ในสมัยพระพุทธเจ้า ยสกุลบุตร เป็นผู้กล่าวคำนี้ ที่นี่วุ่นวายจริงหนอ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่าที่นี่ไม่วุ่นวายหนอ แล้วต่อมา ยสกุลบุตรก็ออกบวช การที่คนจะออกบวชได้ต้องสะสม เนกขัมมะบารมีหรือไม่ จึงจะออกบวชได้
ผู้ที่จะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ต้องสะสมบารมีมาครบทั้ง ๑๐ ประการ ถ้าบารมียังไม่ครบย่อมบรรลุไม่ได้ แต่ผู้ใดจะออกบวชเป็นบรรพชิตหรือไม่ อยู่ที่การสะสมอุปนิสัยมาที่จะเป็นบรรพชิต เพราะบางคนแม้จะบรรลุเป็นพระอนาคามีแล้ว ก็ไม่บวช
ในอดีตชาติของพระพุทธเจ้า ตอนที่เป็นพระโพธิสัตว์ ก็ได้สะสมบารมี ๑๐ ทุกอย่าง และออกบวชเป็นฤาษี อยู่ประพฤติธรรมในป่าหลายชาติ และผู้ที่ออกบวช ต้องเคยสะสมปัญญาบารมีมาก่อน จึงจะเห็นโทษของการอยู่ครองเรื่อน และเห็นประโยชน์ของการบรรพชาค่ะ ความวุ่นวายทั้งหลาย ก็เกิดจากกิเลสของเราเอง ที่มีโลภะ โทสะ โมหะ คนที่มีปัญญา มีความสุขไม่วุ่นวาย เราจึงศึกษาธรรมะและสะสมบารมี เพื่อดับความวุ่นวายในวันหนึ่งค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
เนกขัมมะบารมี คือการเห็นโทษของสังสารวัฏฏ์ หรือเห็นโทษของกามหรือการครองเรื่อน เป็นต้น ดังนั้น การบวช ก็มีเหตุผลหลายประการ ที่บวชกัน บวชเพื่อหนีหนี้ เป็นการสะสมเนกขัมมะบารมีมาใช่ไหม บวชเพื่อ ... แต่การออกบวชเพราะเห็นโทษในสังสารวัฏฏ์ โทษในกาม โทษในการครองเรือน แสดงให้เห็นว่าเป็นเพราะเคยสะสม เนกขัมมะบารมีมา คือเคยคิดที่จะเห็นโทษประการต่างๆ ในชาติก่อนๆ ดังตัวอย่างในพระไตรปิฎกครับ
[เล่มที่ 53] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ หน้าที่ 73
ข้อความบางตอนจาก
รัฐปาลเถรคาถา
จริงอยู่ กามทั้งหลายวิจิตรด้วยรูป เป็นต้น คือ มีรูปแปลกๆ โดย เป็นรูปสีเขียวเป็นต้น. กามทั้งหลายแสดงความชอบใจโดยประการนั้นๆ ด้วยรูปแปลกๆ นั้นอย่างนี้แล้ว ย่อมย่ำยีจิต คือ ไม่ให้ยินดีในการบรรพชา เพราะเหตุนั้น เราเห็นโทษในกามคุณทั้งหลาย โดยมีความยินดีน้อยมีทุกข์มากเป็นต้น เพราะฉะนั้น คือ เพราะการเห็นโทษในกามคุณนั้น เราจึงบวช
ทุกวันนี้ มีความรู้สึกอยากออกบวช แต่กำลังรอภาระทางโลกที่ต้องจัดการให้เรียบร้อยก่อน คิดว่าเวลาที่เหลืออยู่ น่าจะทำประโยชน์ให้กับตัวเอง คือสะสม อริยทรัพย์ เห็นความทุกข์ แล้วไม่อยากเกิดอีกเลย แต่ไม่รู้ว่าจะได้สมตามความตั้งใจหรือไม่
ทุกคนติดคุก (สงสาร) ด้วยกันทั้งนั้น ต่างกันที่เป็นนักโทษชั้นดีหรือนักโทษประหาร
นักโทษบางคน แม้ไม่ใช่นักโทษประหาร แต่ก็ห้ามประกัน และห้ามเยี่ยม ที่ไหนๆ ก็วุ่นวายถ้ายังมีกิเลส ควรมีชีวิตอยู่ เพื่อเข้าใจความจริง
"ที่ไหนๆ ก็วุ่นวายถ้ายังมีกิเลส"
ท่านพูดถูกครับ
สาธุๆ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนา oom ที่คิดดี คิดสะสมอริยทรัพย์
อริยทรัพย์ ๗ ประการ คือ
๑. ศรัทธา
๒. ศีล
๓. สุตะ การฟังธรรมะ
๔. จาคะ การเสียสละกิเลส
๕. ปัญญา
๖. หิริ
๗. โอตตัปปะ
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม เมื่อพิจารณาดูแล้ว น่าสงสาร ทุกๆ ชีวิตที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิด ไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ ตราบใดที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ รวมทั้งตัวเราเองด้วย ทั้งๆ ที่รู้ว่าหนทางแห่งการหลุดพ้นคืออะไร แต่การละกิเลส ช่างเป็นเรื่องยากเสียจริง
ขออนุโมทนาครับ
เปิดฟัง ...
เรื่อง ยสกุลบุตร
ขอเชิญอ่านเพิ่มเติม ...
เรื่องยสกุลบุตร [มหาขันธกะ]
ยินดีในกุศลจิตค่ะ
กิเลสละยาก ขออนุโมทนาสาธุค่ะ