เกิดอยู่ในโลกแล้วรู้ ความจริง ดีกว่าอยู่ไปด้วยความไม่รู้ความจริง เพราะว่า เมื่อไม่รู้ความจริงก็ติดข้องในสิ่งที่ไม่มีจริง สะสมเพิ่มความติดข้องเพิ่มกิเลส แล้วก็ตายจากไป เพราะความไม่รู้ความจริง ก็ถูกหลอกถูกครอบด้วยความเป็นตัวตนที่จะไปทำ ความเป็นตัวตนที่จะไปรู้ ความเป็นตัวตนที่วางแผนการ เพราะนั่นคือ คิด ไม่ใช่ ความรู้ ถ้าเป็นความรู้ว่าทุกขณะที่มีจริงกำลังปรากฏนั้นเป็นธรรม ไม่หลงลืม ไม่มีตัวตนที่แทรกอยู่ในธรรมนั้นๆ เลย ฟังเพื่อเข้าใจ เพื่อค่อยๆ น้อมไปที่จะไม่ลืม ทุกอย่างเป็นธรรม น้อมเข้ามาในการที่จะรู้สิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ เห็นขณะนี้ ไม่ว่าที่ไหน บนสวรรค์ เห็นก็เป็นเห็น ต่างกันตรงไหน เห็นเป็นธรรม เกิดเพราะเหตุ ปัจจัย ไม่ใช่เรา ถ้าไม่เข้าใจถูกต้องอย่างนี้ก็ไม่มีทางอื่น ค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ พ้นจากความไม่รู้ ค่อยๆ พ้นจากสิ่งที่ผูกมามากมายนานแสนนาน ค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจว่าเพียงแค่ละความไม่รู้ แล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพื่อละความเป็นตัวตนที่จะไปทำอะไร เพราะฉะนั้น การรู้ความจริงเพื่อละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน กับการไม่รู้ความจริง เกิดมากินนอนแล้วก็เพิ่มความติดข้องต่อไปอีก
รู้ หรือ ไม่รู้ ดีกว่า
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่งค่ะ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพรภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
- ความรู้มีอะไรบ้าง
- ความรู้ ควรรู้ทุกอย่างหรือไม่
- ความรู้เป็นประโยชน์กับใคร และเป็นโทษกับใคร
- ความรู้อะไรที่ประเสริฐไม่มีโทษเลย
เมื่อพูดถึงความรู้ สามารถแบ่งเป็น ความรู้ทางโลก และความรู้ทางธรรม ที่เป็นปัญญา ความรู้ทางโลก เรียกว่า ศิลปะ อันเป็นความรู้ที่ไม่ทำให้เกิดโทษในทางโลก สามารถดำเนินชีวิตประกอบอาชีพได้ อาศัยความรู้ทางโลกที่เป็นศิลปะ เช่น การทำอาหาร การเย็บผ้า การเรียนศึกษา วิชาศาสตร์ต่างๆ ความรู้เหล่านี้ เป็นความรู้ที่ไม่มีโทษ แต่ความรู้ที่เป็นไปในการทำบาป ทำอกุศลกรรม เช่น ความรู้ในการฆ่าสัตว์ ความรู้ในการลักทรัพย์ เป็นต้น ความรู้นี้ แม้มีอยู่ แต่เป็นความรู้ที่มีโทษ ไม่สมควรเรียนและศึกษาในความรู้อันมีโทษ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ครับ
ความรู้ทางธรรมที่เป็นปัญญา เป็นความรู้ ที่เป็นกุศลธรรม อันเป็นไปในการเห็นตามความเป็นจริง เป็นความรู้ที่ประเสริฐ เพราะ เป็นความรู้ที่ทำให้ละความไม่รู้ และละกิเลสประการต่างๆ ความรู้ที่รู้อริยสัจจะ คือ รู้ความจริงของสภาพธรรมในขณะนี้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา เป็นความรู้ที่ควรมี ควรศึกษา ควรเข้าใจให้ถูกต้อง เพราะนำซึ่งประโยชน์อย่างเดียวเท่านั้น และเมื่อพูดถึง ความรู้ทางโลก มี ศิลปะ เป็นต้น ความรู้ของบุคคลที่เป็นบัณฑิต ย่อมนำมาซึ่ง ความสุขสวัสดี กับตนเอง แต่แม้ผู้ที่มีความรู้ แต่เป็นคนพาล ความรู้นั้น ย่อมฆ่าเขาเอง คือ นำมาซึ่งความเดือดร้อน เพราะอาศัยความรู้และการคิดผิด ด้วยตนเองเป็นคนพาล ครับ ดังเช่น ในพระไตรปิฎก พระมหาโมคคัลลานะ ท่านเห็นเปรตถูกฆ้อนทุบหัวอยู่ตลอดเวลา ท่านได้กราบทูลพระพุทะเจ้า พระพุทธเจ้าทรงเล่าอดีตกรรมของเปรตนั้น
เรื่องมีอยู่ว่า พระราชา เกิดความรำคาญในอำมาตย์ผู้หนึ่งที่พูดไม่หยุด หาอุบายที่จะทำให้อำมาตย์นี้หยุดพูด คราวนั้น มีคนพิการ แต่มีศิลปะความรู้ คือ ดีดก้อนกรวด เขาดีดก้อนกรวดใส่ใบไม้ ให้เป็นรูปต่างๆ คือ ดีดด้วยก้อนกรวดใส่ใบไม้ ให้ขาดทะลุเป็นรูป ช้าง สัตว์ต่างๆ พระราชาทรงทราบ จึงเรียกเขามา ออกอุบายว่า ท่านจงหลบอยู่หลังม่าน และคอยดีดมูลแพะเข้าปากอำมาตย์ ผู้ที่พูดไม่หยุด เมื่อพระราชาเริ่มจะพูด อำมาตย์ผู้นั้นก็พูดไม่หยุดเลย ชายพิการก็ดีดมูลแพะเข้าปาก จนสุดท้ายมูลแพะหมดตะกร้า ได้ให้สัญญาณกับพระราชา โดยการเขย่าม่าน พระราชารู้ จึงกล่าวกับอำมาตย์ผู้ไม่หยุดพูดว่า ท่านพูดไม่หยุด แม้ทานมูลแพะจนหมดตะกร้า เต็มท้องของท่านก็ไม่หยุดพูด อำมาตย์นั้น ละอายใจ ไม่พูดมากอีกเลย พระราชาได้ให้ทรัพย์สมบัติกับชายพิการ และ จึงได้ตรัสคาถา สรรเสริญชายพิการ ที่มีความรู้ว่า
ชื่อว่าศิลปะ (ความรู้) แม้อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ยังประโยชน์ให้สำเร็จได้. ท่านจงดูเถิด, ด้วยการดีดตามประสาคนเปลี้ย บุรุษเปลี้ยได้บ้านส่วย อันตั้งอยู่ในทิศทั้ง ๔."
นี่คือ ผู้ที่มีความรู้ทางโลก แต่ใช้ประโยชน์จากความรู้นั้นถูกวิธี
เรื่องยังไม่จบ ครับ มีชายผู้หนึ่งเห็นศิลปะของชายพิการนั้น อยากจะเรียนศิลปะ การดีดก้อนกรวด ชายพิการไม่สอน แต่ผู้นั้นพยายามเอาใจ ดูแลชายพิการ จนชายพิการยอมสอน และเมื่อเรียนจบ ชายผู้นั้นอยากจะทดลองวิชาการการดีด แต่จะทดลองกับโค มนุษย์ อาจารย์พิการกล่าวว่า การทำการฆ่าโค ฆ่ามนุษย์ ย่อมถูกปรับสินไหม ไม่ควร ชายผู้นั้น จึงเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า เดินมา จึงทดลองวิชากับท่าน เอาก้อนกรวด ดีดเข้าที่รูหู ทะลุจากหูซ้าย ทะลุหูชวา พระปัจเจกพุทธเจ้า จึงถึงการปรินิพพาน ด้วยผลของกรรมนั้น ทำให้เกิดในนรก และเมื่อสิ้นจากนรกแล้ว ก็กลับมาเกิดเป็นเปรตที่เขาคิชฌกูฏ ถูกฆ้อนเหล็กทุบหัวตลอดเวลา ท่านพระมหาโมคคัลลานะ เห็นเปรตนี้ ครับ พระศาสดา ครั้นตรัสบุรพกรรมนี้ของเปรตนั้นแล้ว จึงตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย ศิลปะ ความรู้ เมื่อเกิดขึ้นแก่ผู้ชื่อว่าคนพาลย่อมเกิดขึ้นเพื่อความฉิบหาย, ด้วยว่า คนพาลได้ศิลปะ ย่อมทำความฉิบหายแก่ตนถ่ายเดียว" ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-
"ความรู้ย่อมเกิดแก่คนพาล เพียงเพื่อความฉิบหายเท่านั้น, ความรู้นั้น ยังหัวคิดของเขาให้ตกไป ย่อมฆ่าส่วนสุกกธรรม (ความดี) ของคนพาลเสีย."
จะเห็นนะครับว่า ความรู้ แม้มีอยู่ แต่มีกับคนพาล ความรู้นั้นย่อมทำลายเขาเอง ครับ
สรุปได้ครับว่า ความรู้บางอย่าง ควรมี ควรศึกษาก็มี ความรู้ทางโลกที่ไม่เป็นไปในการเบียดเบียนผู้อื่น เช่น การเย็บผ้า ศึกษาวิชากากรเพื่อการดำรงอยู่ของชีวิต และ ความรู้ทางโลกที่ไม่ควรเรียน ควรมี ไม่ควรศึกษาก็มี เช่น ความรู้ที่เป็นไปในการเบียดเบียนผู้อื่น เช่น ความรู้ในการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ เป็นต้น
ส่วน ความรู้ทางโลก ที่เป็นศิลปะ ย่อมจะเกิดประโยชน์ กับคนที่เป็นบัณฑิต แต่ย่อมมีโทษกับคนที่เป็นคนพาล
ส่วนความรู้ทางธรรมที่เป็นปัญญา เป็นกุศลธรรม เป็นการรู้ตามความเป็นจริง เป็นความรู้ที่ไม่มีโทษ แต่เป็นความรู้ที่ประเสริฐ เพราะรู้ตามความเป็นจริง ย่อมละธรรมสิ่งที่มีโทษ คือ กิเลสประการต่างๆ ได้
ดังนั้น การมีความรู้ที่เป็นปัญญาจริงๆ ควรรู้ควรศึกษา จะน้อย จะมาก ก็นำมาซึ่งสิ่งที่เป็นประโยชน์ คือ การละคลายกิเลสจนหมดสิ้น ความรู้ที่เป็นปัญญา ควรรู้ และควรรู้ กว่าความรู้อื่นอย่างอื่น อย่างใดทั้งสิ้น ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เกิดมาในโลกนี้ ด้วยความไม่รู้ แล้วยังจะไม่รู้ต่อไปอีกหรือ?
ก่อนที่จะหายไปจากโลกนี้ (ซึ่งทุกคนจะต้องหายไปแน่ๆ แล้วแต่ว่าใครจะหายไปก่อนใคร) ควรทำอะไร?
โอกาสที่ประเสริฐ ไม่ว่าจะเป็นใคร วัยใด คือ โอกาสที่ได้ฟังพระธรรม
บุคคลผู้ที่สะสมเหตุที่ดีมา มีศรัทธา เห็นประโยชน์ของการได้ยินได้ฟังพระธรรมมาแล้ว จึงเป็นเหตุทำให้มีการฟังพระธรรม ศึกษาธรรม และอบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกต่อไป
เพราะฉะนั้น ทุกๆ วันจึงเป็นโอกาสที่ดี ที่ทุกคนจะได้ทำชีวิตที่ยังมีอยู่ ยังเหลืออยู่นี้ ให้เป็นชีวิตที่มีค่ามากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ด้วยการสะสมปัญญา จากการฟังพระธรรม ในแต่ละครั้ง สะสมทรัพย์อันประเสริฐให้กับตนเองต่อไป จึงจะเป็นผู้มีชีวิตที่ไม่ว่างเปล่าจากประโยชน์ ครับ
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่เมตตาและทุกๆ ท่านครับ...
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ชาติที่ประเสริฐที่สุดในชีวิต คือการเกิดมาแล้วได้ทำประโยชน์ให้กับตนเองและคนอื่น โดยเฉพาะ การอบรมปัญญา ไม่ขาดการศึกษาธรรมะ ไม่ขาดการฟังธรรม ฯลฯ ค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การมีความรู้ที่เป็นปัญญาจริงๆ ควรรู้ควรศึกษา
จะน้อย จะมาก ก็นำมาซึ่งสิ่งที่เป็นประโยชน์ คือ การละคลายกิเลสจนหมดสิ้น ความรู้ที่เป็นปัญญา ควรรู้ และควรรู้ กว่า ความรู้อื่นอย่างอื่น อย่างใดทั้งสิ้น ครับ
"ความรู้ย่อมเกิดแก่คนพาล เพียงเพื่อความฉิบหายเท่านั้น, ความรู้นั้น ยังหัวคิดของเขาให้ตกไป ย่อมฆ่าส่วนสุกกธรรม (ความดี) ของคนพาลเสีย."
" โอกาสที่ประเสริฐ ไม่ว่าจะเป็นใคร วัยใด คือ โอกาสที่ได้ฟังพระธรรม"
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ