเคยมีความละอายใจอยู่ ก็ย่อมจะทำความไม่ละอายให้ปรากฏได้ ถึงแม้จะเป็นคนมีปัญญาก็อดพูดมากไม่ได้ ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น
ชนทั้งหลายดื่มน้ำชนิดใดแล้ว นอนคนเดียวไม่มีเพื่อน คล้ายลูกสุกรนอนเดียวดายด้วยชาติกำเนิดอันต่ำฉะนั้น อดข้าวปลาอาหารย่อมเข้าถึงการนอนเป็นทุกข์อยู่กับแผ่นดิน สิ้นสง่าราศรีและต้องครหานินทา ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น
ชนทั้งหลายดื่มน้ำชนิดใดแล้วย่อมนอนคอตก หาเป็นเหมือนโคที่ถูกลงปฏักฉะนั้นไม่ ฤทธิ์สุราย่อมทำให้คนอดทนได้ (ไม่กินข้าวกินน้ำ) ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น มนุษย์ทั้งหลายย่อมเว้นดื่มน้ำชนิดใด อันเปรียบด้วยงูมีพิษร้าย นรชนคนใดเล่าควรจะดื่มน้ำชนิดนั้นอันเป็นเช่นยาพิษมีในโลก ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น โอรสทั้งหลายของท้าวอันธกเวณฑะ ดื่มสุราแล้วพาหญิงไปบำเรออยู่ที่ริมฝั่งสมุทร ประหารกันและกันด้วยสาก ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น
บุรพเทพคืออสูรทั้งหลาย ดื่มน้ำชนิดใดแล้วเมามาย จนจุติจากไตรทิพย์คือดาวดึงสเทวโลก ยังสำคัญตนว่าเที่ยง เป็นไปกับด้วยอสุรมายา ดูก่อนมหาราชเจ้า บุรุษผู้ฉลาดเช่นกับพระองค์ เมื่อทราบว่าน้ำดื่มชนิดนี้เป็นน้ำเมา หาประโยชน์มิได้ จะดื่มทำไม?
ในหม้อใบนี้ไม่มีเนยข้นหรือน้ำผึ้ง พระองค์รู้อย่างนี้แล้ว จงซื้อเสีย ดูก่อนท่านสัพพมิตต์ สิ่งที่อยู่ในหม้อนี้ ข้าพเจ้าบอกแก่ท่านแล้วตามความเป็นจริงอย่างนี้แหละ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วชฺชานิ ได้แก่ โทษทั้งหลาย
บทว่า คเลยฺย ความว่า เมื่อจะเดินก็เดินโซเซไปทุกย่างก้าว
บทว่า ยํ ปิตฺวา ปเต ความว่า บุคคลดื่มน้ำชนิดใดแล้วพึงตกลงไป
บทว่า โสพฺภํ ได้แก่ หลุมบ่อ
บทว่า จนฺทนิโยฬิคลฺลํ ได้แก่ หลุมเทขยะ และหลุมโสโครก
บทว่า อโภชเนยฺยํ ได้แก่ ของไม่ควรเพื่อจะบริโภค
บทว่า อเนสมาโน แปลว่า ไม่เป็นอิสระ
บทว่า โคริว ความว่า อุปมาเหมือนโค
บทว่า ภกฺขสานี ความว่า เหมือนโคกินกากสุรา เที่ยวแสวงหาของกินในที่ต่างๆ ฉันใด ไม่มีกฎเกณฑ์ในใจ ท่องเที่ยวไปฉันนั้น
บทว่า อนาถมาโน ความว่า เป็นเหมือนคนขาดที่พักพิงไร้ที่พึ่ง
บทว่า อุปคายติ ความว่า เห็นคนอื่นเขาขับเขารำ ก็เข้าไปขับบ้าง ฟ้อนรำบ้างก็ได้
บทว่า อเจลโกว ความว่า เปลือยกายได้เหมือนอเจลก
บทว่า วิสิขนฺตรานิ ความว่า (เที่ยวซอกแซกไป) ตามตรอกตามถนน
บทว่า อติเวลสายี ความว่า เป็นผู้มีปกตินอนเกินเวลา ปาฐะว่า อติเวลาจารี ดังนี้ก็มี อธิบายว่า นอนหลับไปได้นานๆ
บทว่า ทารุกฏลฺลโกว แปลว่า เหมือนรูปหุ่นไม้
บทว่า โภคชานิญฺจุ เปนฺติ ความว่า ย่อมเข้าถึงความเสื่อมแห่งโภคทรัพย์ อธิบายว่า บุคคลดื่มน้ำใดแล้วย่อมทำทุจริตเป็นต้นว่า ปาณาติบาตถูกลงอาชญาแล้ว ย่อมถึงความเสื่อมทรัพย์และถึงทุกข์อื่นๆ มีถูกฆ่าและจองจำเป็นต้น
บทว่า วนฺตคโต ความว่า จมอยู่ในอาเจียนของตน
บทว่า พฺยสนฺโน แปลว่า ถึงความพินาศ ปาฐะว่า วิสนฺโน ดังนี้ก็มี ความก็ว่า นอนจมอยู่ในกองอาเจียนนั้น
บทว่า อุกฺกฏฺโฐ ความว่า บุคคลดื่มน้ำชนิดใดแล้วฮึกเหิม คุยโวว่า เรามีทะแกล้วทหารมาก จะมีใครเสมอกับเรา
บทว่า อาวิลกฺโข แปลว่า มีนัยน์ตาแดง (ตาขวาง)
บทว่า สพฺพปฐวี แปลว่า แผ่นดินทั้งหมด ปาฐะว่า สพฺพาปฐวี ดังนี้ก็มี
บทว่า จาตุรนฺโต ความว่า เป็นใหญ่ในแผ่นดิน มีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขต
บทว่า มานา แปลว่า ก่อเกิดมานะ แม้ในบททั้งสองที่เหลือก็มีนัยนี้
บทว่า คติ แปลว่า ปฏิปทาเครื่องดำเนินให้เกิดผล
บทว่า นิเกโต แปลว่า อยู่ (อย่างนักเลง)
บทว่า ตสฺสา ปุณฺณํ ความว่า ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยสุราเห็นปานนั้น
บทว่า ยตฺถ วินาสยนฺติ ความว่า ชนทั้งหลายอาศัยน้ำสุราใด ดำรงตนไว้ในการดื่มน้ำสุราใด ทำลายสมบัติมีทรัพย์และข้าวเปลือกเป็นต้น แม้อย่างเดียว หรือแม้หลายอย่างให้พินาศได้ จนเป็นคนกำพร้า
บทว่า อิทฺธานิ แปลว่า มั่งคั่ง
บทว่า ผีตานิ ความว่า มั่งคั่งบริบูรณ์ด้วยวัตถาลังการ และเครื่องใช้สอยทั้งหลาย
บทว่า อุจฺฉินฺนทายชฺชกตานิ ความว่า น้ำสุรานี้ย่อมทำทายาทให้ขาดสูญ พาทรัพย์สมบัติให้พินาศ
บทว่า ทุฏฺฐรูโป เป็นคนกักขฬะหยาบคาย
บทว่า คณฺเหยฺย ความว่า จับมือถือแขนลูกสะใภ้ด้วยอำนาจกิเลส โดยสำคัญว่าเป็นภรรยาได้
บทว่า ทาสํปิ คณฺเห ความว่า จับมือถือแขน แม้ทาสคนรับใช้ของตนได้ด้วยอำนาจกิเลส โดยสำคัญว่า สามีของตัว
บทว่า ปิตฺวาน แปลว่า ดื่มแล้ว
บทว่า ทุจฺจริตํ จริตฺวา ความว่า กระทำอกุศลกรรมบถสิบอย่างด้วยไตรทวารอย่างนี้
บทว่า ยาจมานา ความว่า ชนทั้งหลายแม้จะสละเงินทอง เป็นสินน้ำใจจำนวนมาก กล่าวอ้อนวอนบุรุษใดซึ่งไม่เคยดื่มสุรามาก่อนว่า ท่านจงพูดเท็จดังนี้ ย่อมไม่ได้
บทว่า ปิตฺวา ความว่า คนรับใช้ดื่มน้ำชนิดใดแล้ว
บทว่า นปฺปชานาติ วุตฺโต ความว่า ถูกซักถามว่าเจ้ามาเพื่อต้องการอะไร เขาย่อมไม่รู้แม้เรื่องราวนั้นเพราะตนรับข่าวสาสน์ไปไม่ดี
บทว่า หิริมนาปิ ความว่า แม้จะมีจิตประกอบไปด้วยหิริ
บทว่า เอกถูปา ความว่า นอนคนเดียวไม่มีเพื่อน คล้ายลูกสุกรนอนเดียวดายด้วยชาติกำเนิดอันต่ำฉะนั้น บทว่า อนาสกา แปลว่า อดอาหาร
บทว่า ถณฺฑิล ทุกฺขเสยฺยํ ความว่า นอนเป็นทุกข์อยู่บนแผ่นดินบทว่า อายสกฺยํ ได้แก่ คำครหา
บทว่า ปตฺตกฺขนฺธา ความว่า นอนคอตก
บทว่า กูฏหตาริว ความว่า ย่อมนอนคอพับคล้ายโค อันหม้อน้ำผูกติดอยู่ที่คอเบียดเบียน อธิบายว่า ย่อมนอนแซ่วเหมือนโคที่ไม่กินหญ้ากินน้ำ นอนซมอยู่ฉะนั้น
บทว่า โฆรสมิว แปลว่า อันเปรียบด้วยงูมีพิษร้าย
บทว่า วิสสมานํ แปลว่า อันเป็นเช่นกับด้วยยาพิษ
บทว่า อนฺธกเวณฺฑปุตฺตา ได้แก่ ราชาพี่น้องกันสิบองค์
บทว่า อุปกฺกมุ ํ แปลว่า ประหารกัน (ด้วยสาก)
บทว่า ปุพฺพเทวา ได้แก่ อสูรทั้งหลาย
บทว่า ติทิวา ความว่า จากดาวดึงสเทวโลก
บทว่า สสฺสติยา ความว่า ยังสำคัญตนว่าเที่ยง โดยความเป็นผู้มีอายุยืน อธิบายว่า จากเทวโลกอันสมมติกันว่าเที่ยงเป็นนิรันดร์
บทว่า สมายา ความว่า เป็นไปกับด้วยอสุรมายา
บทว่า ชานํ ความว่า บุรุษผู้ฉลาดเช่นกับพระองค์ เมื่อทราบว่าน้ำดื่มชนิดนี้เป็นน้ำเมา หาประโยชน์มิได้เช่นนั้น จะพึงดื่มทำไมกัน
บทว่า กุมฺภคตา มยา ความว่า สิ่งที่อยู่ในหม้ออันข้าพเจ้าบอกแล้ว อีกอย่างหนึ่งปาฐะก็อย่างเดียวกันนี้
บทว่า อกฺขาตรูปํ ความว่า อันข้าพเจ้าบอกแล้วตามความเป็นจริง
พระเจ้าสัพพมิตต์ทรงสดับดังนั้น ก็ทรงทราบโทษของสุรา ดีพระทัย
เมื่อจะทรงชมเชยท้าวสักกเทวราช ได้ตรัสพระคาถา ๒ คาถา ความว่า
ท่านมิใช่เป็นบิดาหรือมารดาของข้าพเจ้า เป็นคนชนิดใดชนิดหนึ่งซึ่งเป็นผู้มุ่งเกื้อกูล อนุเคราะห์ ปรารถนาประโยชน์อย่างยิ่งแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจักกระทำตามถ้อยคำของท่านในวันนี้.
ข้าพเจ้าจักให้บ้านส่วยห้าตำบล ทาสีหนึ่งร้อย โคเจ็ดร้อย และรถเทียมด้วยม้าอาชาไนยสิบคันเหล่านี้แก่ท่าน ขอท่านผู้ปรารถนาประโยชน์จงเป็นอาจารย์ของข้าพเจ้าเถิด.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า คามวรานิ ความว่า พระเจ้าสัพพมิตต์ตรัสว่า ข้าแต่ท่านพราหมณ์ อาจริยภาคคือส่วนของอาจารย์อันชื่อว่าบุคคลผู้เป็นอาจารย์ควรปรารถนา ข้าพเจ้าขอมอบบ้านส่วยห้าตำบล ซึ่งมีรายได้ปีละหนึ่งแสนแก่ท่าน. บทว่า ทสา อิเม ความว่า และเมื่อพระเจ้าสัพพมิตต์จะทรงชี้รถอันวิจิตรด้วยทอง ซึ่งจอดอยู่เฉพาะพระพักตร์สิบคัน จึงตรัสอย่างนี้.
ท้าวสักกเทวราชทรงสดับเช่นนั้น เมื่อจะทรงแสดงอัตภาพของเทพยดาให้พระเจ้าสัพพมิตต์ทรงรู้จักพระองค์ จึงประทับยืนบนอากาศ ได้ตรัสพระคาถา ๒ คาถาความว่า ดูก่อนพระราชา ทาสี บ้านส่วย โค และรถอันเทียมด้วยม้าอาชาไนย จงเป็นของพระองค์ตามเดิมเถิด เราเป็นท้าวสักกะจอมเทพของชาวไตรทิพย์.
พระองค์จงเสวยพระกระยาหาร เนยใสและข้าวปายาส พึงเสวยขนมกุมมาสอันโอชารส ดูก่อนพระองค์ผู้เป็นจอมประชาชน พระองค์จงทรงยินดีในธรรม ใครๆ ไม่ติเตียนด้วยอาการอย่างนี้แล้ว จงเข้าถึงสวรรคสถาน.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอวํ ตุวํ ธมฺมรโต ความว่า เมื่อท่านเสวยโภชนะมีรสเลิศต่างๆ อย่างนี้ จะเว้นการดื่มสุรา ละทุจริต ๓ อย่างเป็นผู้ยินดีในสุจริตธรรม ๓ ประการอันใครๆ ไม่ติเตียนแล้ว จงเข้าถึงสวรรคสถานเถิด.
ท้าวสักกะครั้นทรงประทานโอวาทแก่พระเจ้าสัพพมิตต์ ด้วยประการฉะนี้แล้ว ก็เสด็จไปยังสถานวิมานของพระองค์ทันที.
ฝ่ายพระเจ้าสัพพมิตต์ก็ไม่ทรงดื่มสุรา ตรัสสั่งให้ทำลายภาชนะสุราสิ้น แล้วทรงสมาทานศีล บริจาคทาน ได้เป็นผู้มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า.
การดื่มสุราเกิดนิยมกันอย่างกว้างขวาง แม้ในชมพูทวีป (ติดต่อสืบเนื่องมาจนบัดนี้)
พระบรมศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า พระราชาในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระอานนท์ ส่วนท้าวสักกเทวราชได้มาเป็น เราผู้ตถาคต ฉะนี้แล.
จบอรรถกถากุมภชาดกที่ ๒
เป็นหัวข้อที่น่าสนใจ เป็นประโยชน์มาก ขอเผยแพร่ให้ผู้ไม่รู้ ได้เข้าใจ และเห็นโทษ เห็นภัยของสุรา และมีความศรัทธา ในพระคุณของพระรัตนตรัย ว่า คุ้มครองป้องกันจากบาป อกุศล ทั้งปวง ได้จริง ขอเพียงต้องศึกษา และน้อมประพฤติ ปฏิบัติ ตามพระธรรม ที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน ทุกประการ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
เป็นหัวข้อที่น่าสนใจ ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น