เป็นญาติที่สนิทกันในครอบครัวนี่ละครับ เห็นกันตลอด วันก่อนเห็นเค้าออกจากห้องผ่าตัดแล้วก็รู้สึกแย่ ทั้งๆ ที่เคยอ่านพระสูตรเรื่องความตายมาบ้าง ตอนนั้นก็ว่า getระดับหนึ่ง แต่พอโดนเข้าจริงๆ ก็หวั่นไหวเหมือนกันครับ ญาติอายุมากแล้วด้วย
คุณแม่ปรีดาของป้าจาย ถึงแก่กรรม เมื่อเดือนมีนาคม ปี ๔๘ ด้วยโรคมะเร็งปอด
วันที่คุณหมอประจำตัวเรียกป้าไปคุย หลังจากดูฟิลม์เอ็กซเรย์แล้ว เพื่อแจ้งว่าท่านคงอยู่ได้ไม่นาน จำได้ว่า ป้าขาอ่อนเลยค่ะ น้ำตาไม่ไหล แต่ใจสั่นไปหมด สัปดาห์แรกก็วุ่นวายเรื่องจะพาคุณแม่ไปที่สถาบันมะเร็ง ไปปรึกษาแพทย์ที่สถาบัน
แพทย์เห็นฟิล์ม เห็นประวัติ ทราบอายุว่า ๘๕ แล้ว ก็แนะนำให้รอเวลาเท่านั้น ป้ามานึกถึงคำของท่านอาจารย์ที่สอนพวกเราว่า มะเร็ง มีเมื่อคิดถึง หยุดคิดก็ไม่มีมะเร็ง ถึงอย่างไร ไม่ป่วยตาย ทุกคนก็ต้องตาย ป้าจึงบอกกับพี่น้องทุกคนว่า ให้นึกว่าคุณแม่ก็ป่วยตามอายุ ท่านก็เหมือนมะม่วงสุกจัด ต้องร่วงจากขั้ว ในเร็ววันนี้ พวกเราก็ดูแลท่านอย่างดี จนถึงวันที่่ท่านสิ้นลม ที่เป็นทุกข์มาก เพราะเรากลัวมะเร็งมาก กลัวว่าผู้ป่วยจะทรมาน ตรงนี้ ตอบไม่ได้ค่ะ แล้วแต่กรรม คุณแม่ของป้าก็ไม่ได้ลำบากอย่างที่เรากลัวกัน เรื่องหวั่นไหว ก็ไม่ต้องคิดมากค่ะ เพราะเรายังต้องทุกข์ ทุกข์ยังไม่หมดไป มีเหตุปัจจัย ก็ต้องเกิด ยังดับโทสะไม่ได้ แต่ควรพิจารณาว่า จะรักษาสุขภาพจิตของผู้ป่วยได้อย่างไรมากกว่า
สาธุ ขออนุโมทนาป้าจายค่ะ พลอยได้ข้อคิดไปด้วย
เป็นกำลังใจให้ท่านผู้ตั้งกระทู้ด้วย
ขณะนี้ลองนึกถึงญาติของท่านสิครับ แล้วลองพิจารณาดูว่า จิตที่คิดถึง กับ ญาติ อันไหนมีจริงในขณะนี้ ดังนั้นเหตุให้เกิดทุกข์มิใช่ใครที่ไหน แต่เพราะจิตที่ยังเป็นไปกับกิเลสท่านนั่นแหละครับที่ทำให้เป็นทุกข์ โดยไม่รู้ตัว ผมเองก็เหมือนกัน.
เป็นกำลังใจให้นะครับ
ขออนุโมทนาทุกคำตอบครับ
ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่คุณหมอสงสัยว่าจะเป็นมะเร็งในช่องท้อง วันที่ทราบและกำลังนอนรอการตรวจ เหมือนจะเป็นลม ทำท่าเหมือนจะขาดใจตาย แต่ขณะนั้นไม่ทราบว่าเจตสิกดวงไหนทำงานดิฉันได้นึกถึงเรื่องราวที่ศึกษาธรรม (โดยเฉพาะจากท่านอาจารย์สุจินต์) ก็บอกตัวเองว่า อุตส่าห์ศึกษามาตั้งนาน ทำได้แค่นี้หน้าเสียดาย เสียเวลาครูอาจารย์ จากนั้นก็คิดถึงเรื่องการตายตามที่เคยศึกษามา ก็ไม่ได้กลัวอะไร มีชีวิตชาตินี้สั่งสมกุศลจิตไว้พอควรอย่างไรก็ตามก็ไม่รู้อีกว่ากรรมใดจะให้ผลในประสูติกาล จุติก็ได้ถูกกำหนดแล้วโดยวิบาก
ที่เล่ามาส่วนหนึ่งนี้ เพื่อจะเรียนให้คุณน้อมใจญาติผู้ใหญ่มาศึกษาธรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากท่านอาจารย์ดิฉันเองรู้สึกเปลี่ยนแปลงวิธีคิดอย่างมาก ญาติผู้ใหญ่และคุณอาจเป็นเช่นกัน สิ่งหนึ่งที่ดิฉันแน่ใจ คือ คุณและญาติผู้ใหญ่ จะพ้นความกลัวด้วยพระธรรมอย่างแน่นอนค่ะ
เข้าใจนะ แต่ทำใจไม่ได้น่ะไม่แปลก เป็นเรื่องธรรมดาของโลก เป็นกันทุกคนสติเท่านั้น ที่ช่วยได้ แต่ควรเข้าใจก่อนว่า สติ หมายถึงอไร
คิดว่าอาจทำใจไม่ค่อยได้เหมือนกันค่ะ จึงทำตัวเป็นคุณประมาท ไม่ยอมตรวจสุขภาพ คิดว่าไม่รู้ไปเลยอาจดีกว่า ถ้าเกิดต้องเป็นจริงๆ ขึ้นมา การค่อยๆ ฟังและค่อยๆ ศึกษาธรรมะอยู่วันนี้ อาจเป็นเครื่องประคับประคองได้ในวันนั้น หากว่ามันเกิดต้องเป็นขึ้นมาจริงๆ
ขอร่วมเป็นกำลังใจค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
เข้าใจว่าเป็นธรรมและเป็นธรรมดา ยังต้องหวั่นไหวอยู่ การอบรมปัญญาไม่ได้ ห้ามให้หวั่นไหวหรือไม่หวั่นไหวเพราะห้ามไม่ได้ เพราะเป็นธรรมและเป็นอนัตตา แต่ค่อยๆ อบรมปัญญาขั้นการฟังว่าทุกอย่างเป็นธรรม หวั่นไหวก็มีจริงเป็นธรรม รู้ขั้นการฟังว่าเป็นธรรมก็เป็นประโยชน์ เพราะจะนำไปสู่ความเข้าใจว่าเป็นธรรมจริงๆ เมื่อสติเกิดครับ ขอให้มั่นคงนะครับว่าเป็นธรรมและเป็นธรรม
ขออนุโมทนา ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ความสงสารญาติที่ป่วย ความโศกเศร้า เสียใจ ก็เป็นธรรมดา การทำใจไม่ได้ก็ธรรมดา ผมว่าปฏิบัติไปตามสติปัญญาของเรานี้แหละครับ จะร้องห่มร้องไห้เสียใจอย่างไรก็ทำเถิดครับ แต่ขอให้มีสติด้วย เสียงคร่ำครวญของคนที่เป็นญาติเท่านั้นที่ได้ยินกัน ไม่มีใครได้ยินเสียงของผู้ที่ป่วย เขาอาจมีสติ เขาอาจไม่ทุกข์เลยก็ได้
ท่านวิสาขาเป็นพระโสดาบัน ยังร้องเสียผมเปียกไปหมด ส่วนปุถุชนอย่างเราจะเหลือเหรอ เข้าใจค่ะ กำลังของสติและปัญญามีเท่านี้ ฟังธรรมต่อเถอะค่ะ อายุสังขารใช่ว่าจะติดตามเฉพาะสัตว์ ผู้ ยื่น นั่ง นอนหรือเดิน อยู่เท่านั้นก็หาไม่ แม้ในเวลาชั่วลืมตา หลับตา วัยก็เสื่อมไปแล้ว ในอัตภาพซึ่งเป็นทางอันตรายนั้นหน่อ ต้องมีความพลัดพรากจากกันโดยไม่ต้องสงสัย หมู่สัตว์ที่ยังอยู่ควรเอ็นดูกันส่วนที่ตายไปแล้วไม่ควรเศร้าโศกถึง
วันนี้ที่มูลนิธิ ท่านอาจารย์สุจินต์ได้บรรยายเรื่องการตาย จุติจิต ฯลฯ ถึงแม้ตอนนี้ยังอายุน้อยอยู่ ความรู้เรื่องพระธรรมก็น้อยมาก แต่พอฟังท่านอาจารย์แล้วรู้เลยว่า เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ไม่ต่างจากตอนนี้ เพราะเมือตะกี้นี้ ก็ย้อนกลับไปไม่ได้แม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว คนส่วนมากกลัวตาย กลัวอะไร? กลัวที่จะจากจากสิ่งที่ตัวชอบ ไม่ได้กลัวความตาย เพราะจุติจิตเกิดสิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ก็ไม่รู้ ขณะนี้ก็ยังไม่รู้
ขออนุโมทนา
พระพุทธองค์ท่านก็แสดงให้พวกเราฟังแล้วว่า ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ ยิ่งรักมากเท่าไร ยิ่งติดข้องมากเท่าไร ยิ่งผูกพันมากเท่าไร ทุกข์ก็ย่อมมีมากขึ้นเท่านั้น แต่เราก็ยังทำอะไรกับเจ้าโลภะเพื่อนแท้ทั้งในยามหลับและตื่นไม่ได้ เพราะปัญญาเรายังมีไม่พอ เคยได้เรียนถามท่านอาจารย์ว่า เรื่องมะเร็งที่อินเดีย ท่านตอบว่ามะเร็งเป็นเพียงแค่ชื่อ เท่านั้น
เรื่องความหวั่นไหว มีใครบ้างที่จะไม่หวั่นไหว นอกจากพระอรหันต์เท่านั้น ตราบใดที่ยังไม่บรรลุฯ ทุกคนที่เป็นปุถุชนก็ย่อมต้องหวั่นไหวเป็นธรรมดา แต่ก็อย่าลืมว่าทุกอย่างเป็นธรรม ไม่ได้เป็นของใคร เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเป็นธรรมดา
วันนี้ที่มูลนิธิฯท่านอาจารย์ก็ได้แสดงธรรมที่ตัวเองฟังแล้ว ก็รู้สึกเบาสบาย ฟังธรรมไว้เยอะๆ ค่ะจะได้ยึดเป็นที่พึ่งทางใจเราได้ค่ะคุณ chavalit_d ขอ ป็นกำลังใจให้ญาติของคุณผ่านพ้นความทุกข์ไปด้วยดีค่ะ ขออนุโมทนาน้อง Pararawee และทุกคำตอบด้วยค่ะ
ช่วงนี้คนเป็นมะเร็งเยอะ โดยเฉพาะคนใกล้ชิด ปรึกษากับแฟนของลูกสาวคนโต
เรียนหมอธิเบต อยู่ที่อินเดีย ธรรมศาลา เธอบอกว่าเกิดจากความเครียด
ท่านอ.สุจินต์ เฉลยเรื่องของความตาย และใกล้ตาย ช่วงนี้เยอะมากเพราะมีคนถาม
ท่านบอกกลัวตายขณะนั้นยังไม่ตาย กลัวเจ็บขณะนั้นยังไม่ตาย ตายเมื่อไรไม่มีใครรู้
คุณอรวรรณ บอกว่าถ้าก่อนนอนเราฟัง MP3 ของท่านอ. ขณะนั้นถ้าจุติจิตเกิดเราของได้สุขคติ เฮกันทั้งห้องเลย ขำจริงเตรียมตัวก่อนตาย