ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
เรื่อง ความเป็นคนดุและคนไม่ดุเพราะ.............
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๒ - หน้าที่ 177
จัณฑสูตร
ว่าด้วยคนดุและคนสงบเสงี่ยม
[๕๘๖] ครั้งนั้นแล นายจัณฑคามณีเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอ เป็นเหตุเป็น
ปัจจัยทำให้บุคคลบางคนในโลกนี้ ถึงความนับว่า เป็นคนดุ เป็นคนดุ
ก็อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัยทำให้บุคคลบางคนในโลกนี้ถึงความนับ
เป็นคนสงบเสงี่ยม เป็นคนสงบเสงี่ยม. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
ดูก่อนนายคามณี คนบางคนในโลกนี้ยังละราคะไม่ได้ เพราะเป็นผู้ยังละ
ราคะไม่ได้ คนอื่นจึงยั่วให้โกรธ คนที่ยังละราคะไม่ได้เมื่อถูกคนอื่นยั่ว
ให้โกรธ ย่อมแสดงความโกรธให้ปรากฏ ผู้นั้นจึงนับได้ว่าเป็นคนดุ. คน
บางคนในโลกนี้ยังละโทสะไม่ได้ เพราะเป็นผู้ยังละโทสะไม่ได้ คนอื่นจึง
ยั่วให้โกรธ คนที่ยังละโทสะไม่ได้เมื่อถูกคนอื่นยั่วให้โกรธ ย่อมแสดง
ความโกรธให้ปรากฏ ผู้นั้นจึงนับได้ว่าเป็นคนดุ. คนบางคนในโลกนี้ยังละ
โมหะไม่ได้ เพราะเป็นผู้ยังละโมหะไม่ได้ คนอื่นจึงยั่วให้โกรธ คนที่ยัง
ละโมหะไม่ได้ ถูกคนอื่นยั่วให้โกรธย่อมแสดงความโกรธให้ปรากฏ ผู้นั้น
จึงนับได้ว่าเป็นคนดุ ดูก่อนนายคามณี นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยทำให้คน
บางคนในโลกนี้ถึงความนับว่าเป็นคนดุ เป็นคนดุดังนี้.
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
เรื่อง ความเป็นคนที่สงบเสงี่ยมเพราะ...............
[๕๘๗] ดูก่อนนายคามณี อนึ่ง คนบางคนในโลกนี้ละราคะได้
แล้ว เพราะเป็นผู้ละราคะได้ คนอื่นยั่วก็ไม่โกรธ คนที่ละราคะได้แล้ว
ถูกคนอื่นยั่วให้โกรธก็ไม่แสดงความโกรธให้ปรากฏ ผู้นั้นจึงนับได้ว่า เป็น
คนสงบเสงี่ยม. คนบางคนในโลกนี้ละโทสะได้แล้ว เพราะเป็นผู้ละโทสะ
ได้ คนอื่นยั่วก็ไม่โกรธ คนที่ละโทสะได้แล้วถูกคนอื่นยั่วให้โกรธ ก็ไม่
แสดงความโกรธ ให้ปรากฏ ผู้นั้นจึงนับได้ว่า เป็นคนสงบเสงี่ยม คนบางคน
ในโลกนี้ละโมหะได้แล้ว เพราะเป็นผู้ละโมหะได้ คนอื่นยั่วไม่ได้
คนที่ละโมหะได้แล้วถูกคนอื่นยั่วให้โกรธ ก็ไม่แสดงความโกรธปรากฏ
ผู้นั้นจึงนับได้ว่า เป็นคนสงบเสงี่ยม. ดูก่อนนายคามณี นี้เป็นเหตุเป็น
ปัจจัยทำให้คนบางคนในโลกนี้ถึงความนับว่า เป็นคนสงบเสงี่ยม เป็นต้น
สงบเสงี่ยมดังนี้. ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
สาธุๆ ขอบคุณที่เอาธรรมมะดีๆ อย่างนี้มาบอกกัน
ขออนุโมทนา
ขออนุโมทนาค่ะ
สรุป คนที่ละโลภะ โทสะ โมหะ ได้หมด เป็นพระอรหันต์ชื่อว่าสงบเสงี่ยมค่ะ ตัวอย่างจากพระไตรปิฏกค่ะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๕ - หน้าที่ 276
ในบทว่า โสรจฺจ เม ปโมจน นี้ ศีลนั้นใดอย่างนี้ว่า ความ
ไม่ละเมิดทางกาย ความไม่ละเมิดทางวาจานั่นแล เรียกว่า โสรัจจะ ความสงบ
เสงี่ยม ศีลนั้นไม่ประสงค์เอาในคาถานี้ ศีลนั้นได้กล่าวแล้วเทียว โดยนัยมีอาทิ
ว่า คุ้มครองกาย แต่พระอรหัตตผลอันท่านประสงค์แล้ว ด้วยว่าพระอรหัตตผล
แม้นั้น เรียกว่า โสรัจจะ เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยินดีแล้วในนิพพาน
อันสุนทร.
ขอเชิญอ่าน ข้อความบางตอน ว่าด้วยเรื่อง ธรรมของท่านพระปุณณะเถระเมื่อจะท่านจะปลีกตัวไปยังสุนาปรันตชนบท แต่จะต้องไปเจอกับ คนดุ ครับ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้าที่ 119๕. ปุณณสูตร
พ. ....................................ดูก่อนปุณณะ ดีละ
เธออันเรากล่าวสอนแล้วด้วยโอวาทย่อนี้ จักอยู่ในชนบทไหน.
ท่านพระปุณณเถระทูลว่า พระเจ้าข้า ชนบทชื่อสุนาปรันตะมีอยู่
ข้าพระองค์จักอยู่ในชนทบนั้น.
ว่าด้วยมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทเป็นผู้ดุร้ายเป็นประจำ
[๑๑๕] พ. ดูก่อนปุณณะ พวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทดุร้าย
หยาบคายนัก ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทจักด่า จักบริภาษเธอ
ในข้อนั้น เธอจักมีความคิดอย่างไร.
ปุ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทจักด่า
จักบริภาษข้าพระองค์ไซร้ ในข้อนั้น ข้าพระองค์จักมีความคิดอย่างนี้ว่า
มนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทนี้เจริญหนอ เจริญดีหนอ ที่เขาไม่ประหารเรา
ด้วยมือ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ในข้อนี้ ข้าพระองค์จักมีความคิดอย่างนี้
ข้าแต่พระสุคต ในข้อนี้ ข้าพระองค์จักมีความคิดอย่างนี้.
พ. ดูก่อนปุณณะ ก็ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทจักประหาร
เธอด้วยมือเล่า ในข้อนั้น เธอจักมีความคิดอย่างไร.
ปุ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทจัก
ประหารข้าพระองค์ด้วยมือไซร้ ในข้อนั้น ข้าพระองค์จักมีความคิดอย่างนี้
ว่า พวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทเจริญหนอ เจริญดีหนอ ที่เขาไม่
ประหารเราด้วยก้อนดิน ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ในข้อนี้ ข้าพระองค์
จักมีความคิดอย่างนี้ ข้าแต่พระสุคต ในข้อนี้ ข้าพระองค์จักมีความคิดอย่างนี้.
พ. ดูก่อนปุณณะ ก็ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทจักประหาร
เธอด้วยก้อนดินเล่า ในข้อนั้น เธอจักมีความคิดอย่างไร.
ปุ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทจัก
ประหารข้าพระองค์ด้วยก้อนดินไซร้ ในข้อนั้น ข้าพระองค์จักมีความคิด
อย่างนี้ว่า พวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทนี้เจริญหนอ เจริญดีหนอ ที่เขา
ไม่ประหารเราด้วยท่อนไม้ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ในข้อนี้ ข้าพระองค์
จักมีความคิดอย่างนี้ ข้าแต่พระสุคต ในข้อนี้ ข้าพระองค์จักมีความคิดอย่างนี้.
พ . ดูก่อนปุณณะ ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทจักประหาร
เธอด้วยท่อนไม้เล่า ในข้อนั้น เธอจักมีความคิดอย่างไร.
ปุ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทจัก
ประหารข้าพระองค์ด้วยท่อนไม้ไซร้ ในข้อนั้น ข้าพระองค์จักมีความคิด
อย่างนี้ว่า พวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทนี้เจริญหนอ เจริญดีหนอ ที่เขา
ไม่ประหารเราด้วยศาตรา ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ในข้อนี้ ข้าพระองค์
จักมีความคิดอย่างนี้ ข้าแต่พระสุคต ในข้อนี้ ข้าพระองค์จักมีความคิดอย่างนี้.
พ. ดูก่อนปุณณะ ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทจักประหาร
เธอด้วยศาตรา ในข้อนั้น เธอจักมีความคิดอย่างไร.
ปุ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทจัก
ประหารข้าพระองค์ด้วยศาตราไซร้ ในข้อนั้น ข้าพระองค์จักมีความคิด
อย่างนี้ว่า พวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทนี้เจริญหนอ เจริญดีหนอ ที่เขา
ไม่ปลงเราเสียจากชีวิตด้วยศาตราอันคม ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ในข้อนี้
ข้าพระองค์จักมีความคิดอย่างนี้
ข้าแต่พระสุคต ในข้อนี้ ข้าพระองค์จักมีความคิดอย่างนี้.
[๑๑๖] พ. ดูก่อนปุณณะ ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทจัก
ปลงเธอเสียจากชีวิตด้วยศาตราอันคมเล่า ในข้อนั้น เรอจักมีความคิดอย่างไร.
ปุ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทจัก
ปลงข้าพระองค์เสียจากชีวิตด้วยศาตราอันคมไซร้ ในข้อนั้น ข้าพระองค์
จักมีความคิดอย่างนี้ว่า พระสาวกทั้งหลายของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น
อึดอัดระอาเกลียดชังอยู่ด้วยกายและชีวิต ย่อมแสวงหาศาตราสำหรับปลง
ชีวิตเสีย มีอยู่ ศาตราสำหรับปลงชีวิตที่เราแสวงหาอยู่นั้น เราได้แล้ว
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ในข้อนี้ ข้าพระองค์จักมีความคิดอย่างนี้ ข้าแต่
พระสุคต ในข้อนี้ ข้าพระองค์จักมีความคิดอย่างนี้.
พ. ดีละๆ ปุณณะ เธอประกอบด้วยทมะและอุปสมะเช่นนี้ จักอาจ
อยู่ในสุนาปรันตชนบทได้ บัดนี้ เธอย่อมรู้กาลอันควรไปได้.
[๑๑๗] ครั้งนั้นแล ท่านพระปุณณะชื่นชมยินดีพระภาษิตของ
พระผู้มีพระภาคเจ้า ลุกจากอาสนะ ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า ทำ
ประทักษิณแล้ว เก็บเสนาสนะแล้ว ถือบาตรและจีวรหลีกจาริกไปทาง
สุนาปรันตชนบท เมื่อเที่ยวจาริกไปโดยลำดับ ก็บรรลุถึงสุนาปรันตชนบท
ได้ยินว่า ท่านพระปุณณะอยู่ในสุนาปรันตชนบทนั้น ครั้งนั้นแล ใน
ระหว่างพรรษานั้น ท่านพระปุณณะให้ชาวสุนาปรันตชนบทแสดงตนเป็น
อุบาสกประมาณ ๕๐๐ คน ได้ทำวิชชา ๓ ให้แจ้งและปรินิพพานแล้ว
ครั้งนั้นแล ภิกษุมากด้วยกันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ แล้ว
นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ กุลบุตรชื่อว่าปุณณะที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนด้วย
พระโอวาทอย่างย่อนั้น ทำกาละแล้ว กุลบุตรนั้นมีคติเป็นอย่างไร มี
อภิสัมปรายภพเป็นอย่างไร. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
กุลบุตรชื่อว่าปุณณะ เป็นบัณฑิต กล่าวคำจริง กล่าวธรรมสมควรแก่ธรรม
มิได้ลำบากเพราะเหตุแห่งธรรม ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรชื่อว่าปุณณะ
ปรินิพพานแล้ว.
จบ ปุณณสูตรที่ ๕
---------------------------------------------------------------------------------------------
ขออนุโมทนาสาธุ
ขออนุโมทนา